สื่อ Lanner เปิด 2 ข้อท้าทายสื่อสารประเด็นฝุ่นถึงภาครัฐ-ประชาชน

“ปัจจุบัน คนรู้จัก PM2.5 แล้ว แต่ยังขาดการคำถามว่า ‘ใคร’ ควรเป็นผู้รับผิดชอบในการแก้ปัญหานี้ เราหรือหน่วยงานรัฐ?” 

วิชชากร นวลฝั้น ตัวแทนสื่อจากสำนักข่าว Lanner ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับผู้รับผิดชอบในการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 พร้อมพูดถึงแนวทางการสื่อสารประเด็นฝุ่น PM2.5 สองประเด็นสำคัญคือ 1.การพัฒนาการสื่อสารเกี่ยวกับปัญหาฝุ่น และ2.ข้อท้าทายของสื่อในการนำเสนอข้อมูลให้เข้าถึงประชาชนและภาครัฐ

วิชชากร เล่าว่า Lanner ได้ติดตามและรายงานสถานการณ์เกี่ยวกับฝุ่น PM2.5 อย่างต่อเนื่อง เน้นการอธิบายข้อมูลเชิงลึก ด้วยการสื่อสารในรูปแบบที่เข้าใจง่าย อย่างการใช้สื่อมัลติมีเดีย บทสัมภาษณ์ หรือการใช้อินโฟกราฟิก เพื่อให้ประชาชนเข้าใจง่ายขึ้น มีการสื่อสารผ่านแคมเปญต่างๆ เช่น ‘คนเหนือควรได้ตรวจปอด’ เพื่อให้ประเด็นนี้ถูกพูดถึงมากขึ้น มีการใช้ผลงานศิลปะเพื่อการสื่อสารเรื่องฝุ่น รวมถึงรวบรวมหลักฐานและข้อมูลในหลากหลายด้านมานำเสนอ เพื่อย้ำเตือนว่า นี่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำทุกปี แต่ยังไม่มีการแก้ไขที่เป็นรูปธรรมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

วิชชากรยังเล่าอีกว่า จากเดิมที่ Lanner เน้นการรายงานข่าวรายวันเป็นหลัก  ก็เริ่มทำข่าวเชิงลึกมากขึ้นเพื่อค้นหาต้นตอของปัญหาเกี่ยวกับฝุ่น เช่น อคติทางสังคมที่มองว่าเกษตรกรเป็นผู้ก่อมลพิษทั้งที่ในความเป็นจริงอาจมีปัจจัยอื่นอีกมากมายที่สร้างผลกระทบเกี่ยวกับฝุ่น หรือกรณีฝุ่นข้ามพรมแดนที่ส่งผลต่อคุณภาพอากาศภายในประเทศและไม่มีมาตรการจากรัฐเลย รวมไปถึงการเก็บข้อมูลในรูปแบบ Big Data และนำมาเสนอในรูปแบบอินโฟกราฟิกและวิดีโอ เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจปัญหาง่ายขึ้นและสร้างการตื่นตัว

“ช่วงแรกๆ เราเน้นการรายงานข่าวเป็นหลัก แต่ในปีที่ผ่านมา เราเริ่มทำงานเชิงลึกมากขึ้น โดยรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งและนำเสนอเป็นข่าวเจาะ เพื่อให้เข้าใจถึงต้นตอของปัญหา เช่น อคติทางสังคมที่มองว่าเกษตรกรบนดอยเป็นต้นเหตุของการเผาป่า ทั้งที่ความจริงอาจมีปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย หรือเรื่องที่ฝุ่นอาจไม่ได้เกิดจากภายในประเทศเพียงอย่างเดียว แต่อาจเป็นฝุ่นข้ามพรมแดนเข้ามาด้วย”

วิชชากรกล่าวถึงข้อท้าทายของสื่อในการสื่อสารปัญหาฝุ่น PM2.5 ว่า แม้สื่อจะพยายามสื่อสารให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหา แต่ก็ยังไม่อาจรู้ได้ว่าเสียงของพวกเขาจะไปถึงภาครัฐหรือผู้มีอำนาจมากน้อยแค่ไหน และต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่กว่าที่ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ปัญหาอคติทางสังคมยังเป็นอีกอุปสรรคสำคัญ แม้จะนำเสนอข้อมูลที่หลากหลาย แต่ความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียยังคงสะท้อนมายาคติเก่าๆ อย่างอคติที่มีต่อกลุ่มชาติพันธุ์ที่มักถูกเหมารวมว่าเป็นตัวการของฝุ่นอยู่ตลอด ซึ่งอคติเหล่านี้ยังอยู่ในนโยบายหรือแบบเรียนของรัฐทำให้การเปลี่ยนแปลงทางความคิดเป็นไปได้ยาก

“ในฐานะสื่อเราต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน หนึ่งในนั้นคือ ด้วยแนวคิดแบบรัฐรวมศูนย์ที่อยู่ในนโยบายรวมไปถึงแบบเรียน แม้เราจะพยายามสื่อสารให้ประชาชนได้รับรู้ แต่เสียงของเราจะไปถึงภาครัฐหรือผู้มีอำนาจแค่ไหน? และต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไร กว่าข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของเรา”

อีกหนึ่งประเด็นคือการใช้ข้อมูล Big Data ของรัฐที่เป็นข้อมูลที่มีความซับซ้อน และเข้าถึงยากมากความท้าทายของสื่อคือการที่จะทำอย่างไรให้ข้อมูลเหล่านี้ถูกแปลงเป็นเนื้อหาที่เข้าใจง่ายสำหรับประชาชนทั่วไป ในหลายครั้งจึงต้องมีการสืบค้นและหาข้อมูลเองเพื่อนำมาสื่อสาร 

วิชชากร ทิ้งท้ายด้วยการเชิญชวนให้ติดตามและสนับสนุนกฎหมายอากาศสะอาด ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น และอาจนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนในระยะยาว

“ผมอยากฝากให้ทุกคนติดตามและผลักดัน กฎหมายอากาศสะอาด ซึ่งจะมอบอำนาจให้นายก อบจ. เป็นประธานคณะกรรมการอากาศสะอาดของจังหวัด นี่อาจเป็นก้าวแรกของการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น และเป็นโอกาสที่เราจะมีสิทธิ์กำหนดคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่”

หมายเหตุ บทความชิ้นนี้เรียบเรียงจาก วงเสวนา PM2.5 จากท้องถิ่นถึงประเทศไทย โดย ผศ.ดร.นัทมน คงเจริญ, วิชชากร นวลฝั้น, ชนกนันทน์ นันตะวัน, ผศ.ดร.ณัฐกร วิทิตานนท์, กรกนก วัฒนภูมิ, วัชลาวลี คำบุญเรือง และรศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ห้องประชุม 1 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง