วันที่ 4 กันยายน 2565
วันที่ 6-7 กันยายน 2565 ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ก็มีกำหนดนัดพิจารณาแก้รัฐธรรมนูญ จากร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญรวม 6 ฉบับ โดยจำนวนสามฉบับ เสนอโดยส.ส.พรรคเพื่อไทย อีกหนึ่งฉบับ เสนอโดยภาคประชาชนหกหมื่นกว่ารายชื่อ นำโดย สมชัย ศรีสุทธิยากร และ โบว์ นัฎฐา ร่วมกันเข้าชื่อเพื่อเสนอตัดอำนาจส.ว. ในการเลือกนายกรัฐมนตรี และอีกหนึ่งฉบับ เสนอโดยส.ส.พรรคภูมิใจไทย เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 120 เกี่ยวกับการกำหนดองค์ประชุม
ด้านโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ ilaw ได้เชิญชวนให้ประชาชนทุกคนร่วมกันจับตาการประชุมในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด โดยรายระเอียดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีเนื้อหาดังนี้ ภาคประชาชน เสนอตัดอำนาจส.ว. ไม่ให้เลือกนายกฯ
ในส่วนนี้ ภาคประชาชนเสนอให้แก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 272 แห่งรัฐธรรมนูญ 2560 ที่กำหนดบทเฉพาะกาล ให้อำนาจส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้ง 250 คน ร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีด้วยในระยะห้าปีแรกหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ เป็นข้อยกเว้นจากหลักการปกติที่อำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี เป็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น ตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 159 กำหนด
พรรคเพื่อไทย เสนอแก้ 3 ฉบับ
1. แก้ไขมาตรา 43 ที่รับรองสิทธิชุมชน กำหนดเพิ่มเติมการรับรองสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี และให้มีองค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ซึ่งเคยมีอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และ 2550 ทำหน้าที่พิจารณาอนุมัติโครงการขนาดใหญ่ที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีการจัดตั้งคณะกรรมการองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (กอสส.) ขึ้นโดยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ภายหลังยุบเลิกไปหลังรัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้ ข้อเสนอครั้งนี้จึงเป็นความพยายามเอาองค์กรดังกล่าวกลับมา
2. เพิ่มมาตรา 29/1 เอาสิทธิในกระบวนการยุติธรรมกลับมา สิทธิเหล่านี้เคยเขียนไว้ชัดเจนในฉบับปี 2550 แต่ถูกตัดออกไปในฉบับปี 2560 เพิ่มเติมมาตรา 34 เรื่องเสรีภาพในการแสดงความเห็นว่า การออกกฎหมายจำกัดเสรีภาพจะจำกัดการติชมด้วยความเป็นธรรมไม่ได้ แก้ไขมาตรา 45 เรื่องสิทธิจัดตั้งพรรคการเมือง ผ่อนปรนเงื่อนไขให้ยืดหยุ่นขึ้น และแก้ไขมาตรา 47 เรื่องสิทธิทางสาธารณสุข ว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการสาธารณสุขที่เหมาะสมและได้มาตรฐานและได้รับหลักประกันสุขภาพโดยถ้วนหน้า” เพิ่มคำว่า “สิทธิเสมอกัน” และยืนยันเรื่องหลักประกันสุขภาพแบบ “ถ้วนหน้า” แทนวิธีการเขียนที่ไม่ชัดเจนในฉบับปี 2560
3. นายกฯ ต้องเป็น ส.ส. และอยู่ในบัญชีพรรคการเมือง ร่างแก้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ มุ่งแก้ไขมาตรา 159 อีกครั้งให้กำหนดบังคับว่านายกรัฐมนตรีต้องเป็นทั้ง ส.ส. ในสภาที่ได้รับการเลือกตั้ง และต้องเป็นบุคคลที่พรรคการเมืองเสนอชื่อไว้ก่อนเลือกตั้ง หากนายกรัฐมนตรีพ้นจากการเป็น ส.ส. ก็พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย แต่ถึงร่างฉบับนี้ผ่านการพิจารณาก็ไม่มีผลบังคับใช้กับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งจะยังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้ เพราะมาตรา 159 ที่เสนอใหม่นี้จะเริ่มใช้หลังการเลือกตั้งครั้งถัดไปเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังมีร่างเสนอจากพรรคภูมิใจไทยอีก 1 ฉบับ ในประเด็นหลักเกณฑ์องค์ประชุม โดยในรัฐธรรมนูญ มาตรา 120 กำหนดว่า องค์ประชุมของการประชุมสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา ต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา แต่มีข้อยกเว้นที่ให้สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาจะกำหนดองค์ประชุมไว้ในข้อบังคับเป็นอย่างอื่นก็ได้ คือ กรณีการพิจารณาระเบียบวาระกระทู้
ร่างแก้รัฐธรรมนูญ ภูมิใจไทย เสนอเพิ่มข้อยกเว้นอีกสองกรณี 1) ระเบียบวาระการรับทราบรายงานขององค์กรอิสระ หรือองค์การมหาชน หน่วยงานอื่นๆ ของรัฐที่กฎหมายกำหนดให้ต้องรายงานสภา 2) ระเบียบวาระอื่นๆ ที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา จะกำหนดองค์ประชุมไว้ในข้อบังคับเป็นอย่างอื่นก็ได้
สามารถอ่านรายละเอียดการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมได้ที่
https://ilaw.or.th/node/6061
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...