“คนควรเป็นคนเท่ากัน” เสียงสะท้อนในไร่หมุนเวียน อคติใครกำหนด

เรื่องและภาพ : ปรัชญา ไชยแก้ว

“เราโดนมาตลอด บอกว่าคนปกาเกอะญอ บุกรุกป่า เผาป่า ทั้งที่เราอยู่กับป่ารักษาป่าทำแนวกันไฟทุกปี แต่ก็ยังโดนว่า บางครั้งก็ใจอ่อน เราเจ็บใจมาก ตอนเด็กเรายังไม่รู้ภาษาไทย ก็จะโดนดูถูกว่าเราไม่รู้อะไร มองเราว่าไม่ใช่คนไทย จะตอบกลับเขาเราก็พูดไม่เป็น” 

เสียงของ แววดาว หยดวิไพกุล ชาวบ้านในชุมชนปกาเกอะญอ บ้านดอยช้างป่าแป๋ ต.ป่าพลู อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน บอกเล่าถึงความเจ็บปวดที่เธอต้องเผชิญ

แววดาว หยดวิไพกุล ชาวบ้านในชุมชนปกาเกอะญอ บ้านดอยช้างป่าแป๋ ต.ป่าพลู อ.เภอบ้านโฮ่ง จ.ลำพูน

‘ชาวเขาเผาป่า’ วาทกรรมที่เหมารวมคนชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่กับป่าว่าเป็นสาเหตุของการทำลายป่า และเป็นต้นตอของปัญหาไฟป่าที่สร้าง PM2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ วาทกรรมนี้ถูกผลิตซ้ำ วนเวียน หลอกหลอนในสังคมไทยมานานนับทศวรรษ ผ่านนโยบาย แบบเรียน อาทิ นโยบายห้ามเผา รวมไปถึงกฎหมายป่าไม้หลายฉบับที่ผลักไสคนออกจากป่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลพวงจากอคติต่อคนอยู่กับป่า เป็นการผลิตซ้ำวาทกรรมดังกล่าวให้ยังคงอยู่ในสังคมไทย 

ร้านค้ากลางป่าไพร ‘ไร่หมุนเวียน’ ทุกอย่างของชีวิต 

“ไร่หมุนเวียนมันคือวิถีชีวิตเราสืบทอดกันมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย ถ้าไม่เผาก็ต้องใช้ปุ๋ยเคมี ถ้าไม่ทำไร่หมุนเวียนก็ไม่มีข้าวกิน” แววดาว กล่าวด้วยน้ำเสียงอันเข้มแข็ง

คนส่วนใหญ่มักเข้าใจกันไปว่าคนชาติพันธุ์ที่อาศัยในป่ามีรูปแบบการทำเกษตรกรรมแบบ ‘ไร่เลื่อนลอย’  ที่เป็นการปลูกพืชแบบเคลื่อนย้ายแปลงไปเรื่อยๆ มีการถางป่าและเผาพื้นที่เพื่อเตรียมดิน แต่ไม่มีการเวียนกลับมาใช้พื้นที่เดิมในการทำการเกษตร เป็นการป่าไม้ถูกทำลายโดยถาวร 

มายาคตินี้เป็นสิ่งที่ถูกปลูกฝังในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน จนเกิดเป็นภาพจำต่อการทำการเกษตรของคนชาติพันธุ์ว่าเป็นการทำลายป่า แต่ความเป็นจริงแล้ว กระบวนการในการทำไร่ของของคนชาติพันธุ์นั้นคือการทำ ‘ไร่หมุนเวียน’ ซึ่งมีกระบวนการแตกต่างจากการทำไร่เลื่อนลอยโดยสิ้นเชิง

ไร่หมุนเวียน เป็นระบบการเกษตรที่อาศัยหลักการปลูกพืชหมุนเวียนจากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง โดยจะเลือกตั้งพื้นที่ที่มีดินอุดมสมบูรณ์มาทำการเพาะปลูกประมาณ 1-2 ปี จากนั้นจะปล่อยพื้นที่ดังกล่าวฟื้นตัวตามธรรมชาติประมาณ 7-12 ปี โดยพื้นที่ที่มีการฟื้นตัวตามธรรมชาตินี้จะเรียกว่า ‘ไร่เหล่า’ กระบวนการนี้เป็นการปล่อยให้พื้นที่ตรงนั้นได้พักและฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ ช่วยรักษาสมดุลของระบบนิเวศ อีกทั้งยังส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพและป้องกันดินเสื่อมสภาพ

ชุมชนดอยช้างป่าแป๋ได้มีการสำรวจพื้นที่ไร่หมุนเวียนภายในชุมชนและพบว่ามีไร่หมุนเวียนทั้งหมด 2,324 ไร่ คิดเป็น 10.91 ของพื้นที่รวมทั้งหมด

“ไร่หมุนเวียนก็คือร้านค้า มีพืชผักทุกอย่างเลย อยู่ตรงนี้ไม่มีค่าใช้จ่าย น้ำก็มี อาหารก็มี เราถึงต้องดูแลรักษาป่าเอาไว้” 

เกรียงไกร บุญทา ชาวบ้านในชุมชนปกาเกอะญอ บ้านดอยช้างป่าแป๋ ต.บลป่าพลู อ.เภอบ้านโฮ่ง จ.ลำพูน

เกรียงไกร บุญทา ชาวบ้านในชุมชนบ้านดอยช้างป่าแป๋ กล่าวถึงความสำคัญของไร่หมุนเวียนว่า ไร่หมุนเวียนเป็นการทำไร่เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต และพืชที่ได้จากไร่ก็ใช้กินในหมู่บ้าน เป็นเหมือนร้านสะดวกซื้อที่มีทั้ง พริก มะเขือ มัน เผือก และแตงไทย ที่สามารถกินได้ตลอดทั้งปี เกรียงไกรยังเล่าอีกว่า ตนเคยไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองที่ถึงแม้จะหาเงินมาได้มากแต่ก็มีค่าใช้จ่ายมากตามไปด้วย ต่างจากการใช้ชีวิตในป่าที่สามารถอยู่โดยไม่ใช้เงินซักบาท เพียงแค่อาศัยไร่หมุนเวียนในการหาพืชพรรณมาเป็นอาหารก็อยู่ได้ตลอดทั้งปี

ไร่หมุนเวียนกับการเผาอย่างมีขอบเขต

“เมื่อปี 49 ผมและเครือข่ายสมัชชาคนจน เข้าไปเจรจาเรื่องไร่หมุนเวียน ตอนนั้นมีการจัดตั้งเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก เสนอให้มีการเก็บภาษีสารเคมีที่มีผลกระทบต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อมที่เกิน 5% แต่รัฐกลับบอกว่าเก็บไม่ได้ ถ้าเก็บรัฐบาลจะเสียรายได้กว่า 4 หมื่นกว่าล้าน เรามองว่าสุดท้ายต้องแก้ที่โครงสร้างจะมาโทษชาติพันธุ์คนอยู่กับป่าไม่ได้”

ปฏิภาณ วิริยะวนา ชาวบ้านชุมชนสันดินแดง ต.บ้านหลวง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่

ปฏิภาณ วิริยะวนา ชาวบ้านชุมชนสันดินแดง ต.บ้านหลวง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่มองว่า การกล่าวโทษว่าการใช้ไฟในไร่หมุนเวียนนั้นสร้าง PM2.5 นั้น เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะหากเทียบกับในกรุงเทพฯ ที่ไม่ได้มีการเผาในไร่หมุนเวียน ก็ยังพบว่ามีค่า PM2.5 เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้คนก็ไม่เคยกล่าวโทษหรือพูดถึงต้นกำเนิดฝุ่นควันอื่นๆ อย่าง โรงงาน และฝุ่นควันจากรถยนต์เลย 

‘การเผาในพื้นที่ไร่หมุนเวียน’ เป็นหนึ่งในกระบวนการเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก การเผาจะช่วยกำจัดวัชพืช ศัตรูพืช และช่วยเพิ่มแร่ธาตุในดิน แต่การเผาเพื่อการเกษตรนี้ ไม่ได้แปลว่าใครอยากจะเผาที่ไหนก็เผาแบบที่หลายคนคิด เพราะก่อนจะมีการเผาเกิดขึ้นในไร่หมุนเวียน ชาวบ้านจะทำแนวกันไฟรอบตัวไร่เพื่อกำหนดเขตพื้นที่ที่ต้องการเผาและป้องกันไฟลุกลามไปในพื้นที่ป่า นอกจากนั้นยังกำหนดเวลาที่เหมาะสมในการเผานั่นคือ ช่วงปลายฤดูแล้งก่อนเข้าฤดูฝน โดยใช้เสียงของจั๊กจั่นเพื่อดูว่าต้นไม้สามารถดูดซับน้ำได้เพียงพอหรือไม่ 

ในการเผาแต่ละครั้งใช้ระยะเวลาเพียง 10-30 นาทีเท่านั้น ซึ่งในระยะสั้นการเผาไร่หมุนเวียนช่วงปีแรกจะสร้างคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนหนึ่ง แต่ในระยะยาวพื้นที่ไร่หมุนเวียนที่มีการฟื้นตัวแล้วจะสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าที่ปล่อยออกมาหลายเท่า

ข้อมูลจากงานวิจัยโดย มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือที่ศึกษาการเผาในไร่หมุนเวียนของชุมชนหินลาดใน ต.บ้านโป่ง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย เผยว่า ไร่หมุนเวียนในชุมชนห้วยหินลาดบริเวณที่เป็นไร่เหล่าที่พักไว้ 1-10 ปี ทั้งหมด 1,590 ไร่ สามารถกักเก็บคาร์บอนได้มากถึง 17,643 ตัน ในขณะที่ทำให้เกิดการสูญเสียคาร์บอนจากการเผาไร่หมุนเวียนเพียง 476 ตัน จากการเผาในพื้นที่ 114 ไร่

ภาพ: Rocket Media Lab

นอกจากนี้ข้อมูลของ สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) GISTDA ที่รวบรวมและคำนวณข้อมูลโดย Rocket Media Lab ได้เผยข้อมูลพื้นที่เผาไหม้ในปี 2567 เรียบเรียงจากพื้นที่เผาไหม้ทุกจังหวัดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 พฤษภาคม 2567 เผยว่ามีพื้นที่เผาไหม้ทั้งประเทศจำนวน 19,523,233 ไร่ โดย ‘ข้าว’ เป็นพืชที่มีพื้นที่เผาไหม้มากที่สุด ทั้งหมด 6,054,743 ไร่ รองลงมาคือ พื้นที่เกษตรอื่นๆ ทั้งหมด 4,883,726 ไร่ (พื้นที่ที่มีการทำประโยชน์จากที่ดินเป็นเกษตรกรรมทั้งหมดไม่รวม นาข้าว อ้อย ข้าวโพด และไร่หมุนเวียน) และ ข้าวโพดทั้งหมด 4,434,357 ไร่ 

“แนวกันไฟ” รักษาป่า

“ป่าตรงนี้ที่มันสวยอยู่ได้เพราะแนวกันไฟชาวบ้านช่วยกันทำ ค่าแรงที่เราทำไม่ได้ซักบาท แต่ผลประโยชน์ที่ได้มันไม่ใช่แค่ในชุมชนแต่มันได้รับกันหมด เพราะป่าช่วยดูดซับคาร์บอนฯ” เกรียงไกร กล่าว

นอกจากการทำแนวกันไฟรอบไร่หมุนเวียนเพื่อป้องกันการเผาไหม้ลามของชาวบ้านในชุมชนบ้านดอยช้างป่าแป๋ ยังมีการทำแนวกันไฟในพื้นที่ป่าเพื่อป้องกันไฟป่า ซึ่งทำมาตั้งแต่ปี 2538 เนื่องจากชาวบ้านต้องอาศัยป่าที่เป็นเหมือนร้านค้า ที่มีทั้งของป่าที่เป็นอาหาร ต้นไม้ใหญ่ที่เปรียบเป็นความร่มเย็นจากธรรมชาติ รวมไปถึงยารักษาโรคจากสมุนไพรในป่า 

ชาวบ้านได้ร่วมมือร่วมแรงและกำลังเงินในสร้างแนวกันไฟไว้รอบตัวชุมชนทั้งหมด 9 แนว ความยาว 30 กิโลเมตรรอบชุมชน โดยแนวกันไฟแต่ละแห่งถูกติดตั้งห่างจากตัวชุมชนกว่า 15 กิโลเมตร และแนวกันไฟบางแนวอยู่ในเขตต.บ้านตาล อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ หากเริ่มต้นเดินทางจากตัวหมู่บ้านไปยังแนวกันไฟต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ด้วยมอเตอร์ไซค์ล้อวิบาก

แนวกันไฟทั้งหมด 9 แนวแบ่งเป็น 2 แนว คือแนวกันไฟแบบปกติที่ใช้แรงคนในทำให้พื้นที่โล่งปราศจากเชื้อเพลิงอย่างใบไม้แห้งหรือหญ้าแห้ง และ แนวกันไฟระบบ IOT (Internet of Things) หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าแนวกันไฟสีเขียว โดยมีการติดตั้งถังน้ำและสร้างสระน้ำสำรองไว้สำหรับดับไฟไว้ครับทั้ง 9 จุด ที่สามารถบรรจุน้ำสำรองได้มากกว่า 569,000 ลิตร ซึ่งแหล่งน้ำสำรองแบ่งเป็นแท้งค์น้ำ 8 จุด และ บ่อน้ำ 1 แห่ง โดยชาวบ้านช่วยกันขนแท้งค์น้ำและขุดบ่อด้วยมือเปล่าทั้ง 9 จุด เนื่องจากแนวกันไฟทุกสีเขียวทุกแห่งไม่สามารถนำรถขนาดใหญ่ขึ้นไปได้

บัญชา มุแฮ หรือ ‘ดีปูนุ’ คนรุ่นใหม่ในชุมชนบ้านดอยช้างป่าแป๋

“เราใช้ระบบ IoT ในการควบคุมสปริงเกอร์เพื่อดับไฟป่า เรียกว่า แนวกันไฟสีเขียว โดยจะติดตั้งในพื้นที่ตาน้ำมีความยาวทั้งหมด 700 เมตร สามารถสั่งการที่ไหนก็ได้ของโลกที่มีอินเตอร์เน็ต” บัญชา มุแฮ หรือ ‘ดีปูนุ’ คนรุ่นใหม่ในชุมชนบ้านดอยช้างป่าแป๋ กล่าวอย่างภาคภูมิใจ

แนวกันไฟสีเขียว เป็นการนำสปริงเกอร์ที่เชื่อมต่อกับมือถือที่สามารถมอนิเตอร์ไฟป่าได้ผ่านหน้าจอโทรศัพท์ โดยมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดอยู่บนยอดดอยช้างที่สามารถดูได้ว่าจุดไหนกำลังมีไฟก็สามารถสั่งการให้สปริงเกอร์ทำงานในพื้นที่ดังกล่าวได้ นอกจากนี้ยังมีระบบการตั้งเวลาให้น้ำสามารถพ่นออกมาตามความเหมาะสมกับสภาพอากาศ โดยแนวกันไฟสีเขียวนั้นถูกติดตั้งรอบชุมชมทั้งหมด 700 เมตร โดยเลือกตั้งติดตั้งในจุดที่ไฟป่ารุนแรงหรือพื้นที่ตาน้ำ 

“การทำแนวกันไฟมันเป็นการรักษาป่าดูแลป่า ดูแลสัตว์ตัวเล็กๆ ที่อยู่ในป่า”  เกรียงไกร ย้ำอย่างหนักแน่น

คุกคาม ยึดที่ ยัดคดี ปัญหาจากอคติทางชาติพันธุ์

อคติทางชาติพันธุ์เป็นสิ่งที่สร้างผลกระทบกับวิถีชีวิตและที่อยู่อาศัยของคนที่อยู่กับป่ามาอย่างยาวนาน ทั้งนโยบายรัฐที่มองว่าการใช้ไฟในการทำไร่หมุนเวียนถือเป็นการทำลายป่า ทำให้คนชาติพันธุ์ถูกตีตราและเหมารวมว่าเป็น ‘ผู้ทำลายป่า’ อย่างเลี่ยงไม่ได้ ความขัดแย้งกับหน่วยงานภาครัฐทำให้คนชาติพันธุ์ถูกจับกุม มีคดีความ  และถูกใช้กำลังเพื่อขับไล่ออกจากป่า ความรุนแรงที่เกิดจากอคติเหล่านี้ ได้สร้างกรอบกฎหมายที่ครอบคลุมชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่กับอย่างเห็นได้ชัด และยังสร้างแผลใจที่ยากจะลืม

“ย้อนไปประมาณ 40 ปีที่แล้ว ตอนเรายังเด็กพ่อเราโดนไล่ออกจากหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่บอกว่าห้ามอยู่ที่นี่เพราะตรงนี้เป็นเขตป่าต้นน้ำและเขตป่าสงวน พ่อเราก็ถามกลับว่าถ้าไม่อยู่ที่นี่แล้วจะให้ทำยังไง ลงจากดอยไปจะทำอะไร ทั้งหมู่บ้าน 300 กว่าคนจะอยู่ที่ไหน เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าไม่รู้เอาแต่ไล่อย่างเดียว” 

แววดาว พูดถึงความกลัวในอดีตของเธอ จากเหตุการณ์ที่พ่อของเธอถูกเจ้าหน้าที่ขับไล่ ที่แม้ว่าจะผ่านมากว่า 40 ปีแล้ว เธอก็ยังไม่รู้สึกปลอดภัย เพราะการคุกคามนั้นยังคงมีอยู่เป็นระยะ 

ข้อมูลจาก สถิติการกระทำผิดกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยสำนักงานป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า กรมป่าไม้ เผยว่า ตั้งแต่ปี 2561-2565 มีคดีพื้นที่บุกรุกทั้งหมด 9,098 คดี ซึ่งจำนวนนี้เป็นเพียงข้อมูลจากหน่วยงานเดียวยังไม่รวมหน่วยงานอื่นๆ อย่าง กรมอุทยานฯ 

“เมื่อปี 62 เจ้าหน้าที่มายึดและทำลายไร่ของผมทั้ง 2 แปลง ไม่ให้ผมทำไร่หมุนเวียน ปีนั้นผมไม่มีข้าวกินเลย ต้องออกไปรับจ้างข้างนอก” 

เกรียงไกร ก็เป็นชาวบ้านอีกหนึ่งคนที่ถูกเจ้าหน้าที่คุกคามโดยการเข้ามายึดพื้นที่ทำไร่หมุนเวียน เมื่อปี 2562 เขาถูกเจ้าหน้าที่สั่งห้ามทำไร่หมุนเวียน  ถูกยึดไร่ไปทั้งหมด 2 แปลง และเข้ามาทำลายไร่ ส่งผลให้ครอบครัวของเขาในปีนั้นไม่มีข้าวกินตลอดทั้งปี จนต้องออกไปทำงานรับจ้างนอกหมู่บ้าน

“เราผิดตั้งแต่เกิดเลยเหรอ เราอยู่มาก่อนกฎหมายอีก กฎหมายเพิ่งออกมาไม่กี่ปี” 

เกรียงไกรกล่าวอย่างน้อยใจ เขายังพูดถึงมุมมองของภาครัฐที่ไม่ได้เข้าใจวิถีชีวิตของคนอยู่กับป่า ทำให้นโยบายต่างๆ นั้นถูกออกแบบมาอย่างไม่เข้าใจบริบทพื้นที่ไปด้วย เกรียงไร ย้ำว่าชาติพันธุ์สามารถจัดการทรัพยากรในพื้นที่ได้ดีอยู่แล้ว เพราะอาศัยอยู่กับป่ามาแล้วกว่า 200 ปี แต่ผืนป่าในพื้นที่ที่อาศัยอยู่ก็ยังสวยงาม ดังนั้น การที่ภาครัฐบอกว่าคนชาติพันธุ์ที่อยู่ในป่าเป็นคนที่ผิดกฎหมาย สำหรับเขานัันถือเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล 

นอกจากเรื่องที่ดินทำกินซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่คนชาติพันธุ์ในหลายพื้นที่ต้องเผชิญ อคติทางชาติพันธุ์ยังแทรกซึมไปถึงนโยบายการศึกษาและหนังสือเรียน ที่มักสร้างภาพจำว่า ‘คนอยู่กับป่าเป็นคนทำลายป่า ทำไร่เลื่อนลอย และสร้างมลพิษ’ เป็นการส่งต่ออคติทางชาติพันธุ์ และภาพจำในแง่ลบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“เราเจออคติว่าชาวเขาทำลายป่าเป็น 100 ปีละมั้ง ตอนนั้นผมเรียนอยู่ ป.3 เคยเจอคำถามในหนังสือว่า ใครเป็นคนทำลายป่า ทำไร่เลื่อนลอย? และคำตอบคือ ชาวเขา ตอนนั้นผมรู้สึกไม่โอเคเลย เหมือนเป็นการทรยศตัวเอง” 

ปฏิภาณ มองว่าการศึกษามีผลต่อการสร้างภาพจำหรืออคติต่อคนที่อยู่กับป่า เขายังบอกอีกว่าระบบการศึกษาและการพัฒนาที่รวดเร็ว อาจทำให้เกิดการพัฒนาในด้านเทคโนโลยีมากขึ้น แต่ก็ตามมาด้วยการที่คนชาติพันธุ์ต้องส่งลูกหลานไปเรียนในโรงเรียนนอกชุมชน ส่งผลให้การสืบทอดองค์ความรู้ภูมิปัญญาการรักษาป่าในพื้นที่น้อยลงไปด้วย

อคติทางชาติพันธุ์มากจากไหน ใครกำหนด?

อภินันท์ ธรรมเสนา ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ภาพ: นับเราด้วยคน

อภินันท์ ธรรมเสนา ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เผยว่า อคติทางชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เริ่มต้นตั้งแต่สมัยการสร้างชาติไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ต้องมีการสร้างขอบเขตของรัฐที่ชัดเจน เป็นยุคที่เริ่มมีการจัดการสํามะโนประชากรที่มีการนับคนไทยและมองว่าคนที่อยู่ในป่า เป็นคนป่า คนที่อยู่บนภูเขาเป็นชาวเขา เริ่มมีการตั้งชื่อมลฑล ที่พยายามสร้างความแตกต่างทางชาติพันธุ์

อภินันท์ กล่าวอีกว่าอคติทางชาติพันธุ์รุนแรงขึ้นในช่วงสงครามเย็นหลังจากรัฐมองว่าความแตกต่างเป็นภัยต่อความมั่นคง จึงลดคุณค่าของคนชาติพันธุ์ที่ไม่สามารถพูดภาษาไทย มองว่าเป็นคนนอกที่ต้องถูกควบคุมหรือละทิ้ง แนวคิดชาตินิยมทำให้เกิดการสร้าง ‘ศัตรูของชาติ’ กล่าวหาว่าคนชาติพันธุ์แย่งทรัพยากรและเป็นภัยคุกคาม 

นอกจากนั้นรัฐยังใช้ข้ออ้างด้านความมั่นคงเข้าแทรกแซงพื้นที่ โดยกล่าวหาว่าชาติพันธุ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือทำลายป่า เพื่อเข้าครอบครองพื้นที่เหล่านั้น ระบบการศึกษาก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือ กำหนดภาพลักษณ์คนชาติพันธุ์ว่าไร้ระเบียบ ล้าหลัง และบังคับให้กลมกลืนกับสังคมไทย

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า รัฐมองความแตกต่างเป็นอุปสรรคต่อการควบคุม จึงพยายามทำให้ทุกคนในชาติมีอัตลักษณ์เหมือนกัน แม้จะมีมาตรการช่วยเหลือ แต่กลับไม่ส่งเสริมศักดิ์ศรีของคนชาติพันธุ์อย่างแท้จริง ส่งผลให้ในปัจจุบันนั้นแม้ประเทศไทยจะอ้างว่าตนเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม แต่รัฐยังคงยอมรับคนชาติพันธุ์เพียงในเชิงวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยว ขณะที่สิทธิขั้นพื้นฐานกลับไม่ได้รับการรับรองอย่างเท่าเทียม

พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ฯ ประตูบานแรกแก้อคติคนอยู่กับป่า

ด้วยอคติทางชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้นมานานกว่าศตวรรษ ภาคประชาสังคมหลายฝ่ายจึงมีการผลักดันให้มี ‘พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. ….’ หรือที่รู้จักกันใน ‘พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ฯ’ โดยมีการเสนอร่าง พ.ร.บ. ทั้งหมด 5 ฉบับได้แก่ 1. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) 2.คณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร 3.ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือพีมูฟ และเครือข่ายชาติพันธุ์ 4.พรรคก้าวไกล (พรรคประชาชน) และ 5.สภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย 

โดยทั้ง 5 ฉบับ มีความแตกต่างกันในเชิงของรายละเอียดและกลไก โดยร่างของสภาชนเผ่าฯ เน้นกลไก โครงสร้าง กำหนดให้มีการจัดตั้งสภาชนเผ่าฯ ประสานงานเครือข่ายชาติพันธุ์ องค์กรต่างๆ ส่วนอีก 4 ฉบับเน้นเรื่องการคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมวิถีชีวิตชาติพันธุ์ 

อภินันท์ เผยว่าหัวใจสำคัญของกฎหมายฉบับนี้คือการทำให้คนชาติพันธุ์ได้รับการยอมรับในฐานะพลเมืองไทยโดยสมบูรณ์ จริงอยู่ที่เขาเป็นคนไทยอยู่แล้ว แต่ด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรม ทำให้คนชาติพันธุ์มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนนอก ส่งผลให้ไม่ได้รับสิทธิพื้นฐานหลายอย่าง เป้าหมายของกฎหมายนี้คือการทำให้สังคมไทยยอมรับการมีอยู่ของคนชาติพันธุ์อย่างเป็นทางการ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีกฎหมายหรือระบบใดที่ให้การรับรองว่าประเทศไทยประกอบไปด้วยประชากรที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ นี่จึงเป็นครั้งแรกที่มีการรับรองสถานะของชาติพันธุ์ในเชิงกฎหมาย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการทำความเข้าใจและปรับเปลี่ยนทัศนคติของสังคมไทย ถือเป็นประตูบานแรกเพราะอคติที่ฝังรากลึกในสังคมไทยแก้ได้ยาก หากมีกฎหมายคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ นโยบายต่าง ๆ ก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลง และวิธีคิดของสังคมก็จะปรับตามไปเอง

อภินันท์ อธิบายอีกว่า หลักการสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ คือเรื่อง ‘พื้นที่คุ้มครอง’ ที่เป็นการยอมรับว่าทุกพื้นที่ในประเทศไทยมีชุมชนชาติพันธุ์อยู่มานานแล้ว ก่อนที่รัฐจะประกาศพื้นที่อนุรักษ์ เช่น อุทยานแห่งชาติ หรือป่าสงวน ปัญหาคือเมื่อมีการประกาศพื้นที่เหล่านี้รัฐไม่ได้ถามความคิดเห็นของชุมชนที่อาศัยอยู่เดิม แต่ทำให้กลายเป็น ‘ผู้บุกรุก’ ในบ้านของตัวเอง บางคนถูกบังคับให้ออกจากพื้นที่ โดยไม่มีแผนรองรับว่าจะไปอยู่ที่ไหน จนต้องไปเช่าที่อยู่อาศัยในเมืองใหญ่ หรืออาศัยอยู่ในสลัม

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 สภาผู้แทนราษฎรมีการประชุมพิจารณา ‘ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. …’ ในวาระ 2 และ 3 สภาผู้แทนราษฏร มีมติคว่ำ มาตรา 27 ไม่เห็นด้วยกับหลักการพื้นที่คุ้มครองชาติพันธุ์ ส่งผลให้หัวใจหลักของร่างถูกปัดตก

แต่อภินันท์ยังเชื่อว่าเรื่องนี้ยังมีโอกาสทำให้การทำงานและพื้นที่ของชาติพันธุ์ขยายมากขึ้นจากสองเงื่อนไขหลัก เงื่อนไขแรก คือ กฎหมายที่ถูกเขียนขึ้นมีหลักการคุ้มครองสิทธิของชาติพันธุ์ในหลายด้าน ซึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องมือให้ชุมชนอ้างอิงและผลักดันประเด็นต่างๆ ได้ ถึงแม้มาตรา 27 จะถูกตัดออกไปก็ตาม เงื่อนไขที่สอง คือ การมีกลไกระดับนโยบาย โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน คณะกรรมการชุดนี้จะช่วยให้ปัญหาของชาติพันธุ์ได้รับการแก้ไขโดยตรง ต่างจากอดีตที่ต้องฝากไว้กับหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งอาจไม่ให้ความสำคัญเพียงพอ การที่ปัญหาได้รับการเน้นย้ำในระดับนโยบายสูงสุดจะช่วยให้สามารถผลักดันแนวทางแก้ไขได้ง่ายขึ้น

“แม้ว่ากฎหมายฉบับนี้อาจยังไม่สามารถคุ้มครองสิทธิของชาติพันธุ์ได้อย่างชัดเจนในเชิงปฏิบัติ แต่ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และสามารถใช้เป็นฐานในการพัฒนาแนวทางแก้ไขในอนาคต” 

การทำไร่หมุนเวียน เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชิวิตที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีพของคนชาติพันธุ์ ผืนป่าที่เปรียบเสมือนบ้านและแหล่งอาหารสำคัญ คือสิ่งที่เหล่าพี่น้องชาติพันธุ์นั้นหวงแหนและตั้งใจรักษาเอาไว้เท่าชีวิต คนที่อาศัยอยู่กับป่า ย่อมเรียนรู้วิธีที่จะอาศัยอยู่กับป่าได้อย่างเหมาะสม สิ่งที่คนชาติพันธุ์ต้องการ จึงไม่ใช่สิ่งใหม่ หรือสิ่งที่ยิ่งใหญ่อะไรมากนัก ต้องการเพียงความเข้าใจ ความปลอดภัยในชีวิตและที่อยู่อาศัย อันเป็นสิทธิพื้นฐานที่ทุกคนควรมี

คนชาติพันธุ์ กินอยู่กับป่า และรักษาป่า คนในเมืองเองก็มีจุดมุ่งหมายที่จะพยายามรักษาพื้นที่ป่าเช่นกัน เมื่อเราต่างมีเป้าหมายเดียวกัน การรับฟังเหตุผลและเรียนรู้เกี่ยวกับรูปแบบการดำเนินชีวิตของกันและกันจึงเป็นสิ่งที่จะช่วยให้เรานั้นเข้าใจกันมากขึ้น เป็นสิ่งสำคัญที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนมุมมอง และลบล้างอคติทางชาติพันธุ์ที่สร้างบาดแผลทางใจให้คนชาติพันธุ์มายาวนานได้อย่างแท้จริง ดังนั้น การผลักดัน พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ จึงเป็นอีกแนวทางสำคัญที่ช่วยเสริมความมั่นคงด้านสิทธิของคนชาติพันธุ์

กองบรรณาธิการ Lanner เกิดและโตที่เชียงใหม่ มีความฝันบ้า ๆ ว่าอยากเป็นชาวประมง สอดส่องชีวิตผู้คนด้วยเลนส์ 576 ล้านพิกเซล และกลั่นกรองออกมาเป็นงานเขียน พบเจอได้ตามกิจกรรมทางการเมือง ที่ ลานท่าแพ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

slot deposit pulsa slot mahjong