เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้น โดยเป็นการใช้กำลังจากเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน (คฝ.) เข้าสลายการชุมนุมของกลุ่ม “ราษฎรหยุดAPEC2022” บริเวณถนนดินสอ ส่งผลให้ผู้ชุมนุมและสื่อมวลชนได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 9 คน ในจำนวนนั้นเป็นสื่อมวลชน 4 คน และมีผู้ชุมนุม 25 คนถูกจับกุมและถูกนำตัวไปที่สถานีตำรวจทุ่งสองห้อง ซึ่งไม่ใช่สถานีท้องที่ โดยตำรวจแถลงว่ามี “ตำรวจ คฝ.” ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 5 นาย
การชุมนุมดังกล่าวจัดขึ้นคู่ขนานกับการประชุมเอเปกระหว่างวันที่ 16 ถึง 18 พฤศจิกายน 2565 โดยมีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ได้แก่
1. ยกเลิกนโยบาย BCG
2. ประยุทธ์ต้องยุติบทบาทการเป็นประธานในการประชุมเอเปกเนื่องจากไม่มีความชอบธรรม
3. ต้องยุบสภาอีกทั้งเปิดให้มีการเลือกตั้ง
โดยทางกลุ่มชุมนุมประกาศว่า จะเดินเท้าจากลานคนเมือง ไปศูนย์ประชุมสิริกิตวันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 เพื่อยื่นหนังสือข้อเรียกร้องถึงผู้นำชาติต่างๆ ที่เข้าร่วมประชุม ซึ่งเหตุความรุนแรงดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างการเคลื่อนขบวนการชุมนุมประท้วงจากลานคนเมือง ที่บริเวณถนนดินสอในวันที่ 18 พฤศจิกายน เวลาประมาณ 09.00 น. ตำรวจควบคุมฝูงชนได้นำรถและรั้วถนนขวางกลางถนน ก่อนที่ตำรวจจะประกาศให้ยกเลิกการชุมนุมและเข้าจับกุมประชาชนอย่างน้อย 25 คน โดยนำตัวไปสถานีทุ่งสองห้องซึ่งไม่ใช่สถานีท้องที่ที่เกิดเหตุ
การเข้าสลายการชุมนุมอย่างรุนแรงดังกล่าว ส่งผลให้ประชาชนอย่างน้อย 9 คน ได้รับการบาดเจ็บ ในจำนวนนี้รวมสื่อแล้ว 4 คน ซึ่งใส่ปลอกแขนและตะโกนร้องเพื่อยืนยันตนว่ากำลังปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสื่อมวลชน แต่ยังคงโดนกระบองฟาดและทำร้ายบริเวณศีรษะ ตามแถลงการณ์ของ The Matter หรือถูกควบคุมตัวไปที่สถานีตำรวจทุ่งสองห้อง ตามแถลงการณ์ของ The Isaan Record อีกทั้งหนึ่งในประชาชนที่ได้รับการบาดเจ็บ ถูกยิงด้วยกระสุนยางเข้าที่เบ้าตา อาจส่งผลให้ตาบอดได้อีกด้วย
ทางด้านนางปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เผยว่า ปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจในครั้งนี้ไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานสากลตามที่กล่าวอ้าง แทนที่จะอำนวยความสะดวกในการจัดการชุมนุม กลับสลายการชุมนุมที่รุนแรงโดยการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่มุ่งเป้าเพื่อการปะทะและการจับกุมผู้ชุมนุม ถือเป็นการละเมิดการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ และเป็นการปิดปากผู้เห็นต่าง
ตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และมาตรฐานการใช้กำลังตำรวจควบคุมฝูงชน เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายต้องหาทางหยุดยั้งและแยกตัวบุคคลที่กระทำความรุนแรงออกไป แต่ต้องไม่ไปขัดขวางบุคคลอื่นที่ยังต้องการชุมนุมโดยสงบต่อไป ตำรวจอาจใช้กำลังได้เป็นแนวทางสุดท้าย เฉพาะเมื่อมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด และเฉพาะเมื่อจำเป็นแก่การปฏิบัติตามหน้าที่ของตนเอง การใช้กำลังควรมุ่งที่การยุติความรุนแรง และให้ใช้ได้ในลักษณะที่จำกัดอย่างยิ่ง โดยมุ่งลดอาการบาดเจ็บและมุ่งรักษาสิทธิที่จะมีชีวิตรอด
“ผู้ชุมนุมประท้วงส่วนใหญ่ไม่ได้มีส่วนร่วมในพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายหรือรุนแรงใดๆ แต่กลับได้รับความกระทบกระเทือนทั้งทางร่างกายและจิตใจจากการกระทำของตำรวจ มีผู้ชุมนุมที่บาดเจ็บจากการถูกยิงด้วยแก๊สน้ำตา มีสื่อมวลชนที่ถูกทุบตี ได้รับบาดเจ็บ และขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งๆ ที่ใส่ปลอกแขนสื่อมวลชนและแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพราะพวกเขากล้าที่จะใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ”
“ทางการต้องยกเลิกข้อกล่าวหาและปล่อยตัวผู้ชุมนุมโดยทันทีและอย่างไม่มีเงื่อนไข ในส่วนของการควบคุมการชุมนุม ทางการไทยควรเคารพ คุ้มครองและประกันการใช้สิทธิมนุษยชนของผู้จัดการชุมนุมและผู้เข้าร่วม รวมทั้งมีมาตรการรับมือและป้องกันความเสี่ยงต่างๆ โดยไม่ใช้ความรุนแรง และยังต้องประกันความมั่นคงปลอดภัยของผู้สื่อข่าว ผู้สังเกตการณ์การชุมนุม และประชาชนทั่วไปที่ร่วมสังเกตการณ์การชุมนุมด้วย”
“เราขอเรียกร้องทางการไทยให้ปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศของตน และอำนวยความสะดวก ในการใช้สิทธิในเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบ ทางการไทยต้องอนุญาตให้ผู้ชุมนุมโดยสงบสามารถแสดงความคิดเห็นของตน โดยต้องไม่ทำให้เกิดความตึงเครียดเพิ่มมากกว่านี้”
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...