ปี 2567 คนเหนือป่วยจากโรคมลพิษทางอากาศ 2,338,240 คน ‘เชียงใหม่’ ครองแชมป์จำนวนผู้ป่วยมากสุด 359,672 คน

เรื่อง: ผกามาศ ไกรนรา


  • ปี 2567 ประเทศไทยมีผู้ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศสูงถึง 12,006,695 คน โดยในภาคเหนือมีจำนวนผู้ป่วยมากถึง 2,338,240 คน คิดเป็น 19.5% หรือเกือบ 1 ใน 5 ของผู้ป่วยทั่วประเทศ
  • โรคที่พบบ่อยที่สุดในกลุ่มผู้ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศในภาคเหนือคือ ‘กลุ่มโรคทางเดินหายใจ’ ซึ่งมีผู้ป่วยมากถึง 993,077 คน โดยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง พบผู้ป่วยจำนวน 301,844 คน ซึ่งถือว่ามากที่สุดในกลุ่มโรคทางเดินหายใจ
  • เชียงใหม่มีผู้ป่วยโรคจากมลพิษทางอากาศสูงสุดในภาคเหนือและเป็นอันดับ 3 ของประเทศถึง 359,672 คน ขณะที่แม่ฮ่องสอนมีผู้ป่วยน้อยที่สุดเพียง 54,091 คน ทั้งนี้ เชียงใหม่มีจำนวนผู้ป่วยสูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในเกือบทุกโรค ยกเว้นโรคคออักเสบเฉียบพลันที่ ‘พิษณุโลก’ มีจำนวนผู้ป่วยสูงที่สุดด้วยจำนวน 33,365 คน
  • ภาระค่าใช้จ่ายในการป้องกันฝุ่นพิษ เช่น ค่าหน้ากากกันฝุ่น เครื่องกรองอากาศ และค่าไฟ ถือเป็นภาระที่หลีกเลี่ยงได้ยากและคิดเป็นประมาณ 25.6% – 28.9% หรือสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของค่าแรงขั้นต่ำต่อเดือน
  • จำนวนห้องปลอดฝุ่นในแต่ละจังหวัดไม่สัมพันธ์กับความรุนแรงของปัญหามลพิษทางอากาศ สุโขทัยมีห้องมากที่สุดถึง 1,281 ห้อง รองรับคนได้กว่า 94,694 คน ขณะที่เชียงใหม่ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศสูงที่สุดในภูมิภาคกลับมีห้องปลอดฝุ่นเพียง 213 ห้อง ซึ่งสามารถรองรับคนได้แค่ราว 2,831 คน

จริงอยู่ที่ว่าสุขภาพดี เป็นสิ่งที่ใครหลายคนพึงปรารถนา เพราะคงไม่มีใครอยากเผชิญกับความเจ็บป่วย แต่ในภาคเหนือของไทย ความหวังนั้นกลับดูเลือนรางลงทุกทีเมื่อมลพิษทางอากาศโดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ยังคงปกคลุมและคุกคามชีวิตผู้คนอย่างต่อเนื่อง ปัญหานี้ไม่ได้เพียงทำให้ท้องฟ้าหมองหม่น แต่ยังทำให้สุขภาพของประชาชนตกอยู่ในความเสี่ยงที่ยากจะหลีกเลี่ยง..

ต่อเนื่องจากรายงาน ปี 2567 มี 366 วัน คนเหนือจมฝุ่นพิษเฉลี่ย 228 วัน หายใจในอากาศดีได้แค่ 4 เดือน และกฎหมายอากาศสะอาดจะมากี่โมง? รายงานชิ้นนี้จะชวนสำรวจเพิ่มเติมว่า แล้วในปี 2567 ภาคเหนือมีผู้ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศมากน้อยเพียงใด และจังหวัดไหนมีจำนวนผู้ป่วยสูงที่สุด?

ปี 2567 ภาคเหนือมีผู้ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศเท่าไหร่? และจังหวัดไหนมีผู้ป่วยเยอะสุด?

ในปี 2567 ปัญหามลพิษทางอากาศยังคงเป็นเงามืดที่คุกคามชีวิตและสุขภาพของคนไทย โดยเฉพาะกับคนในภาคเหนือ ข้อมูลจากระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ (HDC Service)1 ของกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ในปีงบประมาณ 2567 ประเทศไทยมีผู้ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศสูงถึง 12,006,695 คน โดยในภาคเหนือมีจำนวนผู้ป่วยมากถึง 2,338,240 คน คิดเป็น 19.5% หรือเกือบ 1 ใน 5 ของผู้ป่วยทั่วประเทศ

เมื่อพิจารณาในระดับจังหวัดพบว่า ‘เชียงใหม่’ เป็นพื้นที่ที่มีจำนวนผู้ป่วยสูงที่สุดในภาคเหนือ โดยมีประชาชนที่ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศมากถึง 359,672 คน รองลงมาคือเชียงรายที่มีผู้ป่วย 226,523 คน ตามมาด้วย พิษณุโลก 213,112 คน นครสวรรค์ 200,006 คน เพชรบูรณ์ 150,226 คน ลำปาง 137,599 คน กำแพงเพชร 137,523 คน พิจิตร 119,583 คน พะเยา 116,136 คน ตาก 101,180 คน น่าน 97,468 คน สุโขทัย 90,968 คน แพร่ 90,759 คน ลำพูน 83,020 คน อุทัยธานี 82,660 คน และอุตรดิตถ์ 77,714 คน ส่วนจังหวัดที่มีผู้ป่วยน้อยที่สุดคือ ‘แม่ฮ่องสอน’ ซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยเพียง 54,091 คน

โรคที่พบบ่อยที่สุดในกลุ่มผู้ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศในภาคเหนือคือ ‘กลุ่มโรคทางเดินหายใจ’ ซึ่งมีผู้ป่วยมากถึง 993,077 คน โดยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease) พบผู้ป่วยจำนวน 301,844 คน ซึ่งถือว่ามากที่สุดในกลุ่มโรคทางเดินหายใจ รองลงมาคือโรคผิวหนังอักเสบจำนวน 550,018 คน โรคตาอักเสบ 395,437 คน และกลุ่มโรคหัวใจหลอดเลือดและสมองอุดตันขาดเลือดจำนวน 338,546 คน โดยโรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular Diseases) พบผู้ป่วยมากถึง 334,426 คน 

สำหรับโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งปอด (Lung cancer) พบผู้ป่วยจำนวน 61,160 คนในภาคเหนือ แม้โรคเหล่านี้จะมีสาเหตุร่วมจากปัจจัยอื่นหลายประการ แต่มลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่สูงเกินมาตรฐานมาเป็นระยะเวลานานก็ถูกมองว่าเป็น ‘ตัวเร่งสำคัญ’2 ที่ทำให้คนภาคเหนือต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ เชียงใหม่ มีจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศสูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในเกือบทุกโรค อย่างไรก็ตาม สำหรับโรคคออักเสบเฉียบพลัน (Acute Pharyngitis) กลับพบว่า พิษณุโลก มีจำนวนผู้ป่วยสูงที่สุดในภาคเหนือ ด้วยจำนวน 33,365 คน ขณะที่เชียงใหม่มีผู้ป่วยรองลงมาที่ 33,191 คน นอกจากนี้ ในกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับการได้รับมลพิษโดยตรง (Exposure to air pollution) พบเพียง 2 รายเท่านั้นในภาคเหนือ ซึ่งทั้งสองรายอยู่ที่จังหวัดเชียงราย

ราคาที่ต้องจ่ายถ้าอยากรอดปลอดฝุ่น

การเผชิญหน้ากับฝุ่น PM2.5 ไม่ได้กระทบแค่สุขภาพของเราเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมกับภาระค่าใช้จ่ายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ทุกครั้งที่ฤดูฝุ่นมาถึง แล้วในช่วงเวลาเหล่านั้น เราต้องจ่ายค่าอะไรบ้าง หากต้องการป้องกันสุขภาพจากอันตรายของฝุ่นพิษ?

หนึ่งในค่าใช้จ่ายหลักที่ต้องคำนึงถึงเลยก็คือ ‘ค่าหน้ากากกันฝุ่น’ ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันสุขภาพจากฝุ่นละออง จากงานศึกษาของ Greenpeace3 และการสำรวจข้อมูลโดย ธร ปีติดล และ ภวินทร์ เตวียนันท์ ในบทความ เมื่อฝุ่น PM 2.5 เผชิญกับความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ของ The 101 World4 พบว่า ราคาของหน้ากาก N95 ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันฝุ่น PM2.5 อยู่ที่ประมาณ 20 – 30 บาทต่อชิ้น และราคาเครื่องกรองอากาศ เครื่องละ 3,000 บาท ขึ้นไป หากพิจารณาตามคำแนะนำทางการแพทย์ที่ให้เปลี่ยนหน้ากากทุกวัน การใช้หน้ากาก N95 จะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 600 – 900 บาทต่อเดือนต่อคน (20 – 30 บาท x 30 วัน)

นอกจากหน้ากากกันฝุ่น อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ‘ค่าเครื่องกรองอากาศ’ ซึ่งถือเป็นอุปกรณ์สำคัญในการลดปริมาณฝุ่นพิษภายในบ้าน แต่เครื่องที่สามารถป้องกันฝุ่น PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพก็มักจะมีราคาขั้นต่ำอย่างน้อย 3,000 บาทขึ้นไป หากกำหนดยี่ห้อเครื่องกรองอากาศที่ต้องการจะซื้อเป็น Xiaomi ซึ่งเป็นยี่ห้อที่นิยมใช้กันทั่วไป5 เครื่องกรองอากาศที่มีราคาใกล้เคียงกับ 3,000 บาท มากที่สุดคือ Xiaomi Smart Air Purifier 4 Lite ซึ่งมีราคาเต็มอยู่ที่ 4,990 บาท หากไม่ซื้อด้วยเงินสดและเลือกผ่อนเป็นระยะเวลา 3 เดือน จะตกเดือนละประมาณ 1,663 บาท โดยไม่รวมดอกเบี้ย

แม้จะสามารถหาโปรโมชันส่วนลดหรือเลือกซื้อจากร้านอื่นในราคาที่ถูกกว่าได้ แต่ต้นทุนนี้ก็ยังถือว่าเป็นภาระทางการเงินที่สูง และอาจไม่ใช่ทุกคนที่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายนี้ได้ท่ามกลางวิกฤตฝุ่นพิษ

พ่วงมากับเครื่องค่ากรองอากาศยังมี ‘ค่าไฟฟ้า’ โดยหากสมมติว่าต้องการใช้งาน Xiaomi Smart Air Purifier 4 Lite ซึ่งใช้กำลังไฟ 30 วัตต์ ต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง หากเปิดตลอดทั้งวันจะใช้ไฟฟ้าประมาณ (30 x 1 / 1000) x 24 = 0.72 หน่วยต่อวัน หรือราว 0.72 x 30 = 21.6 หน่วยต่อเดือน หากนำข้อมูลไปเทียบในระบบประมาณการค่าไฟฟ้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค7 โดยประมาณเป็น 22 หน่วย (เนื่องจากการแสดงตัวเลขในเว็บประมาณการไม่รองรับทศนิยม) เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราค่าไฟฟ้าในประเภทบ้านอยู่อาศัย (อัตราปกติ) สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่ใช้พลังงานไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน ค่าไฟฟ้าจะอยู่ที่ประมาณ 77.49 บาทต่อเดือน*

นอกจากนี้ยังมีต้นทุนด้านสุขภาพ เช่น ค่าอุปกรณ์ล้างจมูก (น้ำเกลือและอุปกรณ์ล้างจมูก) ค่ายาล้างตา ค่ายาหยอดตา ค่ายาแก้แพ้ และค่ารักษาพยาบาลที่อาจเกิดขึ้นจากการเผชิญกับมลพิษทางอากาศที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง งานศึกษาหลายชิ้นพบว่าการสูดฝุ่น PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคทางเดินหายใจหลายชนิด เช่น โรคภูมิแพ้ โรคหลอดลมอักเสบ โรคปอดอักเสบ โรคถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดในสมอง และแม้แต่โรคมะเร็งปอด โดยในแต่ละโรคนั้นสามารถแจกแจงค่ารักษาพยาบาลได้เป็นกลุ่มๆ ดังนี้

โรคที่อาจเกิดจาก PM2.5ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ
โรคภูมิแพ้หรือระบบทางเดินหายใจค่าใช้จ่ายขั้นต่ำที่ 500 – 1,000 บาทต่อครั้ง
โรคหลอดลมอักเสบและปอดอักเสบค่ารักษาเริ่มต้นอยู่ที่ 5,000 – 10,000 บาทต่อครั้ง
โรคถุงลงโป่งพอง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดในสมองค่ารักษาเริ่มต้นอยู่ที่ 50,000 – 100,000 บาทต่อครั้ง
โรคมะเร็งปอด100,000 – 1,000,000 บาท
ที่มา: บทความ เมื่อฝุ่น PM 2.5 เผชิญกับความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย โดย ธร ปีติดล และ ภวินทร์ เตวียนันท์ The 101 World

อีกทางเลือกหนึ่งในการลดความเสี่ยงจากมลพิษ PM2.5 คือการทำประกันภัยสุขภาพ ซึ่งปัจจุบันมีประกันที่ครอบคลุมโรคร้ายแรงที่เกิดจากฝุ่นพิษ เช่น ประกันภัย ‘เจอ จ่าย จบ’ จากกรุงไทย ที่มีเบี้ยประกันเริ่มต้นเพียง 216 บาทต่อปี หรือราว 18 บาทต่อเดือน8

หากลองคำนวณค่าใช้จ่ายเบื้องต้นในช่วง 3 เดือนแรกของฤดูฝุ่นเล่นๆ โดยไม่นับรวมค่ารักษาพยาบาล จะได้ค่าใช้จ่ายดังนี้

  • ค่าหน้ากากกันฝุ่น 600 – 900 บาทต่อเดือน
  • ค่าเครื่องกรองอากาศ ผ่อน 3 เดือน (ไม่นับรวมดอกเบี้ย) ตกเดือนละ 1,663 บาท
  • ค่าไฟฟ้าจากเครื่องกรองอากาศ ประมาณ 77.49 บาทต่อเดือน
  • ค่าประกัน PM2.5 18 บาทต่อเดือน

รวมแล้วค่าใช้จ่ายต่อเดือนในช่วง 3 เดือนแรกของฤดูฝุ่นจะอยู่ที่ประมาณ 2,358.49 – 2,658.49 บาท หากเปรียบเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำภาคเหนือที่เฉลี่ยวันละ 354 บาท โดยหากทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ หรือประมาณ 26 วันต่อเดือน* จะมีรายได้ประมาณ 9,204 บาทต่อเดือน หมายความว่าค่าใช้จ่ายในการป้องกันฝุ่น PM2.5 ดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 25.6% – 28.9% หรือเกือบ 1 ใน 3 ของรายได้ขั้นต่ำต่อเดือน

ลองคิดเล่นๆ หากครอบครัวหนึ่งมีสมาชิก 4 คน ค่าใช้จ่ายสำหรับหน้ากากเพียงอย่างเดียวจะสูงถึง 2,400 – 3,600 บาทต่อเดือน หากรวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าเครื่องฟอกอากาศที่กลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันสำหรับหลายบ้าน ค่าไฟ หรือแม้แต่ค่าประกันภัยสุขภาพ ค่าใช้จ่ายสำหรับหนึ่งครอบครัวอาจตกอยู่ที่ราว 4,212.49 ถึง 5,412.49 บาทต่อเดือน ไม่นับรวมกับค่าครองชีพพื้นฐานอื่น นี่คือราคาที่คนเหนือจำเป็นต้องจ่ายเพื่อแลกกับโอกาสที่จะได้ ‘หายใจ’ อย่างปลอดภัยท่ามกลางวิกฤตฝุ่นพิษที่ไม่มีทีท่าว่าจะจบลงในเร็ววัน

และแน่นอนว่าเมื่อปัญหาฝุ่น PM2.5 เกิดขึ้นในสังคมที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำสูงอย่างสังคมไทย ความเหลื่อมล้ำในหลายๆ ด้านก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีบทบาทในการกระจายผลกระทบจากปัญหานี้อย่างชัดเจน คนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจต่างกัน ย่อมมีความสามารถในการรับมือกับวิกฤตฝุ่นพิษที่แตกต่างกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าผู้ที่มีรายได้น้อยจะไม่ได้มีส่วนในการก่อมลพิษ แต่กลับกลายเป็นผู้ที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากฝุ่น PM2.5 มากที่สุด เพราะข้อจำกัดทางเศรษฐกิจทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ เช่น เครื่องฟอกอากาศที่มีราคาแพง หรือแม้แต่การเปลี่ยนหน้ากาก N95 ทุกวัน ซึ่งถือเป็นต้นทุนที่เกินกำลังของหลายคน

ยิ่งไปกว่านั้น บ้านพักอาศัยที่มีลักษณะเป็นบ้านเปิดโล่ง ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการรับฝุ่น PM2.5 เนื่องจากแม้จะมีเครื่องฟอกอากาศ แต่ก็ไม่สามารถป้องกันฝุ่นที่เข้าสู่ภายในบ้านได้อย่างเต็มที่ และยิ่งสำหรับคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการเผาไหม้ในช่วงฤดูฝุ่น จะยิ่งต้องเผชิญกับมลพิษที่เกินขีดจำกัดของสุขภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าคนกลุ่มนี้ก็มักที่จะมีความเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศมากขึ้นตามได้วยเช่นกัน

บริการสุขภาพของไทยกับการรับมือฝุ่นพิษ

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ได้กลายเป็นภัยเงียบที่แทรกซึมในชีวิตประจำวันของผู้คน โดยเฉพาะในภาคเหนือ ซึ่งเผชิญปัญหามลพิษทางอากาศในทุกปี วิสัยทัศน์ที่ถูกบดบังด้วยม่านฝุ่นไม่ใช่เพียงภาพสะท้อนถึงคุณภาพอากาศที่ถดถอย หากแต่ยังเป็นสัญญาณของความเสี่ยงทางสุขภาพที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ คำถามสำคัญคือ ระบบสุขภาพของไทยพร้อมแค่ไหนที่จะรับมือกับวิกฤตฝุ่นพิษ?

หนึ่งในมาตรการที่ถูกผลักดันเพื่อรับมือกับปัญหานี้คือการจัดตั้ง ‘ห้องปลอดฝุ่น’ ซึ่งจัดทำโดย กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข โดยโครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงสามารถสูดอากาศสะอาดบริสุทธิ์ได้ในช่วงวิกฤตฝุ่นควัน จากข้อมูลของกรมอนามัยพบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีห้องปลอดฝุ่นกว่า 10,672 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งรองรับประชาชนได้มากถึง 1,291,773 คน โดยในภาคเหนือซึ่งเป็นเป็นภูมิภาคที่เผชิญกับปัญหาฝุ่นพิษรุนแรงมากที่สุดภูมิภาคหนึ่ง มีห้องปลอดฝุ่นอยู่ที่ 4,865 แห่ง คิดเป็นสัดส่วนราว 45.6% ของทั้งหมด โดยรองรับประชาชนได้ราว 427,470 คน หรือคิดเป็น 33.1% ของจำนวนประชาชนที่โครงการนี้รองรับได้ทั่วประเทศ6

ที่น่าสนใจคือ การกระจายตัวของห้องปลอดฝุ่นในแต่ละจังหวัดไม่ได้สอดคล้องกับระดับความรุนแรงของปัญหามลพิษทางอากาศในแต่ละจังหวัดเสมอไป สุโขทัย กลายเป็นจังหวัดที่มีจำนวนห้องปลอดฝุ่นมากที่สุดในภูมิภาค ด้วยจำนวนถึง 1,281 ห้อง รองรับประชาชนได้กว่า 94,694 คน ในทางกลับกัน เชียงใหม่ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศสูงที่สุดในภูมิภาค กลับมีห้องปลอดฝุ่นเพียง 213 ห้อง ซึ่งสามารถรองรับประชาชนได้เพียง 2,831 คนเท่านั้น นอกจากนี้ จังหวัดที่มีห้องปลอดฝุ่นน้อยที่สุดคือ ‘ลำปาง’ ซึ่งมีเพียง 41 ห้อง และมีอาคารพักพิง (Clean Air Shelter) เพียงแห่งเดียวในภูมิภาค

นอกจากโครงการห้องปลอดฝุ่น การตอบสนองต่อภาวะวิกฤตด้านสุขภาพยังอยู่ในความรับผิดชอบของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีหน้าที่ดูแลฐานข้อมูลฝุ่นและผลกระทบต่อสุขภาพ รวมถึงการเปิด ‘ศูนย์ตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข’ ร่วมกับหน่วยงานราชการ เช่น กระทรวงมหาดไทย

ในด้านสิทธิประโยชน์ด้านการรักษา ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยซึ่งประกอบด้วยสิทธิข้าราชการ สิทธิประกันสังคม และสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ได้จัดเตรียมชุดสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับมลภาวะทางอากาศอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน โรคผิวหนัง ตาอักเสบ ไปจนถึงมะเร็งปอด7

ขณะเดียวกัน ภายใต้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) รัฐได้ขยายการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยที่เกี่ยวข้องกับฝุ่น PM2.5 จากเดิม 16 กลุ่มอาการ เป็น 32 กลุ่มอาการ ครอบคลุมอาการทั่วไป เช่น ไอ เจ็บคอ ตาแดง และผื่นคัน โดยประชาชนสามารถเข้ารับการปรึกษาเภสัชกรและรับยาตามอาการได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายที่ร้านยาเครือข่ายกว่า 400 แห่ง

สำหรับผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมภายใต้มาตรา 33 และ 39 มีสิทธิได้รับการตรวจสุขภาพฟรีปีละ 1 ครั้ง ซึ่งรวมถึงการตรวจเอกซเรย์ปอด ในกรณีที่ผู้ประกันตนเจ็บป่วยจากฝุ่น PM2.5 สามารถเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลตามสิทธิได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม มาตรการการรักษานี้ยังนำร่องเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลเท่านั้น

การเผชิญหน้ากับมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะ PM2.5 ไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่ทัศนวิสัยหรือคุณภาพชีวิต แต่ยังกลายเป็นวิกฤตสุขภาพที่สร้างภาระทั้งทางกายและการเงินให้เราทุกคนอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้จะมีมาตรการจากภาครัฐ เช่น ห้องปลอดฝุ่นหรือสิทธิประโยชน์ทางสุขภาพที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อน แต่ปัญหาฝุ่นพิษยังต้องการการแก้ไขเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง เพราะท้ายที่สุดแล้ว อากาศดีคือสิ่งที่ไม่ควรต้องแลกมาด้วยปอดของใคร

การแก้ปัญา PM2.5 ทำไมต้องรอความร่วมมือ?

แม้ในช่วงที่ผ่านมา แม้หน่วยงานรัฐจะดำเนินมาตรการหลายอย่าง เช่น การฉีดน้ำลดฝุ่น ทำฝนเทียม ห้ามเผาไร่ข้าวโพดและอ้อย ตรวจจับควันดำจากรถยนต์ หรือแม้แต่การรณรงค์ให้งดจุดธูปและหมูกระทะ แต่มาตรการเหล่านี้ยังเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ปลายเหตุ มากกว่าการจัดการต้นตอของมลพิษ8

ด้านกระทรวงสาธารณสุขเองก็มีความพยายามปรับตัวเพื่อรับมือกับวิกฤตฝุ่น PM2.5 ด้วยการปรับ 5 มาตรการด้านสาธารณสุขรับมือ PM2.5 ผ่านการจัดตั้งศูนย์ฉุกเฉินด้านการแพทย์ใน 10 จังหวัด พร้อมเปิดศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพ และจัดตั้งทีมฉุกเฉินดูแลกลุ่มเปราะบางกว่า 900 ทีม นอกจากนี้ยังมีมาตรการ Work From Home การจัดคลินิกมลพิษ การเตรียมห้องปลอดฝุ่น และการแจกจ่ายหน้ากากอนามัยจำนวนมาก แต่เมื่อพิจารณาในภาพรวม จะพบว่ามาตรการเหล่านี้ยังคงเน้นการ ‘ปรับตัว’ และ ‘ขอความร่วมมือ’ มากกว่าการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ

ตัวอย่างชัดเจนคือมาตรการ Work From Home จากการสำรวจความเห็นโซเชียลมีเดีย คิดเห็นอย่างไรต่อการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 โดยประชาชาติธุรกิจ พบว่า มาตรการขอความร่วมมือ Work From Home แม้จะช่วยลดการสัมผัสฝุ่นได้บางส่วน แต่กลับมีข้อจำกัดจากการที่ไม่ใช่ทุกอาชีพสามารถทำงานจากบ้านได้ อีกทั้งบางองค์กรไม่มีนโยบายนี้เพราะไม่มีกฎหมายบังคับ นอกจากนี้ หลายองค์กรยังขาดความพร้อมด้านระบบและอุปกรณ์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน แม้จะเป็นมาตรการที่ช่วยบรรเทาผลกระทบได้ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในการนำไปปฏิบัติ

จากการพยากรณ์ของกรมควบคุมโรค หากมีนโยบายป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นที่ชัดเจน พร้อมการให้ความร่วมมือที่ดี ค่าเฉลี่ยฝุ่น PM2.5 อาจลดลงถึง 20% ซึ่งจะช่วยให้จำนวนผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังลดลง 7% ต่อปี และผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันลดลง 4% ต่อปี อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญคือ ทำไมต้องรอ ‘ความร่วมมือ’ ทั้งที่ปัญหาฝุ่นเป็นเรื่องของการจัดการเชิงโครงสร้างที่รัฐควรรับผิดชอบอย่างจริงจังในการลดต้นเหตุ?


หมายเหตุ

  • [*] ข้อมูลนี้ถูกคำนวณขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งมีค่า Ft อยู่ที่ 36.72 สตางค์/หน่วย
  • การคำนวณจำนวนหน่วยไฟฟ้าคิดจาก (กำลังไฟฟ้า (วัตต์) x จำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้า ÷  1,000) x จำนวนชั่วโมงที่ใช้ใน 1 วัน = จำนวนหน่วยต่อวัน (ยูนิต)
  • การคำนวณอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในที่นี้คิดเป็นอัตราแบบรายวันคือ อัตราค่าจ้างต่อวัน x จำนวนวันที่มาทำงาน

อ้างอิง

ผกามาศ ไกรนรา

อดีตนักศึกษารัฐศาสตร์ฯ การระหว่างประเทศ จากแดนใต้ ที่หลงเสน่ห์เชียงใหม่จนกลายเป็นบ้านหลังที่สอง ผู้มีกองดองที่ยังไม่ได้อ่าน และแอบวาดฝันว่าสักวันหนึ่งจะผูกมิตรกับเจ้าเหมียวทุกตัวที่ได้พบเจอ 🙂

ข่าวที่เกี่ยวข้อง