ศึกเลือกตั้งนายก อบจ. แพร่ เจาะลึกสมรภูมิท้องถิ่นผ่านมุมมอง ‘ถิรายุส์ บำบัด’

ถิรายุส์ บำบัด อาจารย์ประจำหลักสูตรรัฐศาสตรบัณฑิต คณะรัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ภาพจาก Facebook : Tirayoot Bumbud

‘Lanner’ สัมภาษณ์ ถิรายุส์ บำบัด อาจารย์ประจำหลักสูตรรัฐศาสตรบัณฑิต คณะรัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ถึงสถานการณ์เลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น อบจ.แพร่ ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 โดยถิรายุส์กล่าวถึงการเมืองในจังหวัดแพร่ โดยเฉพาะในเรื่องของการเลือกตั้งที่ว่า จังหวัดแพร่ถือเป็นพื้นที่ชายขอบของภาคเหนือ ซึ่งหมายถึงการเมืองในพื้นที่นี้ยังคงมีการขับเคลื่อนจากพรรคเพื่อไทยและเครือข่ายของพรรคในระดับท้องถิ่น 

ที่ผ่านมานั้นจังหวัดแพร่ขับเคลื่อนโดยตระกูลการเมืองหลักๆ ถึง 4 ตระกูล ได้แก่ ตระกูลเอื้ออภิญญกุล ,ตระกูลวงศ์วรรณ, ตระกูลศุภศิริ และตระกูลพนมขวัญ ซึ่งแต่ละตระกูลมีบทบาทสำคัญในการเมืองท้องถิ่นมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่การเลือกตั้งในปี 2544 เป็นต้นมา จังหวัดแพร่ยังคงมีการผูกขาดตำแหน่งทางการเมืองโดยเครือข่ายพรรคไทยรักไทย, พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย จนถึงปัจจุบัน ยกเว้นการเลือกตั้งครั้งสำคัญในปี 2562 ที่พรรคไทยรักษาชาติและพรรคอนาคตใหม่ได้มีบทบาทการเมืองใหม่ในพื้นที่ เพราะแกนนำพรรคเพื่อไทยจังหวัดแพร่เดิมย้ายมาสังกัดพรรคไทยรักษาชาติ 

นายอนุวัธ วงศ์วรรณ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร ภาพจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ 

นายก อบจ. แพร่ ที่ดำรงตำแหน่งในปี 2563-2567 คือ ‘อนุวัธ วงศ์วรรณ’ หรือ ‘เสี่ยเอน’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลวงศ์วรรณที่มีบทบาทในการเมืองท้องถิ่นมายาวนาน โดยอนุวัธสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้เป็นสมัยที่ 4 และครั้งนี้เขาสมัครในนามของพรรคเพื่อไทย หลังจากที่สมัครในนามกลุ่มการเมืองท้องถิ่น “ฮักเมืองแป้” มาหลายสมัยและได้รับการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง

หากเราพิจารณาผลการเลือกตั้งระดับชาติ ในปี 2566 จะเห็นได้ว่า คะแนนของพรรคเพื่อไทยในจังหวัดแพร่ยังคงครองอันดับหนึ่ง โดยสามารถทำคะแนนได้ถึง 106,856 คะแนน  ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงมากในพื้นที่ ขณะที่พรรคก้าวไกลหรือพรรคประชาชนในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในกลุ่มพรรคสีส้ม สามารถขึ้นมาเป็นอันดับที่สองด้วยคะแนนในหลักแสนเช่นกัน ซึ่งสะท้อนถึงการขับเคลื่อนทางการเมืองที่หลากหลายของจังหวัดแพร่ 

การแข่งขันการเลือกตั้งในจังหวัดแพร่ เขต 2 ซึ่งเป็นเขตที่มีการแข่งขันสูง โดยในปี 2566 พรรคเพื่อไทยสามารถชนะการเลือกตั้งได้อย่างเฉือนกัน โดยมีคะแนนนำคู่แข่งพรรครวมไทยสร้างชาติเพียง 3,782 คะแนนเท่านั้น เขตนี้เป็นพื้นที่ที่มีผู้สมัครจากหลายกลุ่มการเมือง โดยเฉพาะจากตระกูลการเมืองที่มีบทบาทในท้องถิ่น เช่น ทีมงานของ ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู หรือ ‘แม่เลี้ยงติ๊ก’ อดีต ส.ส.จังหวัดแพร่พรรคประชาธิปัตย์หลายสมัย ปัจจุบันเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลศุภศิริและมีกลุ่มการเมืองรุ่นใหม่ที่เริ่มเข้าสู่สนามการเมืองในพื้นที่นี้ 

ริวรรณ ปราศจากศัตรู หรือ ‘แม่เลี้ยงติ๊ก’ อดีต ส.ส.จังหวัดแพร่พรรคประชาธิปัตย์หลายสมัย ปัจจุบันเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ
ภาพจาก : Facebook ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู

ถึงแม้ว่าผลการเลือกตั้งในเขตนี้จะค่อนข้างสูสี แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ก็ยังสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลที่แข็งแกร่งของพรรคเพื่อไทยในพื้นที่จังหวัดแพร่ ที่แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในภาพรวมของการเมือง แต่กระแสการสนับสนุนพรรคเพื่อไทยยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีอิทธิพลทางการเมืองในพื้นที่ 

ย้อนมองการเลือกตั้งระดับชาติ ปี 2562

การเลือกตั้งในปี 2562 เป็นการเลือกตั้งที่มีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้นหลังจากการยุบพรรคไทยรักษาชาติ โดยในปีนั้น การเมืองในจังหวัดแพร่และในหลายพื้นที่ภาคเหนือมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด พรรคอนาคตใหม่และพรรคไทยรักษาชาติ ซึ่งเป็นพรรคใหม่ที่มีแนวคิดเปลี่ยนแปลงได้รับความสนใจจากประชาชนในพื้นที่ เมื่อพรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ พรรคอนาคตใหม่จึงกลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้เลือกตั้งในจังหวัดแพร่ ทำให้กระแสการเมืองในจังหวัดนี้มีความหลากหลายขึ้น และยังสร้างความตื่นตัวให้กับประชาชนในพื้นที่ การเลือกตั้งในปี 2562 นี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในมุมมองทางการเมืองของจังหวัดแพร่ 

การเลือกตั้ง อบจ.แพร่ ครั้งล่าสุดในปี 2563 ผลการเลือกตั้งยังคงสะท้อนถึงการมีอิทธิพลของกลุ่มการเมืองที่มีบทบาทในจังหวัดแพร่ โดยในปีนั้น อนุวัธ ผู้สมัครจากกลุ่ม “ฮักเมืองแป้” ชนะการเลือกตั้งด้วย 140,133 คะแนน ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก ในขณะที่ผู้สมัครอันดับ 2 คือ สุภวัฒน์ ศุภศิริ  หรือ คนแพร่รู้จักกันในนาม “สจ.ลี่” สมาชิกของตระกูลศุภศิริและนายกเทศมนตรีตำบลป่าแมต เขตอำเภอเมืองแพร่ในปัจจุบัน ได้รับ 48,571 คะแนน

สุภวัฒน์ ศุภศิริ  หรือ “สจ.ลี่” นายกเทศมนตรีตำบลป่าแมต เขตอำเภอเมืองแพร่ ภาพจาก : Facebook Supawat Supasiri สุภวัฒน์ ศุภศิริ
ประสงค์ ชุ่มเชย หรือ‘สจ.น้อย’ ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกอบจ.จังหวัดแพร่ในนามอิสระ ภาพจากจาก Facebook : Prasong Chumchoey

สำหรับผู้สมัครอันดับ 3 ในการเลือกตั้งครั้งนั้นคือ ‘ประสงค์ ชุ่มเชย’ หรือ‘สจ.น้อย’ ซึ่งในตอนนั้นได้รับคะแนนประมาณ 26,843 คะแนน โดยประสงค์ลงสมัครในนามอิสระ แต่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มการเมืองของแม่เลี้ยงติ๊ก ขณะเดียวกัน     สุภวัฒน์ ลงสมัครในนามของเครือข่ายพรรคสีส้ม คือคณะก้าวหน้า ซึ่งเป็นพรรคที่มีแนวคิดทางการเมืองแตกต่างจากพรรคเพื่อไทย แต่ก็ยังคงได้รับความสนใจจากประชาชนในจังหวัดแพร่ โดยเฉพาะจากกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ที่มีความเชื่อมโยงกับตระกูลศุภศิริ

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้ง อบจ.ในปี 2563 ยังคงเป็นที่รู้กันในจังหวัดแพร่ว่า แม้จะมีการใช้ชื่อพรรคและกลุ่มการเมืองที่แตกต่างกัน แต่ผู้สมัครจากกลุ่มการเมืองที่มีความสัมพันธ์กับแม่เลี้ยงติ๊กและตระกูลศุภศิริ ยังคงมีบทบาทสำคัญในการเมืองท้องถิ่น และเป็นที่รู้จักในฐานะนักการเมืองที่มีอิทธิพลในจังหวัดแพร่

การเลือกตั้งนายก อบจ. แพร่ในปี 2563 แสดงให้เห็นถึงการแข่งขันที่ค่อนข้างสูสีระหว่างกลุ่มการเมืองที่มีอิทธิพลในจังหวัดแพร่ โดยมีอนุวัธ จากกลุ่ม “ฮักเมืองแป้” ซึ่งได้รับคะแนนสูงสุด และผู้สมัครจากพรรคก้าวหน้าและอิสระที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มการเมืองเดิมในพื้นที่ นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงการมีอิทธิพลของตระกูลและกลุ่มการเมืองท้องถิ่นที่ยังคงมีบทบาทสำคัญในการเลือกตั้งในพื้นที่นี้

การวิเคราะห์สถานการณ์เลือกตั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ. แพร่ ในปีนี้ อย่างละเอียดจากข้อมูลที่ให้มานั้น ดูเหมือนว่าจะมีความแข็งแกร่งในทั้งสองด้าน คือฝ่ายของพรรคเพื่อไทยที่นำโดยอนุวัธ และกลุ่มของผู้สมัครอิสระที่มีการสนับสนุนจากเครือข่ายทางการเมืองของแม่เลี้ยงติ๊ก นอกจากนี้ยังมีการปรากฏตัวของผู้สมัครจากพรรคสีส้ม หรือกลุ่มก้าวหน้า ที่อาจจะเป็นตัวแปรสำคัญในบางเขตเลือกตั้ง 

จากผลการเลือกตั้งในปี 2563 พบว่า อนุวัธจากพรรคเพื่อไทยมีคะแนนนำอย่างชัดเจน โดยคะแนนของเขาค่อนข้างสูงกว่าผู้สมัครอีกสองท่านรวมกัน แม้ว่าในปีนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันอย่าง ประสงค์ ซึ่งลงสมัครในนามอิสระ แต่ก็เห็นได้ว่าอนุวัธ ยังคงเป็นตัวเต็งในการแข่งขันครั้งนี้ เนื่องจากเขามีฐานเสียงจากทั้งในจังหวัดแพร่และจากการสนับสนุนของพรรคเพื่อไทย รวมถึงเครือข่ายการเมืองของตระกูลที่แข็งแกร่ง การลงสมัครของอนุวัธ ในนามพรรคเพื่อไทยเต็มตัว ช่วยเสริมสร้างความชัดเจนในการหาเสียง แต่ก็ยังคงใช้ชื่อกลุ่ม “ฮักเมืองแป้” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างภาพลักษณ์ในพื้นที่ โดยยังคงรักษาความเป็น “บ้านใหญ่” ของตระกูลการเมืองให้โดดเด่น

เมื่อพิจารณาในภาพรวมแล้ว การแข่งขันเลือกตั้งนายก อบจ. แพร่ในปีนี้ อนุวัธ จากพรรคเพื่อไทย ยังคงได้เปรียบทั้งในด้านฐานเสียงและเครือข่ายการเมืองท้องถิ่น 

การเลือกตั้ง ส.อบจ. แพร่ 2568  การแข่งขัน ระหว่างพรรคเพื่อไทย, กลุ่มอิสระ และพรรคสีส้ม

ด้านการเลือกตั้งสมาชิก ส.อบจ. แพร่ในปีนี้ การแข่งขันดูจะมีความซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากพรรคเพื่อไทยประกาศชัดว่าจะกวาด 24 เขตทั่วจังหวัด แต่การที่จะชนะได้ในทุกเขตนั้นจากข้อมูลที่ให้มายังดูมีความเป็นไปได้น้อย โดยเฉพาะในเขตที่มีการแข่งขันจากกลุ่มอิสระหรือพรรคสีส้ม ตัวอย่างเช่น  ในเขตอำเภอเมืองแพร่ ซึ่งเป็นเขตสำคัญที่มีการแข่งขันสูง ที่ยังต้องพิจารณาว่าผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยจะสามารถกวาดคะแนนได้ทั้งหมดหรือไม่ เพราะในเขตนี้มีผู้สมัครอิสระและกลุ่มสีส้มที่มีฐานเสียงของตัวเอง ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการแย่งคะแนนกันในหลายๆ เขต 

กลุ่มอิสระ ที่มีการเชื่อมโยงกับแม่เลี้ยงติ๊กและการเมืองท้องถิ่นของจังหวัดแพร่ ยังคงเป็นตัวแปรสำคัญในหลายเขต โดยเฉพาะในเขตที่ผู้สมัครจากกลุ่ม “ฮักเมืองแป้” ในปี 2563 ไม่สามารถชนะได้ เช่น เขตอำเภอเมืองแพร่ เขต 1  หรือเขตที่มีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นเก่าสู่รุ่นใหม่

พรรคสีส้ม หรือกลุ่มของ สุภวัฒน์ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่สามารถดึงดูดกลุ่มผู้มีอิทธิพลจากการเมืองท้องถิ่นและกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ ในเขตที่กลุ่มเพื่อไทยอาจไม่ได้รับความนิยมเต็มที่

ในส่วนของการเลือกตั้ง ส.อบจ. ยังมีการแข่งขันที่อาจทำให้พรรคเพื่อไทยไม่สามารถกวาดชัยชนะได้ทั้ง 24 เขต โดยเฉพาะในเขตที่มีการแข่งขันจากกลุ่มอิสระหรือพรรคสีส้ม การเลือกตั้งครั้งนี้จึงยังคงเป็นสนามที่น่าสนใจและสามารถพลิกผันได้ตามสถานการณ์ในช่วงเวลาของการหาเสียง จึงต้องจับตาดูว่าในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง กลยุทธ์ของแต่ละฝ่ายจะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่ได้มากแค่ไหน

บ้านใหญ่กับการสนามการเลือกตั้ง

อนุวัธ ยังถือว่าเป็นตัวเต็งในสนามการเมืองจังหวัดแพร่ เพราะพื้นฐานของเขามาจาก “บ้านใหญ่” หรือ “ตระกูลการเมือง” ที่มาพร้อมกับเครือข่ายและฐานเสียงที่แข็งแกร่งในหลายเขต ซึ่งจุดนี้ถือว่ามีผลอย่างมากในภาคการเมืองไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทหรือในจังหวัดที่ยังคงมีการยึดโยงกับเครือข่ายการเมืองที่เก่าแก่

แม้จะมีกลุ่มอิสระหรือพรรคสีส้มที่ลงมาแข่งขันในครั้งนี้ แต่ความแข็งแกร่งของ “บ้านใหญ่” หรือการมีเครือข่ายการเมืองที่ครอบคลุมทั้งจังหวัด ทำให้อนุวัธ ยังคงมีความได้เปรียบในการดึงดูดความสนใจจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในพื้นที่ชนบท ซึ่งยังคงให้ความสำคัญกับตัวบุคคลและเครือข่ายท้องถิ่นมากกว่าการพิจารณานโยบายในเชิงลึก

นโยบายของพรรคเพื่อไทย และผลกระทบจากสถานการณ์

การที่พรรคเพื่อไทยมีการนำเสนอนโยบายในระดับท้องถิ่น เช่น การท่องเที่ยวและการพัฒนาจังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเสนอโครงการ “12 เดือน 12 โครงการ” ซึ่งดึงดูดให้คนในจังหวัดแพร่หันมาสนใจการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง ก็ถือว่าเป็นจุดที่น่าสนใจในแง่ของการสร้างโอกาสให้คนในจังหวัดมีรายได้ที่มั่นคงขึ้น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมาในปีนี้ เป็นปัจจัยที่ทำให้ภาพลักษณ์ของการจัดการน้ำที่เคยเป็นนโยบายเด่นของอนุวัธในครั้งก่อนนั้นสั่นคลอน เพราะหลายคนเริ่มตั้งคำถามถึงความสามารถในการจัดการปัญหาน้ำท่วมของท้องถิ่น การที่อนุวัธไม่สามารถนำเสนอผลสำเร็จในประเด็นนี้ได้อย่างเต็มที่ อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตัวเขาในปีนี้ โดยเฉพาะในหมู่คนที่พึ่งพานโยบายทางด้านการจัดการน้ำในอดีต

ผู้สมัครอิสระ และนโยบายที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่

ทางฝั่งของผู้สมัครอิสระ เช่น ประสงค์ ที่มีการเปิดตัวอย่างชัดเจนในฐานะนักการเมืองคนสนิทของแม่เลี้ยงติ๊ก แม้ว่าจะไม่ได้มีเครือข่ายแบบ “บ้านใหญ่” หรือการเชื่อมโยงกับพรรคใหญ่ แต่ในเชิงนโยบายเขาก็พยายามที่จะนำเสนอวิธีการบริหารงานที่แตกต่างจากกลุ่มบ้านใหญ่ โดยเน้นการเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่และชูแนวทางของการพัฒนาในระดับพื้นฐาน เช่น การสร้างงาน สร้างรายได้จากธุรกิจท้องถิ่น และโครงการที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายในแต่ละชุมชน การนำเสนอนโยบายแบบใหม่และการเปิดตัวทีมบริหารรุ่นใหม่ในแคมเปญของเขา ก็เป็นการดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ ซึ่งอาจจะมีผลต่อการเลือกตั้งในบางพื้นที่ที่มีผู้คนรุ่นใหม่อยู่มาก แม้ว่าจะยังไม่สามารถเรียกคะแนนเสียงได้มากมายเท่ากับฐานเสียงของบ้านใหญ่

ความแตกต่างระหว่างสังคมเมืองและชนบท

การพิจารณานโยบายในพื้นที่ชนบทกับเมืองนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่น ในเขตเมือง การพูดถึงนโยบายที่เน้นเศรษฐกิจและการพัฒนาในรูปแบบใหม่ เช่น การท่องเที่ยว อาจจะได้รับความสนใจจากคนในเมืองมากขึ้น เพราะมีการศึกษาและการเข้าถึงข้อมูลมากขึ้น แต่ในพื้นที่ชนบทซึ่งบางพื้นที่อาจจะยังคงให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือในด้านพื้นฐานอย่างการจัดการน้ำและโครงสร้างพื้นฐานมากกว่า ความเป็น “บ้านใหญ่” ที่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ตรงจุดและรวดเร็ว ทำให้มีความได้เปรียบในพื้นที่เหล่านี้

ผลกระทบจากนโยบายต่างๆ ในระยะยาว

ถ้าพิจารณาในระยะยาว การแข่งขันระหว่างนโยบายที่มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบทและเมืองนั้น ยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากจะทำนายล่วงหน้า เพราะขึ้นอยู่กับการตอบสนองของคนในแต่ละพื้นที่ หากกลุ่มคนในชนบทเริ่มให้ความสำคัญกับการพัฒนาในลักษณะที่สอดคล้องกับความต้องการพื้นฐาน นโยบายของอนุวัธ อาจจะได้ผลดีในระยะยาว แต่หากกลุ่มคนรุ่นใหม่ในเมืองหันมาสนใจนโยบายที่เน้นการพัฒนาในเชิงธุรกิจท้องถิ่น การท่องเที่ยว และสร้างงาน สร้างรายได้ในระดับชุมชน

ทางกลุ่มผู้สมัครอิสระหรือกลุ่มพรรคสีส้มก็อาจจะทำให้ผลการเลือกตั้งในบางเขตพลิกผันได้

การที่ “บ้านใหญ่” ยังคงมีอิทธิพลในจังหวัดแพร่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ เนื่องจากฐานเสียงที่แข็งแกร่งและเครือข่ายการเมืองที่จัดตั้งมาหลายปี อย่างไรก็ตามความเป็น “บ้านใหญ่” ก็ไม่ได้การันตีชัยชนะทุกครั้งเพราะนโยบายอาจจะไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ทั้งนี้การตอบสนองต่อปัญหาของประชาชน ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญในการเลือกตั้งของปีนี้ การเลือกตั้งอาจจะไม่ใช่แค่การชิงชัยของ “บ้านใหญ่” กับ ผู้สมัครอิสระ แต่ยังเป็นการแข่งขันของนโยบายที่ตอบสนองกับความต้องการของประชาชน

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง