เรื่อง: จตุพร สุสวดโม้
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) ร่วมกับกลุ่มนายจ้างที่ใช้แรงงานต่างด้าว (GEFW) จัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “ชำแหละมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 24 กันยายน 2567 การบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติ” โดยมี ผศ.ดร.จิราภร เหล่า เจริญวงศ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ดำเนินรายการ
ในช่วงต้นของการเสวนา ด้าน ผศ.ดร.จิราภร เหล่า เจริญวงศ์ กล่าวเปิดงานถึงความสำคัญของประเด็นนี้ที่มีผลกระทบต่อแรงงานข้ามชาติและเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่พึ่งพาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า กัมพูชา และลาว ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนแรงงานข้ามชาติในระบบอยู่ประมาณ 2.4 ล้านคน หากกระบวนการขึ้นทะเบียนและต่ออายุใบอนุญาตทำงานไม่สำเร็จภายในกรอบเวลาที่กำหนด อาจส่งผลให้แรงงานกลุ่มนี้กลายเป็นแรงงานผิดกฎหมายและนำไปสู่การทำงานในระบบที่ไม่เป็นทางการ
อดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) เปิดเผยว่า มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา มีการพิจารณา 4 ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการจัดการแรงงานข้ามชาติ ได้แก่ การเปิดให้จดทะเบียนแรงงานต่างชาติใหม่จากพม่า กัมพูชา และเวียดนาม, การต่ออายุแรงงานที่อยู่ในระบบ, การขยายระยะเวลาการเปลี่ยนนายจ้าง และการยกเว้นการแจ้งเข้าในกรณีแรงงานที่ยื่นขออนุญาตทำงานครั้งแรก โดยเฉพาะประเด็นการต่ออายุซึ่งจะมีการขยายระยะเวลาถึงปี 2568 ทำให้มีการพูดถึงการขยายระยะเวลาและกระบวนการตรวจสอบต่างๆ อย่างละเอียด โดยในส่วนของการจดทะเบียนแรงงานใหม่และการต่ออายุแรงงานที่อยู่ในระบบนั้นยังมีปัญหาความล่าช้าและขั้นตอนที่ซับซ้อนจากประเทศต้นทางที่ต้องมีการประสานงานกับไทยอย่างใกล้ชิด
อดิศรกล่าวถึงความกังวลในการดำเนินการในช่วงเวลาจำกัด โดยระบุว่า การดำเนินการเพื่อให้แรงงาน 2 ล้านคน จากพม่าและประเทศอื่นๆ ได้รับการต่ออายุและจดทะเบียนภายในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 นั้นมีความท้าทายสูง เนื่องจากขั้นตอนต้องใช้เวลาในการอนุมัติจากทั้งภาครัฐไทยและประเทศต้นทาง” ซึ่งหากไม่สามารถดำเนินการได้ทันตามกำหนด จะทำให้แรงงานกลุ่มนี้กลายเป็นแรงงานผิดกฎหมายทันที นอกจากนี้ นายอดิศรยังได้สะท้อนข้อกังวลเรื่องความปลอดภัย ของแรงงานที่ต้องประสานงานกับประเทศต้นทางเพื่อจัดการเอกสารการทำงาน รวมถึงข้อจำกัดในเรื่องของการส่งกลับแรงงานที่อาจเกี่ยวข้องกับการเกณฑ์ทหารในประเทศต้นทาง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงให้กับแรงงานที่หนีการเกณฑ์ทหารเข้ามาทำงานในไทย
ในส่วนของความเสี่ยงที่ไทยจะต้องรับผิดชอบนั้น อดิศรกล่าวว่า หากการดำเนินการไม่เป็นไปตามแผน จะส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ รวมถึงการเพิ่มจำนวนแรงงานผิดกฎหมาย และทิ้งท้ายว่า จำเป็นต้องมีการหารือเพิ่มเติมเพื่อหาทางออกที่ชัดเจน และเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการจัดการแรงงานข้ามชาติในระยะยาว โดยสรุป นายอดิศรย้ำว่า กระบวนการแก้ไขปัญหาแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยยังคงต้องการการบริหารจัดการที่รัดกุมและระมัดระวัง เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานและไม่เกิดปัญหาผิดกฎหมายที่ส่งผลกระทบต่อทั้งแรงงานและความมั่นคงของประเทศในอนาคต
ด้าน จำนงค์ ทรงเคารพ ผู้อำนวยการสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เกี่ยวกับการต่ออายุใบอนุญาตทำงานสำหรับแรงงานต่างด้าว พร้อมทั้งชี้แจงข้อสงสัยต่างๆ เกี่ยวกับกระบวนการดำเนินการในระบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์
จำนงค์กล่าวว่า การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในประเทศไทยนั้นมีมานาน โดยการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวสามารถทำได้ในหลายรูปแบบตามสถานการณ์ต่างๆ ในแต่ละช่วงเวลา ทั้งนี้ ภายหลังจากที่มีการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการขอใบอนุญาตทำงาน ซึ่งในบางกรณีได้มีการพิสูจน์สัญชาติและการต่ออายุใบอนุญาตทำงานให้ต่อเนื่อง สำหรับการดำเนินการในปัจจุบัน กระบวนการต่ออายุใบอนุญาตทำงานนั้นไม่ใช่เพียงแค่การต่ออายุทั่วไป แต่จะเป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับแรงงานที่ได้รับอนุญาตทำงานมาหลายปี ซึ่งสามารถทำได้ตามหลักการของ MOU ที่ทำระหว่างประเทศไทยกับประเทศต้นทาง โดยจะมีการอนุญาตทำงานครั้งละ 2 ปี และสามารถต่ออายุได้อีก 2 ปี
ในส่วนของการต่ออายุใบอนุญาตทำงานนั้น จำนงค์ชี้แจงว่า การดำเนินการจะมีความสะดวกขึ้นผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยให้สามารถยื่นข้อมูลและบันทึกรายชื่อผ่านระบบออนไลน์ได้ โดยนายจ้างหรือบริษัทที่ได้รับมอบอำนาจสามารถดำเนินการแทนแรงงานต่างด้าวได้ โดยไม่จำเป็นต้องพาแรงงานไปที่สถานทูตหรือสถานที่ต่างๆ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาความแออัดและเพิ่มความสะดวกในการดำเนินการ
จำนงค์ยังเน้นย้ำว่า การดำเนินการในรูปแบบนี้จะช่วยให้การจ้างงานแรงงานต่างด้าวในประเทศไทยดำเนินไปอย่างถูกกฎหมาย และช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในการทำงานและธุรกิจของนายจ้าง ซึ่งจะไม่เกิดอุปสรรคหรือปัญหาจากกระบวนการที่ซับซ้อนอีกต่อไป การปรับปรุงระบบอิเล็กทรอนิกส์เริ่มต้นในวันที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และคาดว่ากระบวนการจะได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นในเร็วๆ นี้ โดยนายจำนงค์หวังว่าการดำเนินการในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการแรงงานต่างด้าวและทำให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น.
อรรถพันธ์ มาศรังสรรค์ ที่ปรึกษาด้านแรงงาน สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย ได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับปัญหาของการใช้แรงงานข้ามชาติในอุตสาหกรรมทูน่าของประเทศไทย โดยเฉพาะการพึ่งพาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเช่น พม่า ซึ่งขณะนี้มีจำนวนถึง 70,000 คนในอุตสาหกรรมนี้ อุตสาหกรรมทูน่าของไทยสร้างรายได้ถึง 73,500 ล้านบาทต่อปีและเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกทูน่ารายใหญ่ที่สุดของโลก โดยส่วนใหญ่แรงงานในอุตสาหกรรมนี้มาจากแรงงานต่างชาติ ซึ่งพบว่าแรงงานไทยไม่ค่อยให้ความสนใจในงาน 3D หรือ Difficult, Dirty, Dangerous อย่างเช่นในโรงงานผลิตทูน่า การใช้แรงงานข้ามชาติเป็นเรื่องปกติที่สมาคมได้ชี้แจงว่าเริ่มมีปัญหามากขึ้นเมื่อมีการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลแรงงาน และการตรวจสอบแรงงานข้ามชาติที่มีอยู่ในระบบอย่างถูกต้อง
อรรถพันธ์ ยังพูดถึงความกังวลเกี่ยวกับการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 24 กันยายน ที่กำหนดให้ต้องมีการลงทะเบียนแรงงานข้ามชาติในระบบของรัฐบาลภายในเวลา 46 วัน ซึ่งมีความท้าทายในการประมวลผลข้อมูลและการรับรองว่าเจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการได้ตามกำหนดโดยไม่มีปัญหาทางเทคนิคที่อาจเกิดจากการล่มของระบบคอมพิวเตอร์ และเสนอแนวทางการใช้ Big Data เพื่อการจัดการข้อมูลแรงงานข้ามชาติอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการใช้ข้อมูลจากแต่ละจังหวัดและอุตสาหกรรม เพื่อให้สามารถคำนวณและจัดการจำนวนแรงงานที่ต้องการในแต่ละภาคอุตสาหกรรมได้อย่างแม่นยำและทันเวลา
“หากเรามี Big Data ที่แข็งแกร่ง เราจะสามารถบริหารจัดการแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และคำนวณปริมาณแรงงานที่ต้องการในแต่ละอุตสาหกรรม รวมถึงตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลแรงงานข้ามชาติในทุกๆ จังหวัด” อรรถพันธ์กล่าวในท้ายที่สุด.
นิลุบล พงษ์พยอม ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มนายจ้างแรงงานต่างด้าว ได้แสดงความกังวลต่อกระบวนการที่รัฐบาลกำหนดให้การขยายใบอนุญาตทำงานสำหรับแรงงานต่างด้าวในครั้งนี้ต้องเสร็จสิ้นภายในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 โดยระบุว่า ระยะเวลาและขั้นตอนต่างๆ เช่น การตรวจสุขภาพ การต่อวีซ่า การจ่ายภาษี รวมถึงการยื่นเอกสารต่อกรมการจัดหางานนั้นมีความยุ่งยาก และทำให้กลุ่มนายจ้างรายย่อยต้องเผชิญกับความล่าช้าและภาระที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัญหาจากระบบออนไลน์ที่ไม่เสถียร และการขายคิวในกระบวนการที่หลายคนพบเจอ
ข้อเสนอจากกลุ่มนายจ้างคือการยกระดับการใช้ระบบออนไลน์ (E-Services) สำหรับขั้นตอนการยื่นเอกสารและการจ่ายเงิน เพื่อให้กระบวนการทั้งหมดรวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่วิกฤตน้ำท่วมทำให้การเดินทางไปยังสำนักงานต่างๆ เป็นเรื่องยากลำบาก
ทั้งนี้ ข้อกำหนดที่เพิ่มขึ้น เช่น การบังคับให้ซื้อประกันสุขภาพเอกชน ยังเป็นหนึ่งในประเด็นที่ได้รับความไม่พอใจจากกลุ่มนายจ้างที่ส่วนใหญ่เป็น SMEs และผู้ประกอบการรายย่อย ที่เห็นว่าภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นนั้นไม่สอดคล้องกับภาระของธุรกิจ การขยายมติ ครม. ต่ออายุแรงงานต่างด้าวในครั้งนี้สะท้อนถึงความท้าทายในการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติ ซึ่งมีจำนวนมากถึง 2 ล้านคน โดยในระยะเวลาที่เหลือไม่ถึง 2 เดือนนั้น ต้องเร่งดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใต้เงื่อนไขที่ค่อนข้างเข้มงวดและไม่ยืดหยุ่น
รศ.ดร.กิริยา กุลกลการ จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการดำเนินงานด้านแรงงานข้ามชาติ โดยระบุว่า การปรับเปลี่ยนระบบการจัดการแรงงานข้ามชาติผ่าน MOU เพื่อให้แรงงานต่างชาติสามารถเข้าและออกจากประเทศได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเป็นความฝันที่ถูกวางไว้ตั้งแต่ปี 2533 และกำลังจะเกิดขึ้นในระยะใกล้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงระบบนี้ได้สร้างความกังวลให้กับทั้งภาครัฐและเอกชน การเปลี่ยนแปลงที่ท้าทาย การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบต่อทั้งกระทรวงแรงงานและภาคเอกชน โดยเฉพาะในเรื่องของค่าใช้จ่ายและขั้นตอนที่ซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบในด้านเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็กที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับระบบใหม่ ทั้งนี้ แม้ว่าระบบออนไลน์จะได้รับการพัฒนาเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว แต่การขาดการประชาสัมพันธ์ที่ชัดเจนยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในการนำระบบใหม่ไปใช้
กระทรวงแรงงานกับความพร้อม แม้กระทรวงแรงงานจะยืนยันถึงความพร้อมในการปรับใช้ระบบออนไลน์ แต่ภาคเอกชนยังคงสงสัยในความสามารถของระบบในการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เหลือเพียง 40 วันก่อนการดำเนินการเต็มรูปแบบ ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาในการดำเนินการ และอาจส่งผลให้เกิดการทุจริตหรือคอร์รัปชันตามมา
ข้อเสนอในการขยายเวลา รศ.ดร.กิริยาได้เสนอให้ขยายเวลาการปรับใช้ระบบ MOU ออกไปอีก เพื่อให้กระทรวงแรงงานสามารถดำเนินการประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ครบถ้วน และช่วยให้เอกชนสามารถปรับตัวได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และคาดหวังว่าจะสามารถสร้างระบบที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต การปรับระบบแรงงานข้ามชาตินี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติ อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการที่ดีและการรับมือกับข้อจำกัดของภาคเอกชนจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การเปลี่ยนแปลงนี้สำเร็จไปด้วยดี
สหัสวัต คุ้มคง ส.ส. พรรคประชาชน ได้กล่าวถึงปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาทางระบบและการจัดการที่ซับซ้อน โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์ปัจจุบันที่มีทั้งวิกฤตสงครามในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา รวมถึงปัญหาการขึ้นทะเบียนแรงงานที่เต็มไปด้วยความยุ่งยากและค่าใช้จ่ายสูง โดยมองว่าการปฏิรูประบบดังกล่าวจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงในหลายด้านเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
สหัสวัตชี้ว่า กระบวนการขึ้นทะเบียนแรงงานในปัจจุบันไม่เพียงแต่มีค่าใช้จ่ายสูง แต่ยังซับซ้อนและใช้เวลานาน ซึ่งขัดกับหลักการสากลที่มุ่งเน้นให้กระบวนการเป็น “ถูกต้อง รวดเร็ว และง่าย” เขายกตัวอย่างกระบวนการขึ้นทะเบียนที่มีอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบัน ว่าแทบไม่มีความสะดวกในการเข้าถึง เพราะผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจต้องพึ่งพาบริษัทจัดหางานเอกชน (บจ.) ซึ่งมักจะสร้างปัญหาด้านกฎระเบียบและอาจทำให้เกิดการละเมิดกฎหมาย
สหัสวัต เสนอว่า ควรมีการจัดตั้งระบบ “One Stop Service” เพื่อให้ผู้จ้างงานสามารถดำเนินการขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติได้ในที่เดียวและทำให้กระบวนการทั้งหมดยืดหยุ่น รวดเร็ว และสะดวกยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาบริษัทเอกชนหรือกระบวนการที่ซับซ้อนอีกต่อไป อีกทั้งควรนำเสนอแนวทางการกระจายอำนาจในการจัดการขึ้นทะเบียนไปยังหน่วยงานท้องถิ่น ซึ่งสามารถมีฐานข้อมูล (Big Data) ที่สามารถติดตามและดูแลแรงงานข้ามชาติในพื้นที่นั้น ๆ ได้โดยตรง
อีกหนึ่งประเด็นที่นายสหัสวัตเน้นย้ำคือการจัดการประกันสุขภาพสำหรับแรงงานข้ามชาติ ซึ่งควรจะรวมเข้ากับระบบประกันสังคมของรัฐไทย โดยไม่ควรปล่อยให้ข้อมูลสุขภาพของแรงงานข้ามชาติอยู่ในมือของภาคเอกชน เพราะข้อมูลเหล่านี้มีมูลค่าสูงและเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ ดังนั้น การให้แรงงานข้ามชาติทุกคนได้รับการคุ้มครองในระบบประกันสังคมจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล ในส่วนของการทำ MOU ระหว่างรัฐบาลไทยและประเทศต้นทาง เช่น เมียนมาร์ นายสหัสวัตยอมรับว่าขณะนี้สถานการณ์ในเมียนมาร์ทำให้การเจรจาทำ MOU เป็นเรื่องยาก แต่เขามองว่าควรมีการดำเนินการขึ้นทะเบียนแรงงานอย่างรวดเร็วภายในประเทศไทยก่อน และเมื่อสถานการณ์ในประเทศต้นทางดีขึ้น จึงสามารถกลับมาทำ MOU อย่างเป็นระบบได้
สหัสวัตได้กล่าวทิ้งท้ายว่า พรรคประชาชนเห็นควรให้การขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติเป็นเรื่องง่าย รวดเร็ว และโปร่งใส โดยการปฏิรูปกระบวนการให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของภาครัฐ พร้อมกับการกระจายอำนาจไปยังท้องถิ่นเพื่อให้การจัดการแรงงานข้ามชาติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
“การทำให้กระบวนการขึ้นทะเบียนง่ายและเร็ว จะทำให้แรงงานข้ามชาติได้รับการดูแลที่ดีขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อทั้งประเทศ” สหัสวัต กล่าว.