7 พฤศจิกายน 2565
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศิลปินและคนทำงานสร้างสรรค์ ตัวแทนจากกลุ่มนักปฏิบัติการและนักวิชาการด้านวัฒนธรรมเพื่อประชาธิปไตย (นวป) ได้เข้ายื่นหนังสือถึง ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในกรณีที่ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงศ์ศิริ คิดดี อาจารย์ประจําภาควิชาทัศนศิลป์ คณะวิจิตรศิลป์ ฟ้องหมิ่นฯ ฟ้องหมิ่นประมาทนางสาวพีรมณฑ์ ตุลวรรธนะ นักวิจารณ์ศิลปะ ซึ่งเป็นการปิดกั้นเสรีภาพ และวัฒนธรรมการวิจารณ์เป็นพื้นฐานของการคิดและการสร้างสรรค์ทางศิลปะในทางสากล โดยในหนังสือได้แนบรายชื่อของศิลปินและคนทำงานสร้างสรรค์ และประชาชนผู้ที่สนับสนุนกว่า 386 รายชื่ออีกด้วย
ทั้งนี้ทางตัวแทนศิลปินและคนทำงานสร้างสรรค์ได้มารอยื่นหนังสือกับอธิการบดี ตั้งแต่เวลา 15.00 น. เนื่องจากวันนี้มีการประชุมคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยพบปะผู้บริหารส่วนงาน ที่คณะนิติศาสตร์ โดยในเวลา 16.52 น. รองศาสตราจารย์ประเสริฐ ฤกษ์เกรียงไกร รองอธิการบดี และ ดร. จิรวัฒน์ พัสระ มาเป็นตัวแทนอธิบายในการรับหนังสือ โดยเลี่ยงที่จะไม่ให้ทางตัวแทนศิลปินเข้ายื่นหนังสือตรงต่ออธิการบดี และย้ำว่าหนังสือที่ส่งจะส่งถึงอธิการบดีแน่นอน และในเวลา 17.00 น. ขณะที่ตัวแทนศิลปิน กำลังพูดคุยกับตัวแทนฝั่งอธิการบดีอยู่นั้น ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล ได้ขึ้นรถออกไปอย่างรวดเร็ว
ตัวแทนศิลปินและคนทำงานสร้างสรรค์ได้อ่านรายละเอียดดังที่แนบมาในหนังสือใจความดังต่อไปนี้
ร้องเรียนการประพฤติผิดอันมิชอบของ ผศ.ดร. พงศ์ศิริ คิดดี เรียน อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สิ่งที่แนบมาด้วย : เอกสารร้องเรียน รายชื่อผู้สนับสนุนฯ และบทความการวิจารณ์
ข้าพเจ้า ในนามของกลุ่มนักปฏิบัติการและนักวิชาการด้านวัฒนธรรมเพื่อประชาธิปไตย (นวป) ผู้มีรายนามข้างท้ายจดหมายนี้ใครร้องเรียนให้ตรวจสอบพฤติกรรม จรรยาบรรณและจริยธรรมของ ผู้ช่วย ศาสตราจารย์ ดร.พงศ์ศิริ คิดดี อาจารย์ประจําภาควิชาทัศนศิลป์ คณะวิจิตรศิลป์เนื่องจากมีความเห็นว่าพฤติกรรม ของอาจารย์ผู้นี้ทําลายชื่อเสียงของคณะวิจิตรศิลป์ที่มุ่งสู่การเป็นสถานศึกษาด้านศิลปะในระดับสากล ทั้งยังทําลาย บรรยากาศการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศและมุ่งสู่สากลในระดับนานาชาติและ ทําลาย ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วยการกล่าวโทษนักวิจารณ์ศิลปะอย่างไม่เป็นธรรม จงใจกลั่นแกล้งผู้อ่อน อาวุโสกว่าด้วยวิธีทางกฎหมายอย่างน่าละอายใจในฐานะที่เป็นครูอาจารย์ กลับถือโทษ กล่าวโทษต่อผู้วิจารณ์ ผลงานศิลปะด้วยความสุจริตใจ ดังจะได้ขยายความและชี้แจงเหตุผล ดังต่อไปนี้
ในประการแรก สืบเนื่องจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงศ์ศิริ คิดดี ได้กระทําการที่ทําลายบรรยากาศทางวิชาการและ วัฒนธรรมการวิจารณ์ในระนาบสากล ด้วยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางสาวพีรมณฑ์ ตุลวรรธนะ นักเขียนทางศิลปะ และผู้ปฏิบัติงานทางศิลปะวัฒนธรรมของ Gallery VER ถึงสองคดี
คดีแรก ฐานกระทําความผิดในคดีอาญา ข้อหาหมิ่นประมาทและกล่าวหา ในวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๔ โดยระบุว่านางสาวพีรมณฑ์ได้เขียนบทความลงใน นิตยสาร Way Magazine เรื่อง “สมบัติชาติหรือสมบัติใคระ ภาษีเรา รัฐเอาไปเปย์ งานศิลป์อะไรเนี่ยถามจริง” และได้โพสต์ลงสื่อออนไลน์ โดยโจทก์ระบุว่าเนื้อหาในบทความ มีลักษณะของการพาดพิงและการวิพากษ์วิจารณ์งานศิลปะที่โจทก์เป็นคนสร้างสรรค์ขึ้น
คดีที่สอง ฐานะกระทําความผิดในคดีแพ่งในวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๖๕ เป็นคดีสืบเนื่องมาจากคดีอาญา โดย ผศ.ดร. พงศ์ศิริ ผู้เป็นโจทก์ได้เรียกร้องค่าเสียหายจากนางสาวพีรมณฑ์ทั้งสิ้น 1,000,000 บาทถ้วน ฐานละเมิด ต่อสิทธิ ชื่อเสียง และทางทํามาหาได้ของโจทก์
ในนามของกลุ่มนักปฏิบัติการและนักวิชาการด้านวัฒนธรรมเพื่อประชาธิปไตย (นวป) ผู้เกี่ยวข้องกับการศึกษาด้านศิลปะและวัฒนธรรมการวิจารณ์มีความเห็นต่อผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงศ์ศิริ คิดดี ดังต่อไปนี้
ประการแรก ในทางสากล วัฒนธรรมการวิจารณ์เป็นพื้นฐานของการคิดและการสร้างสรรค์ทางศิลปะ การวิจารณ์ถือเป็นหัวใจสําคัญของการส่งเสริมให้ศิลปะงอกงามอย่างสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและ วัฒนธรรม การทํางานของนักเขียนทางศิลปะจึงเป็นดั่งการจุดไฟทางปัญญาให้สาธารณะชนได้ขบคิดต่อความ เปลี่ยนแปลง เป็นการสร้างพลเมืองผู้ตื่นรู้ (active Citizen)
แต่ศิลปินซึ่งมีความชํานาญหรือประสบการณ์ยาวนานเพียงใด ก็ยังอาจมีบกพร่องที่มิอาจเห็นความ ผิดพลาด หรืออ่อนด้อยของตัวเอง จึงเป็นหน้าที่ของนักวิจารณ์ศิลปะ ที่จะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างและข้อบกพร่อง อันพึงมีของปุถุชน เพื่อทําให้ศิลปินได้ตระหนักและพัฒนาผลงานของตัวเอง การใช้ถ้อยคําและภาษาจึงมุ่งหวัง เพื่อให้ตัวศิลปินได้สําเหนียกในประเด็นนี้ อีกทั้งในการวิจารณ์ย่อมต้องสร้างเสริมอารมณ์ ชักจูงใจให้คล้อยตามถึง ข้อดี ข้อด้อย ข้อล้าหลังในตัวผลงานของศิลปิน ซึ่งเป็นธรรมชาติของการวิจารณ์ในระดับสากล ซึ่งอาจมีระดับของ การใช้ถ้อยคําที่ชวนให้ขบคิดหรือท้าทาย หรือกระทั่งทักท้วงถึงบทบาททางสังคม ทางวิชาการ ตลอดจนตัวผลงาน ของศิลปิน และเป็นเรื่องปกติธรรมดาของแวดวงศิลปะในระดับสากล หรือกระทั่งในประเทศไทยที่ผ่านมาไม่เคยมี การฟ้องร้องนักวิจารณ์ศิลปะเลย
นอกจากนี้ ในฐานะอาจารย์ที่ทรงภูมิความรู้และผ่านการอบรมขัดเกลาด้านศิลปะ ก็ย่อมรู้ว่าเมื่อศิลปิน สร้างสรรค์ผลงานแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของสาธารณชนที่จัดเป็นผู้ตัดสินว่าผลงานของศิลปิน ก้าวหน้า ล้าหลัง หรือไม่ พัฒนาในประเด็นใด อีกทั้งยังต้องพิจารณาว่า เมื่อศิลปินรับเอาเงินทุนจากงบประมาณอันเป็นเงินภาษีของ ประชาชนแล้ว สังคมยิ่งต้องเข้ามาตรวจสอบ และมีสิทธิท้วงติง ตั้งคําถามต่อศิลปินและตัวผลงานที่ใช้เงินภาษี
อากร และในฐานะของอาจารย์ในสถานศึกษาขั้นอุดมศึกษา ย่อมต้องมีสัญชาตญาณในการให้อภัยมากกว่า ทําลายล้าง และไม่ถือโกรธเมื่อถูกวิจารณ์ อันเป็นวิสัยของบัณฑิตผู้ทรงธรรม และมีเมตตา หาใช้การแสดงอาการ โกรธเกรี้ยวและกลั่นแกล้งต่อผู้วิจารณ์โดยสุจริต ดังที่ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงศ์ศิริ คิดดี ได้กระทําการฟ้องร้อง ในทางอาญาและแพ่งต่อนางสาวพีรมณฑ์ ซึ่งเป็นนักวิจารณ์ศิลปะได้ทําหน้าที่ของตนเป็นไปตามครรลองอันสมควร ในโลกแห่งการศึกษาและศิลปะ
ประการที่สอง บทความวิจารณ์ของนางสาวพีรมณฑ์ ได้เผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ในเว็ปไซต์นิตยสาร www.waymagazine.org ซึ่งมีเนื้อหาหนักแน่น สร้างสรรค์ และมีบรรณาธิการเป็นที่ยอมรับในสังคมไทยมานาน กว่าทศวรรษ ถึงแม้จะไม่ใช่สื่อเผยแพร่ทางวิชาการ แต่ก็เข้าถึงสาธารณชนในวงกว้าง และส่งผลสะเทือนมากกว่า วารสารวิชาการ ซึ่งในแง่นี้ การฟ้องร้องนักวิจารณ์ศิลปะในนิตยสารยอดนิยม ย่อมไม่เป็นผลดีต่อสถานศึกษาขั้นสูง ในภาพรวม เนื่องจากบทความดังกล่าวได้รับการกลั่นกรองในคุณภาพของเนื้อหาและความเหมาะสมของประเด็น นําเสนอเป็นที่เรียบร้อยจากกองบรรณาธิการ การฟ้องนางสาวพีรมณฑ์ของผศ.ดร. พงศ์ศิริ จึงสมควรถูกตั้งคําถาม ถึงความสมเหตุสมผลทั้งในแง่มโนธรรมสํานึกของครูและผู้ปฏิบัติการทางศิลปะหรือศิลปิน เพราะ ผู้ช่วย ศาสตราจารย์ ดร.พงศ์ศิริ คิดดี ซึ่งอยู่ในฐานะบุคคลากรด้านการศึกษาและคนทํางานศิลปะย่อมต้องพึ่งตระหนักว่า การวิจารณ์เป็นหน่อเกิดทางปัญญาและผู้เป็นอาจารย์ย่อมต้องมีหัวใจอันเปิดกว้างที่จะยอมรับคําวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งยังต้องเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูกศิษย์ด้านความหนักแน่นและสนทนาตอบโต้อย่างสร้างสรรค์ อาทิ การเขียน บทความทางวิชาการชี้แจง, การจัดอภิปรายถึงทิศทางของศิลปะ หรือการผลิตงานทางศิลปะชิ้นใหม่ขึ้นมาเพื่อ ยืนยันสถานะทางความคิดของตน
การฟ้องนางสาวพีรมณฑ์ของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงศ์ศิริ จึงเป็นภาพสะท้อนของการกระทําที่คับ แคบทั้งทางหัวใจของผู้เป็นครูและผู้สร้างสรรค์งานศิลปะ ทั้งยังปฏิเสธหนทางแห่งวัฒนธรรมการวิจารณ์ตาม เส้นทางของอารยชน ทั้งยังขัดต่อแนวทางแผนพัฒนาการศึกษาของมหาวิทยาลัยในการสร้างความเป็นเลิศ ทางด้านการวิจัยและวิชาการซึ่งจําเป็นต้องมีรากฐานของวัฒนธรรมการวิจารณ์ที่เข้มแข็ง และนําไปสู่การมีอํานาจ ทางวัฒนธรรมในแบบซอฟท์พาวเวอร์ (Soft power) ของชาติ
ประการที่สาม การฟ้องร้องของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงศ์ศิริ เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ ผศ.ดร.พงษ์ศิริ ดํารงตําแหน่งในฐานะผู้บริหารของคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ การกระทําดังกล่าวมีผล ต่อภาพลักษณ์ของคณะวิจิตรศิลป์ในฐานะสถาบันทางศิลปะซึ่งเป็นที่ยอมรับมาอย่างยาวนาน มีศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียง ในฐานะศิลปินและนักวิชาการทั้งในระดับชาติและนานาชาติ ทั้งยังกลายเป็นอุปสรรคสําคัญที่จะทําให้คณะวิจิตร ศิลป์ยกระดับไปสู่มาตรฐานอันเป็นสากลและเป้าหมายในการพัฒนาอย่างยั่งยืนของมหาวิทยาลัย เนื่องจาก ปฏิกิริยาต่อการวิจารณ์โดยสุจริตใจที่มีต่อผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงศ์ศิริ ขัดแย้งกับท่าทีที่เป็นปทัสถานทั้งของวง วิชาการ วงการศิลปะ ไม่เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ศิษย์ และไม่เป็นสากล ไม่สะท้อนมาตรฐานของการเป็น นักวิชาการในสถานศึกษาชั้นสูงที่พึงปฏิบัติต่อผู้วิจารณ์โดยสุจริตใจ
ประการที่สี่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงศ์ศิริ ได้กระทําการฟ้องร้องนางสาวพีรมณฑ์ในพื้นที่ห่างไกลจาก คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และห่างไกลจากกรุงเทพมหานคร ซึ่งสร้างภาระให้กับผู้ถูกฟ้องโดยไม่ จําเป็น ส่อให้เห็นเจตนาที่จะกดดันให้นางสาวพีรมณฑ์ต้องยอมจํานนต่อเงื่อนไขการเดินทาง ต้นทุนการเดินทาง และภาระทางกฎหมายอื่นๆ ทําให้นางสาวพีรมณฑ์ได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างแสนสาหัส และมีค่าใช้จ่ายใน การรับภาระทางกฎหมายอย่างมาก ซึ่งผิดวิสัยครูบาอาจารย์ที่พึงมีใจเป็นธรรมและมีใจกว้าง พฤติการณ์ของ ผู้ช่วย ศาสตราจารย์ ดร.พงศ์ศิริ ตรงข้ามกับจรรยาบรรณาครูและจริยธรรม (ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่) ที่พึงมี จึง เมตตาต่อผู้อื่น ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของคณาจารย์ในคณะวิจิตรศิลป์และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่โดยรวม
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาในข้างต้น พวกเราจึงขอร้องเรียนต่ออธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ต่อพฤติการณ์ ที่ไม่เหมาะแก่การเป็นอาจารย์ในสถานศึกษาชั้นสูงของผศ.ดร.พงศ์ศิริ คิดดี โดยให้มีการเรียกตรวจสอบไต่สวน ข้อเท็จจริง และลงโทษว่ากล่าวตักเตือนในการกระทําที่ไม่เหมาะสมในฐานะอาจารย์และผู้ผลิตงานทางศิลปะของ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทั้งนี้ก็เพื่อการส่งเสริมบรรยากาศของการเรียนรู้และการวิพากษ์วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ใน มหาวิทยาลัย รวมไปถึงการรักษาไว้ซึ่งความร่วมมือที่เกื้อกูลหนุนเสริมกันระหว่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่กับ สาธารณะต่อไปในอนาคต
ขอแสดงความนับถือ
.
โดยหลังจากนั้น รองศาสตราจารย์ประเสริฐ ฤกษ์เกรียงไกร รองอธิการบดี และ ดร. จิรวัฒน์ พัสระ ที่เป็นตัวแทนอธิการบดี ได้รับหนังสือ และเดินทางกลับ โดยไม่ขอตอบคำถามของสื่อมวลชนที่มารอสัมภาษณ์ด้าน นลธวัช มะชัย หนึ่งในตัวแทนศิลปินที่มายื่นหนังสือ ได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า ตนและเพื่อนๆ ที่มารู้สึกเสียใจที่อธิการบดีไม่มารับหนังสือด้วยตนเอง รอกว่า 2 ชั่วโมง เราคาดหวังว่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา เราผิดหวังในสิ่งที่เกิดขึ้น และในฐานะที่ตนเป็นศิษย์เก่าด้วยก็ยิ่งเสียใจที่ไม่สามารถเข้าถึงผู้บริหารได้ โดยปกติแล้วการรับหนังสือแทนนั้นสามารถทำได้ แต่ครั้งนี้คืออธิการบดีเองก็อยู่ แต่ไม่ออกมารับหนังสือ โดยฝากให้ประชาชนทุกคนร่วมกันติดตามกรณีนี้ เนื่องจากว่าวันที่ 8-9 พฤศจิกายนนี้ จะมีการพิพาทษาคดีนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้น นลธวัช มะชัย ยังกล่าวต่อว่ากรณีเป็นการทำลายวงการวิชาการ และวงการศิลปะ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับมหาวิทยาลัย วัฒนธรรมการวิจารณ์ในสังคมไทย ควรจะพัฒนาและก้าวหน้าไปมากกว่านี้ได้แล้ว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่พูดเสมอว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยในระดับสากล แต่ตอนนี้กำลังกลายเป็นสากลไม่ยอมรับ ล้าหลังตัวเอง เราคาดหวังอย่างยิ่งว่าจะได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...