จากกรณีที่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ได้แถลงหลังการประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) ให้ทุกหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่ดครัดใน 3 เดือนนี้จะต้องไม่มีการเผาป่า เผาในที่โล่งแจ้ง เผาซากผลผลิตการทางการเกษตร โดยในที่ประชุมเห็นพ้องกันว่าต้องไม่เผา ซึ่งจะมีการดำเนินคดี มีมาตรการลงโทษและจะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือหรือสิทธิการช่วยเหลือใดจากทางราชการ โดยได้สั่งการไปยังผู้ว่าฯ ทั้ง 76 จังหวัดให้อำนาจในการสั่งดำเนินการป้องกัน

Lanner ได้พูดคุยกับ สมชาติ รักษ์สองพลู ผู้ใหญ่บ้านบ้านกลาง หมู่ที่ 5 ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง และสมาชิกสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) เผยว่า มาตรการการห้ามเผานั้นมีมาตั้งแต่ปี 2550 แต่การบังคับใช้มาตรการไม่ได้เข้มข้น แต่มาตรการของอนุทินนั้นมีคำสั่งถึงผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดรวมไปถึงที่ว่าการอำเภอ ซึ่งส่งผลกระทบต่อพี่น้องที่ทำการเกษตรที่เหมือนถูกบีบบังคับ รวมไปถึงส่งผลต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของปกาเกอะญอที่ต้องมีการใช้ไฟในการดำรงชีวิตอย่างการทำไร่หมุนเวียน นอกจากนี้การเข้าป่าหาอาหารตามวิถีชีวิตของชาวบ้านนั้นยากมากขึ้นเนื่องจากจะต้องมีรายชื่อผู้ที่เข้าป่า ต้องมีการแจ้งนายอำเภอที่ระบุถึงจำนวนของคนที่เข้าป่าแต่ละหมู่บ้าน ซึ่งคนที่ออกคำสั่งแทบจะไม่เข้าใจในวิถีชีวิตชุมชน
“เหมือนเป็นคำสั่งจากเบื้องบน ชาวบ้านแทบไม่มีส่วนร่วม”
สมชาติ เล่าถึงเหตุการณ์ที่ชาวบ้านในอำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ที่เผาใบไม้หน้าบ้านของตนและถูกจับ เป็นเหมือนการเชือดไก่ให้ลิงดูซึ่งไม่เท่าเทียมและไม่เป็นธรรมหากเทียบกับแหล่งกำเนิดฝุ่นใหญ่ๆ อย่างโรงไฟฟ้าแม่เมาะ โรงงานปูนซีเมนต์ โรงงานบรรจุแก๊ส ในจังหวัดลำปางซึ่งเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สร้างมลพิษเป็นจำนวนมากกลับไม่มีมาตรการในการจัดการที่ชัดเจน
“ชาวบ้านในพื้นที่บอกผมว่ามาตรการดังกล่าวทำให้ไม่มีความมั่นใจในการใช้ชีวิตที่ต้องอาศัยกับป่า การเข้าป่าแต่ละครั้งของชาวบ้านมีความกังวลตลอด เนื่องจากหากเกิดไฟป่าขึ้นก็จะถูกเจ้าหน้าที่กล่าวหาว่าเป็นคนเผาทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลย”
เขายังได้พูดถึงมาตรการของผู้ว่าฯ ที่บอกว่าไม่สามารถเผาได้ในวันที่ PM2.5 สูง ซึ่งไม่มีมาตรฐานในการวัดที่ชัดเจนทำให้การใช้ไฟที่เป็นวิถีชีวิตของชุมชนถูกเลื่อนการเผาไปเรื่อยๆ ทั้งที่ไร่หมุนเวียนต้องมีการเผาในเดือนมีนาคม ซึ่งหากไม่ได้เผาในเดือนมีนาคมก็ไม่ได้เป็นไปตามวิถี แร่ธาตุต่างๆ ในดินก็หมด การปลูกพืชในปีถัดๆ ไปก็จะยากมากยิ่งขึ้น
“อุทยานฯ บอกว่าพื้นที่ที่ชาวบ้านอาศัยอยู่เป็นของอุทยานฯ แต่เมื่อเกิดไฟป่ากลับบอกให้ชาวบ้านดับไฟ ชาวบ้านต้องรับผิดชอบ แต่เวลาชาวบ้านขอกันพื้นที่เพื่อทำเป็นพื้นที่ทำกินหรือป่าชุมชน อุทยานฯกลับไม่ให้ มันทำให้ชาวบ้านน้อยใจและรู้สึกถึงความเหลื่อมล้ำในการใช้กฎหมาย”
ทั้งนี้ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา เครือข่ายภาคประชาสังคม ได้ยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้มารับเรื่องการยื่นหนังสือดังกล่าว หลังจากที่อนุทินมีคำสั่งห้ามเผาทุกกรณี 3 เดือนเพื่อขอความชัดเจนแนวทางการดำเนินงานเรื่องข้อสั่งการของการบริหารจัดการเชื้อเพลิง เขตควบคุมการเผาและมาตราการทางกฎหมายในการควบคุมการเผาของจังหวัดเชียงใหม่ และแก้ไขปัญหาเชิงรุกและยอมรับเรื่องการใช้ไฟจำเป็น และเปิดให้ชุมชน หน่วยงานป่าไม้ และท้องถิ่นสามารถขออนุญาตบริหารจัดการเชื้อเพลิงผ่านระบบ Fire-D
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...