แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายสิ่งแวดล้อม แต่สิทธิของประชาชนยังคงถูกละเมิดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสิทธิในการมีอากาศหายใจที่ดี เมื่อประชาชนกำลังจมฝุ่น และปัญหาฝุ่นควันก็ไม่ใช่ปัญหาของคนกลุ่มเดียว หากหน่วยงานรัฐยังมองไม่เห็นถึงปัญหา ไม่ออกกฏหมายบังคับอย่างที่ควรจะเป็น แล้วปัญหาฝุ่นจะถูกแก้ไขได้เมื่อไหร่? ผศ.ดร.นัทมน คงเจริญ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถอดบทเรียนคดีฝุ่นภาคเหนือและมองการทำงานของรัฐ
นัทมน หนึ่งในผู้ฟ้องคดีของ รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล และพวกอีก 10 คน ได้อธิบายว่า ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ถือเป็นปัญหาระดับชาติ เพราะฝุ่นควันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในภาคเหนือเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นในภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคตะวันออกด้วย เมื่อกฎหมายฝุ่นในไทยยังไม่ถูกบังคับใช้อย่างจริงจัง อีกทั้งมาตรการของรัฐที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด ประชาชนจึงต้องลุกขึ้นมาฟ้องคดีเพื่อเรียกร้องสิทธิของตนเอง ซึ่งกระบวนการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวทาง ‘Citizen Suit’ หรือการที่ประชาชนใช้สิทธิทางกฎหมายเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม โดยคดีนี้ถือเป็น ‘คดียุทธศาสตร์’ ที่มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นรูปธรรม และคุ้มครองสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมของประชาชน
“ที่ผ่านมา มีการฟ้องคดีที่เกี่ยวข้องกับฝุ่น PM 2.5 หลายคดี โดยคำวินิจฉัยของศาลเป็นสิ่งที่เราคาดหวังว่าจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหา แต่ปัญหาฝุ่นก็ยังกลับมาเกิดขึ้นทุกปี”
นัทมน ยกตัวอย่างคดีฝุ่นในภาคเหนือ 4 คดี ประกอบด้วย
คดีที่ 1 วชร เจริญผลิตผล ที่ได้ฟ้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564 โดยฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฐานละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 ขอให้มีการประกาศ เขตควบคุมมลพิษ ใน 4 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ในคดีนี้ศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2564 โดยมีคำสั่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติกำหนดให้ 4 จังหวัดดังกล่าว เป็นเขตควบคุมมลพิษภายใน 60 วัน อย่างไรก็ตาม ประชาชนก็ยังไม่เห็นมาตรการที่เป็นรูปธรรมในการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐ
คดีที่ 2 วชร เจริญผลิตผล ได้ฟ้องนายกรัฐมนตรี (ขณะนั้นคือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ฐานละเลยการแก้ปัญหาฝุ่นควันและการดูแลสุขภาพของประชาชน เมื่อปี 2566 ซึ่งในคดีนี้ศาลยกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า ยังไม่สามารถถือว่าเป็น ‘สาธารณภัยร้ายแรงอย่างยิ่ง’ และการที่นายกฯ ไม่สั่งให้หน่วยงานรัฐดำเนินการ ยังไม่ถือเป็นการละเลยหน้าที่
คดีที่ 3 วสุชาติ พิชัย ฟ้องนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยเรียกร้องให้ศาลมีคำสั่งให้นายกฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้มาตรการที่มีประสิทธิภาพ เช่น ให้กรมฝนหลวงทำฝนเทียมเพื่อลดฝุ่น และประกาศให้เชียงใหม่เป็น ‘เขตภัยพิบัติ’ โดยในคดีนี้ศาลมีคำสั่งให้หน่วยงานของรัฐต้องบูรณาการมาตรการต่างๆ ตามกฎหมายสิ่งแวดล้อม กฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
คดีที่ 4 สมชาย ปรีชาศิลปกุลและพวก (รวม 10 คน) เป็นคดีล่าสุดที่ได้ฟ้องนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2566 เกี่ยวกับปัญหาวิกฤตฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพต่อประชาชนและถูกเพิกเฉยในสมัยรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยคดีนี้มีเป้าหมายเพื่อให้เป็นคดียุทธศาสตร์ของภาคเหนือ ไม่ใช่เฉพาะแค่เชียงใหม่แต่ยังรวมถึงแม่ฮ่องสอน พะเยา ลำปาง และลำพูน ซึ่งมีค่าฝุ่นสูงตลอดเวลา แต่ไม่ค่อยถูกพูดถึงหรือได้รับการแก้ไข และท้ายที่สุดศาลปกครองเชียงใหม่ก็มีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติต้องดำเนินการจัดทำแผนแก้ปัญหาฝุ่น ภายใน 90 วัน นับแต่คำพิพากษา
นัทมนชวนตั้งข้อสังเกตจากทุกคดีว่า แม้ศาลจะมีคำสั่งให้หน่วยงานของรัฐดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหา แต่ในทางปฏิบัติประชาชนกลับยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ยังมีหลายคดีที่ศาลยกฟ้องโดยอ้างเหตุผลว่า ปัญหาฝุ่นยังไม่เข้าข่าย ‘สาธารณภัยร้ายแรง’ นอกจากนั้น รัฐยังให้ความสำคัญต่อข้อกังวลใจว่า การประกาศให้พื้นที่เป็น ‘เขตภัยพิบัติ’ จะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจ มากกว่าคุณภาพชีวิตของประชาชน ที่ต้องรับผลกระทบต่อสุขภาพอย่างหนัก
“คดีฝุ่นภาคเหนือเป็นคดียุทธศาสตร์ที่ต้องการให้เกิดการแก้ไขปัญหาในระดับภูมิภาค ไม่ใช่แค่จังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง แม้ว่าจะมีคำพิพากษาออกมาแล้วหลายคดี แต่ในทางปฏิบัติ ปัญหายังคงเกิดขึ้นซ้ำทุกปี การเคลื่อนไหวของประชาชนจึงยังจำเป็น เพื่อกดดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม”
นัทมนอธิบายต่อว่า ในช่วงแรกการฟ้องคดีจะอาศัย พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ต่อมาก็เริ่มใช้ พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม แต่ในคดีล่าสุด พวกเธอได้ใช้มาตรา 9 ของกฎหมายสิ่งแวดล้อม ซึ่งให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการบูรณาการหน่วยงานต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหา มาใช้ในการฟ้องร้อง พวกเธอได้พยายามนำกฎหมายมาใช้เป็นเครื่องมือกดดันให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“หนึ่งในข้อเรียกร้องของเรา คือให้มีแผนระยะยาวที่บูรณาการจากส่วนกลาง โดยใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 9 แทนที่จะปล่อยให้แต่ละหน่วยงานจัดการกันเอง เพราะฝุ่นควันเป็นปัญหาข้ามพื้นที่ ไม่สามารถแก้ไขได้โดยให้ท้องถิ่นดำเนินการเพียงอย่างเดียว แม้ว่าหน่วยงานรัฐจะอ้างว่ามีแผนและประชุมกันอย่างสม่ำเสมอ เช่น ระดับจังหวัดประชุมทุกอาทิตย์ แต่เราต้องการเห็น ผลลัพธ์ที่แท้จริง มากกว่าการประชุมที่ไม่มีผลกระทบต่อค่าฝุ่นที่ลดลง”
ทั้งนี้ นัทมนยังได้กล่าวอีกว่า แม้ปัจจุบันจะมีมาตรการต่างๆ เช่น การห้ามเกษตรกรเผาพื้นที่เพาะปลูก โดยกระทรวงเกษตรจะตัดสิทธิ์การช่วยเหลือทุกกรณีหากมีการเผา นอกจากนั้นยังมีการใช้ฝนหลวง เพื่อลดฝุ่นโดยการโปรยสารกระตุ้นให้เกิดฝน ตามข้อเรียกร้องหนึ่งจากการฟ้องคดีแรกๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรมีการติดตามผลว่ามาตรการนี้ช่วยลดปัญหาฝุ่นควันได้จริงหรือไม่ และมีต้นทุนเท่าใด เพราะการปฏิบัติการแต่ละครั้งใช้ภาษีของประชาชน
“แม้ว่าปีนี้เราจะเห็นการดำเนินมาตรการต่างๆ แต่ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่ามาตรการเหล่านี้ได้ผลจริงหรือไม่ เราต้องรอช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน ซึ่งเป็นช่วงพีคของปัญหาฝุ่นควัน เพื่อดูว่าค่าฝุ่นจะลดลงจริงตามที่รัฐบาลกล่าวอ้างหรือไม่”
หมายเหตุ บทความชิ้นนี้เรียบเรียงจาก วงเสวนา PM2.5 จากท้องถิ่นถึงประเทศไทย โดย ผศ.ดร.นัทมน คงเจริญ, วิชชากร นวลฝั้น, ชนกนันทน์ นันตะวัน, ผศ.ดร.ณัฐกร วิทิตานนท์, กรกนก วัฒนภูมิ, วัชลาวลี คำบุญเรือง และรศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ห้องประชุม 1 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...