ปัญหาคืออุดมการณ์หรือการเข้าถึงประชาชน? เปิดมุมมองทำไมเลือกตั้ง อบจ. พรรคประชาชน ส่ง 17 คน ได้แค่ 1 ที่นั่ง

การเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งล่าสุดที่ผ่านมาถือเป็นการเลือกตั้งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการแสดงท่าทีของพรรคประชาชน ซึ่งส่งผู้สมัครถึง 17 คน แต่สามารถชนะได้เพียง 1 ที่นั่งในตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ลำพูน สร้างความน่าสนใจและคำถามต่อกลยุทธ์การเลือกตั้งของพรรค ดร.วีระ หวังสัจจะโชค อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ให้สัมภาษณ์กับ Lanner ว่า ในการเลือกตั้งพรรคประชาชนมักจะประสบความสำเร็จในระดับเขตเมือง ซึ่งสามารถแบ่งโซนได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อเข้าสู่การเลือกตั้งในระดับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่ต้องครอบคลุมทั้งจังหวัด ซึ่งพื้นที่ในชนบทมีจำนวนมากกว่าพื้นที่ในเมือง ส่งผลให้พรรคประชาชนที่ไม่ได้ถนัดในการแข่งขันในพื้นที่เหล่านี้ ดังนั้นในการเลือกตั้ง อบจ.ที่ผ่านมา พรรคประชาชนมักจะพ่ายแพ้ เนื่องจากเขตพื้นที่ในการเลือกตั้งมีขนาดใหญ่และกระจายตัวไปทั่วจังหวัด

“ในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น พรรคประชาชนพบอุปสรรคในการสร้างเครือข่ายสนับสนุน เนื่องจากการประกาศเป็นพรรคประชาชน ทำให้การหาพันธมิตรทางการเมืองเป็นเรื่องยาก แม้จะนำผู้บริหารท้องถิ่น เช่น นายกเทศมนตรีจากนครนายก มาเป็นตัวแทนของพรรคประชาชนก็ตาม การสร้างเครือข่ายในลักษณะนี้ยังคงพบปัญหาสำคัญ เพราะผู้คนในพื้นที่ตั้งคำถามถึงความสามารถในการได้รับนโยบายและการสนับสนุนจากส่วนกลางหรือระบบราชการแบบเดิม ซึ่งต่างจากการร่วมมือกับพรรคการเมืองอย่างพรรคเพื่อไทย หรือพรรคภูมิใจไทย ที่มีการสนับสนุนที่ชัดเจนมากกว่า”

ดร.วีระ หวังสัจจะโชค

ในกรณีที่พรรคประชาชนไม่สามารถได้รับความช่วยเหลือจากพันธมิตรที่ชัดเจนในการเลือกตั้งอบจ. ก็ทำให้การหาพันธมิตรชั่วคราวเป็นเรื่องยาก เนื่องจากมีโอกาสน้อยในการสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่ง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อโอกาสในการชนะการเลือกตั้ง ในหลายพื้นที่จึงเกิดกลุ่มอิสระหรือกลุ่มท้องถิ่นที่สามารถรวมพันธมิตรได้ง่ายกว่า การสร้างฐานเสียงในระดับท้องถิ่นจึงต้องใช้กลยุทธ์การรวมกลุ่มที่มากขึ้น เช่น การหาพันธมิตรจากเขตข้างเคียงหรือบ้านรอง เพื่อที่จะสามารถเอาชนะการเลือกตั้งอบจ.ได้ การประกาศตัวเป็นพรรคสีส้มในขณะนี้ทำให้การหาพันธมิตรประเภทนี้เป็นเรื่องยากเนื่องจากไม่มีเครือข่ายที่ชัดเจนและสามารถพึ่งพาได้

ประเด็นสำคัญที่พรรคประชาชนอาจจะพลาดในการเลือกตั้ง อบจ. คือการที่พรรคประชาชนขาดผลงานในระดับท้องถิ่น เนื่องจากการเมืองท้องถิ่นจำเป็นต้องใช้ผลงานในอดีตมานำเสนอ แต่ในกรณีนี้ผู้ที่สนับสนุนพรรคประชาชนยังไม่เห็นผลงานที่ชัดเจนจากพรรค เนื่องจากยังไม่มีตำแหน่งสำคัญหรือความสำเร็จในระดับท้องถิ่น อีกทั้งการเมืองระดับชาติของพรรคประชาชนก็ยังอยู่ในสถานะฝ่ายค้าน ซึ่งทำให้ประชาชนไม่เห็นถึงผลงานที่สามารถนำไปต่อยอดในระดับท้องถิ่นได้ นอกจากนี้หลังจากที่พรรคก้าวไกลถูกยุบ พรรคประชาชนไม่ได้นำกระแสนี้มาใช้ในการปลุกมวลชนเพื่อสนับสนุนผู้ที่เลือกพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งปี 2566 ซึ่งเป็นจังหวะสำคัญที่พรรคประชาชนพลาดในการใช้เป็นแรงสนับสนุนในการเลือกตั้งอบจ.

“การที่พรรคประชาชนไม่ให้ความสำคัญกับการยุบพรรคในระยะหลัง ทำให้พรรคขาดการใช้กระแสนี้เพื่อปลุกมวลชนหรือเสริมสร้างฐานเสียง ทั้งที่การยุบพรรคถือเป็นเรื่องสำคัญมากในสายตาของประชาชน แต่พรรคประชาชนกลับเปลี่ยนผู้นำและไม่ใช้สถานการณ์นี้ให้เป็นประโยชน์ ทำให้ภาพรวมของพรรคตกลงอย่างรวดเร็ว เมื่อพรรคประชาชนผูกตัวเองระหว่างการเมืองระดับท้องถิ่นกับระดับชาติ เมื่อระดับชาติประสบปัญหาหรือกระแสตก ส่งผลให้การเมืองท้องถิ่นก็ได้รับผลกระทบไปด้วย”

ในทางกลับกัน พรรคภูมิใจไทยซึ่งมีความสามารถในการแยกระหว่างการเมืองระดับชาติและท้องถิ่น ถือเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับพรรคประชาชน ในช่วงที่พรรคภูมิใจไทยต้องเผชิญกระแสลบจากการโจมตีเรื่องกัญชาหน้าโรงเรียน การที่พรรคภูมิใจไทยสามารถแยกตัวเองออกจากการเมืองท้องถิ่นช่วยลดผลกระทบจากกระแสลบที่เกิดขึ้น แม้จะถูกโจมตีในระดับชาติ แต่ในระดับท้องถิ่น พวกเขาสามารถรักษาฐานเสียงได้ เพราะการลงสมัครในระดับท้องถิ่นยังคงใช้ชื่อพรรคอย่าง “ภูมิใจไทย” โดยไม่มีการเชื่อมโยงกับการโจมตีในระดับชาติ ส่งผลให้พรรคภูมิใจไทยยังคงสามารถรักษากำลังในพื้นที่ท้องถิ่นได้แม้ระดับชาติกระแสตก.

หากกระแสของพรรคตกลงในระดับชาติ อาจจะไม่ส่งผลทันทีต่อการเมืองท้องถิ่น แต่เมื่อพรรคประชาชนผูกการเมืองระดับชาติและท้องถิ่นเข้าด้วยกัน ผลกระทบจึงทำให้ทั้งสองระดับตกต่ำพร้อมกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้พรรคสีส้มอาจไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง อบจ. ไม่เพียงแค่ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่ยังคงมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นในครั้งถัดไปด้วย แม้ว่าจะมีความคาดหวังว่าอาจจะมีตัวแทนจากพรรคสีส้มเข้าสภาท้องถิ่นได้บ้าง แต่การจะมีนายกจากพรรคสีส้มในระดับท้องถิ่นนั้นคงเป็นเรื่องที่ยากมาก 

เปิดมุมมองสื่อมวลชนอาวุโส กรณีพรรคประชาชนนั่ง นายก อบจ. เพียงจังหวัดเดียว

ทั้งนี้สองสื่อมวลชนการเมืองอาวุโส อธึกกิต แสวงสุข และ ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ได้แสดงความคิดเห็นถึงผลการเลือกตั้งดังกล่าวในหลายแง่มุม อธึกกิต วิเคราะห์ว่า การเลือกตั้งท้องถิ่นมีลักษณะและความต้องการที่แตกต่างจากการเลือกตั้งระดับชาติ โดยเฉพาะการเมืองที่เน้นการเข้าถึงและการดูแลประชาชนในระดับท้องถิ่น ทำให้พรรคประชาชนที่มีจุดเด่นในเรื่องการเมืองอุดมการณ์อาจจะยังไม่พร้อมสำหรับการเลือกตั้งในพื้นที่ท้องถิ่น ที่ต้องการผู้สมัครที่มีการเชื่อมโยงกับชุมชนและสามารถเป็นผู้นำในระดับท้องถิ่นได้ในขณะที่ ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ มองว่า แม้พรรคประชาชนจะตั้งเป้าหมายสูงและพยายามปรับกลยุทธ์หลายด้าน แต่ผลที่ออกมากลับไม่เป็นไปตามคาดหวัง ทั้งที่พรรคคาดหวังจะคว้าชัยชนะในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในภาคใต้และภาคตะวันออก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาในการสื่อสารและเชื่อมโยงกับประชาชนในพื้นที่ รวมถึงข้อวิจารณ์เกี่ยวกับการขาดการมีปฏิสัมพันธ์ของ ส.ส.ในพื้นที่

อธึกกิต แสวงสุข สื่อมวลชนอาวุธโส ภาพจาก Atukkit Sawangsuk

อธึกกิต แสวงสุข วิเคราะห์ผลเลือกตั้ง อบจ. ของพรรคประชาชน หลังส่งผู้สมัคร 17 คน ได้มา 1 ที่นั่ง อบจ.ลำพูน ในรายการ The Politics ข่าวบ้าน การเมืองว่า  กรณีนี้สามารถมองได้สองด้านแต่ก็อาจจะถูกมองว่าเป็นด้านที่ล้มเหลวมากกว่า ซึ่งต้องไปประเมินใหม่ว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ต้องการอะไร โจทย์คืออะไร เป้าหมายคืออะไรโจทย์คืออะไร ทีนี้ถ้าเรามามองย้อนว่าการเลือกตั้ง นายก อบจ.มันประกอบด้วยอะไรบ้าง แตกต่างจากการเลือกตั้งประเทศเลือกตั้งใหญ่ระดับชาติเลือกตั้งระดับชาติเลือกตั้ง สมาชิกผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เลือกตั้งรัฐบาลนั้นมีเรื่องของการเมืองอุดมการณ์กับการเมืองนโยบาย

ทีนี้จุดเด่นของก้าวไกล (พรรคประชาชนปัจจุบัน) คือเรื่องของการเมืองอุดมการณ์ กลายเป็นแบรนด์ที่ได้รับความเชื่อถือทั้งประเทศ  ถึงแม้ว่าจะวิจารณ์กันหลังจากโดนคดีมาตรา 112 ยังหาทิศใหม่ไม่เจอ แต่แบรนด์ 2 ข้อนี้มันไม่พอต่อการเลือกตั้งท้องถิ่นเพราะการเลือกตั้งท้องถิ่นมันมีการเมืองที่เราเรียกว่าการเมืองของการเข้าถึงประชาชน หรือจะเป็นผู้บริหารท้องถิ่น ต้องทำให้คนไว้เนื้อเชื่อใจคลุกคลีกับพื้นที่มานาน ส่วนที่จำเป็นจะต้องพูดอีกทีก็คือคุณสมบัติของตัวผู้สมัคร ต้องลงพื้นที่เป็นเวลานานพอสมควรด้วยไม่ใช่แค่เพิ่งเปิดตัว 

“ผมเปรียบเทียบ พันธ์อาจ ชัยรัตน์ เขายังขาดข้อนี้ในแง่ที่ไม่ใช่ผู้นำท้องถิ่น แต่ “เทคโนแครต” โดดเด่นเรื่องอุดมคติ นโยบายไอเดียเขาดีมากที่เขาเสนอแต่คนไม่ได้ฟัง แต่เขาไม่สามารถทำให้คนรู้สึกว่าเขามี บุคลิกผู้นำท้องถิ่น เป็นผู้นำท้องถิ่นแบบบ้านใหญ่ที่เราพูดคือ “ใจถึงพึ่งได้ ดูแลชาวบ้านมีเครือข่ายที่มีการพึ่งพากัน ส่วนนี้เป็นด้านดีด้วยถึงแม้เราจะมองเป็นเรื่องอิทธิพลแต่คนส่วนหนึ่งยังไม่อยากเปลี่ยน”

 “บ้านใหญ่” เวลาเราวิพากษ์วิจารณ์จะเน้นไปที่เรื่องของอุดมการณ์ พลังประชารัฐสนับสนุนกันเป็นแถวแห่กันไป โหนประยุทธ์ ก้าวไกลจะลุกขึ้นมาเป็นรัฐบาลก็ลุกขึ้นมาชี้หน้า ไม่เอาเพราะแก้ 112 เรื่องพวกนี้คือการเมืองอุดมการณ์ระดับชาติ ซึ่งเอาไปใช้ในท้องถิ่นได้น้อย พอเรามองอย่างนี้การที่เราจะเอาชนะเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องยาก แต่ถ้ามองในมุมกลับพรรคประชาชนเอง เราต้องตระหนักเรื่องพวกนี้ก่อนที่จะส่งคนลงสมัคร ทั้งนี้ยังมีเหตุผลหลายด้านที่ส่งสมัคร บางทีเราอาจจะมองว่าพื้นที่นี้เราได้สส.ทั้งจังหวัด บางส่วนก็มองว่าเราได้ทำงานการเมืองได้มีการเคลื่อนไหวและอย่างน้อยส่วนหนึ่งได้สมาชิกผู้แทนราษฎรจังหวัด (ส.อบจ.) อย่างเช่น สมุทรสาคร ที่มีการส่งนายกใครก็รู้ว่าแพ้ตั้งแต่ต้นแต่ก็ได้ (ส.อบจ.) เรื่องพวกนี้มีหลายมุมให้มองแต่ส่วนหนึ่งก็ทำให้คน “ขวัญตก” เหมือนกัน ว่าส่ง 17 จังหวัดได้แค่ 1 เท่านั้น ก็เลยต้องถามกลับไปว่าส่งเยอะไปหรือไม่ บางทีอาจจะไม่จำเป็นต้องส่งถ้าหากยังไม่พร้อมลงสนาม

ถัดมาคือการประมาณเรื่อง “ชัยชนะ” หรือ “พ่ายแพ้” อย่างเช่น ระยอง ยังคิดว่าจะชนะและทีมงานก็เข้มแข็ง หากมองที่อื่นๆ ก็มีปัญหาเรื่องการแตกเป็น ก๊ก เป็น เหล่า ไม่ลงรอยกันระหว่าง สส. ซึ่งระยองค่อยข้างจะมีการแพคทีมที่ดี แต่ตอนหลังอาจจะมีระหองระแหงบ้าง อีกปัจจัยหลักที่มองข้ามไปคือไปมองข้าม ปิยะ ปิตุเตชะ อดีตนายก อบจ.ระยอง ผู้สมัครหมายเลข 1 พรรคประชาธิปัตย์ว่าหมดอำนาจแล้ว แต่เขาค่อนข้างปรับตัวทำผลงานในพื้นที่ ส่วนสมุทรปราการก็ไปมองว่าบ้านใหญ่ “อัศวเหม” น่าจะหมดแรงแล้วเช่นกันและคิดว่าจะมีโอกาสเราประเมินเขาต่ำเกินไป ซึ่งบางพื้นที่จริงๆ เรามองว่าไม่จำเป็นต้องส่งแต่ก็เลือกจะส่งทั้งที่รู้ว่าแพ้ 

“เพราะฉะนั้นภาพรวมของการเลือกตั้งสำหรับพรรคประชาชนแล้ว ตอนแรกเห็นบอกว่าได้ 5-7 ที่ ได้เยอะแต่พอผลออกมาได้ 1 ที่ ทีนี้ก็ถูกซ้ำเติมบางทีมันก็เกินไป ผมก็ยังยืนยันอยู่เช่น การเลือกตั้งวันเสาร์เป็นปัจจัยให้แพ้หรือไม่ อาจจะไม่ใช่ปัจจัยหลัก แต่ก็ควรจะต่อสู้เรียกร้องร่วมกันเรื่องนี้มีการจัดเลือกตั้งวันเสาร์ แสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.อ้างว่า ขนหีบบัตรไม่ทันต้องขนหีบบัตรภายใน 23:00 น. อันนี้คือกการพลิกกฎหมายกันแบบนี้ บางคนเขาก็แย้งว่าไม่ใช่คือการเลือกตั้งมันจบ กระบวนที่เหลือมันใช้เวลาได้ ไปทำหรือใช้เวลาในวันอาทิตย์ก็ได้ ส่วนเรื่องที่ไม่มีการเลือกตั้งซ่อมเลือกตั้งล่วงหน้า จริงๆ เราก็ควรมีการกระตุ้นกันที่จะหาวิธีบริหารจัดการเรื่องนี้”

“ส่วนเรื่องของบัตรเสียจำนวนมากนั้น ผมก็ไม่คิดว่าแพ้เพราะบัตรเสีย แต่ถ้าเปิดหีบดูอาจจะได้สถิติว่าทำไม แล้วก็เอาสถิติงานวิจัยของกกต.เอง จะสามารถแก้ปัญหาบัตรเสียอย่างไร เท่าที่รู้มีการสับสนเรื่องเบอร์เรื่องอะไรต่างๆ ฯลฯ แต่อาจจะไม่ถึงขั้นวัดเรื่องแพ้ชนะกันได้ แต่ควรจะเปิดดู ทั้งนี้การซื้อเสียงอาจจะไม่ได้แพ้เพราะถูกซื้อเช่นกัน การซื้อเสียง 100 -200 บาทอาจจะซื้อใจใครไม่ได้หรอกสมัยนี้เพราะเป็นสินน้ำใจในเครือข่ายพากันไปฟังปราศรัย ต้องมีค่าข้าว ค่าน้ำ เป็นเรื่องปกติ ในมุมหนึ่งมันไม่ได้ชี้ขาดการเลือกตั้ง แต่ในอีกมุมนึงการรณรงค์ในการต่อต้านก็ได้ว่าการซื้อเสียงไม่ใช่ประชาธิปไตยแต่อย่าไปให้น้ำหนักมากนักว่าแพ้เพราะเรื่องนี้การยอมรับความพ่ายแพ้ดีที่สุดแล้วเดินหน้าต่อ”

ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ สื่อมวลชนอาวุโส ภาพจาก Mgronline

ขณะที่ ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ได้วิเคราะห์ ในรายการเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ว่า  ถ้าพูดถึงเรื่องถอดบทเรียนพรรคประชาชนในเลือกตั้งครั้งนี้ เขาตั้งใจมาก มีความตั้งใจสูงมากเทหมดเนื้อหมดตัวเลย แล้วพยายามที่จะปรับกลยุทธ์หลายอย่าง ก็ตั้งเป้าว่าอยากจะได้ภาคละสัก 1จังหวัดภาคใต้น่าจะได้สักจังหวัดนึงและคาดหวังภูเก็ต แต่ครั้งสุดท้ายหันไปหวังสุราษธานี ปรากฏว่ายับเยินทั้ง 2 จังหวัด ไม่ได้เลย ขณะเดียวกันภาคตะวันออกเขาคาดหวังน่าจะได้ใน 1 จังหวัด จะเป็นตราดก็ได้ นครนายกก็ได้ ระยองก็ดี ปรากฏว่าแพ้มหาศาล ส่วนภาคกลางเขาก็ยาก เขาก็รู้ว่ายากฐานบ้านใหญ่ ยังแน่น พอไปทางภาคเหนือเขาก็ไม่หวังตอนแรก ช่วงหลังเขาหวังจังหวัดเชียงใหม่ เขาไม่ได้หวังที่ลำพูนแน่ ๆ เริ่มสู้หวังว่าจะเกิดปาฏิหาริย์หวังว่าเชียงใหม่จะมีลุ้น แต่มันก็มีลุ้นจริง ๆ เพราะว่าคะแนนเบียดไปเบียดมา

“ครั้งพรรคประชาชนแพ้พรรคเพื่อไทยที่เชียงใหม่ ดูคะแนนแล้วไม่ได้ขี้เหร่ ก็มีลุ้นมันก็มีลุ้นแค่ปักธงนายกอบจ.ที่เชียงใหม่ได้เอาแค่จังหวัดเดียวก็ได้แต่ได้ที่ลำพูน ส่วนเชียงใหม่เราก็ตั้งประเด็นนี้กันขึ้นมาว่ามันเกิดอะไรขึ้นจะถอดบทเรียนกันยังไง ยกสัก 2 ข้อความขึ้นมาแล้วกัน เช่น หลายคนบอกว่าที่พรรคประชาชนแพ้เพราะหลังจากได้เป็นส.ส.คนในพื้นที่ไม่เคยเห็น สส.ลงพื้นที่อีกเลยหาตัวยาก ข้อความลักษณะแบบนี้มาจากหลายโซนหลายจังหวัดว่าเลือกตั้งแล้วพรรคประชาชนเนี่ยหาตัวสส.ยากมาก กอบกุล นพอมรบดี อดีตสส.ราชบุรี 2 สมัย ก็คอมเมนต์พรรคประชาชนโทษทำนองเดียวกันว่า สส.พรรคประชาชน ตั้งแต่ได้รับเลือกตั้งไม่เคยมาให้ประชาชนเห็นหน้าเลยจนจำชื่อไม่ได้ พวกเสื้อแดงทั้งหลายมาทุกงานที่มี เช่น กิจกรรมสว. ฯลฯ”

อันนี้ก็สำคัญเป็นสส.แล้ว แค่กรุงเทพฯ ก็แล้วกัน คนฝากมาบ่นเยอะกรุงเทพฯ ผมว่าพรรคประชาชนใช้โอกาสเปลืองมากมากเลย ถ้าเปรียบกับฟุตบอลเหมือนกับซาลาห์ ตีนบอด ถ้าใครที่เป็นแฟนลิเวอร์พูล ต้องเข้าใจมันมีช่วงขาลงของมัน มีบางช่วงมันจะท็อปฟอร์มได้ตลอดเวลา เป็นไปได้เหมือนช่วงขาลงของซาลาห์ ลิเวอร์พูลใช้โอกาสเปลืองมากลูกมาหน้าตัวเองยังยิงไม่เข้าเลย กี่ทีกี่ทียิงไม่เข้าเลย ถ้าไม่ลูกโด่งข้ามคานก็ฉีดเสาประตูจนเขาบ่นกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับซาร่าห์ ตัดกลับมาในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ที่เราคุ้นเคย ผมวิจารณ์ว่าพรรคประชาชนใช้โอกาสเปลืองมากในระดับท้องถิ่น กทม.เขาได้เยอะ พรรคก้าวไกลชนะ เขาได้เป็นสภากรุงเทพมหานคร (สก.) เข้ามาได้หลายคน ในพื้นที่มันมีนัยยะทั้งสิ้น สส.ระดับชาติเมื่อปี 2566 กวาดมายกจังหวัด ยกเว้นให้สส.จากพรรคเพื่อไทยแค่ที่เดียว นอกนั้นยกจังหวัดเขาได้โอกาสดีแล้ว

“การเมืองท้องถิ่นต้องยึดโยงกับพื้นที่ ต้องยึดโยงกับกับมวลชน ถ้าก้าวไกลในการเมืองท้องถิ่นที่วางเอาไว้ พรรคสัมผัสกับมวลชนสัมผัสกับพื้นที่จริงๆ ก็ใช้ตรงนี้เป็นแรงส่งระดับชาติได้ มีผลต่อเนื่องกันอยู่แล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่เอากลไกสของพรรคนอกเหนือจากการทำหน้าที่อย่างแข็งแรง อย่างทรงพลานุภาพในสมาชิก ในสภากทมแล้ว ก็ควรจะมีกิจกรรมนอก สภากทม. นั่นก็คือออกมายึดโยงกับชาวบ้านเขาบ้าง ออกมาเชื่อมโยงมีปฏิสัมพันธ์กับชาวบ้านบ้าง ผมบอกตรงๆ ผมจำชื่อไม่ได้สส.เขต สก.เขตผมจำชื่อไม่ได้จริงๆ แต่กทม.ก็ต้องยอมรับว่ามีหลายคน ผมจำชื่อ สส.ก้าวไกลในเขตผมไม่ได้ แต่ผมจำชื่อสก.เขตผมได้ เขตผมคือพรรคประชาธิปัตย์ จำสก.พรรคประชาธิปัตย์ได้ เพราะเค้ามีกิจกรรมที่สัมผัสร่วมกับเข้าถึงประชาชน ชุมชน มันมีรูปธรรมที่จับต้องได้ เสียดายจริงๆ และต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่”

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง