Lanner เปิดพื้นที่ให้ทุกคนที่อยากสื่อสาร โดยความคิดเห็นไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ สามารถส่งมาได้ที่ lanner.editor@gmail.com
เรื่อง: ณัฐมน สะเภาคำ นักวิชาการอิสระสายสตรีนิยม
จากประเด็นร้อนเกี่ยวกับธุรกิจโค้ชชิ่งหาคู่ ‘สายฝ.’ ที่กำลังเป็นที่สนใจในโลกโซเชียลมีเดีย หรือเรียกได้ว่าเป็นการจ่ายเงินเพื่อแลกกับบริการหาแฟนต่างชาติ โดยมีแม่สื่อที่ทำการจัดหมวดหมู่การงานอาชีพของฝรั่งฝ่ายชายตั้งแต่ระดับพนักงงานราชการ คอร์สเริ่มต้นที่ 20,000 บาท อาชีพแพทย์, หมอฟัน, CEO ไปจนถึงเจ้าของฟาร์มองุ่นและผลลิตทางการเกษตร ในราคา 100,000 บาท! โดยโค้ชเจ้าของธุรกิจได้ออกมาเปิดเผยว่า บริการที่จัดหาคู่ให้จำเป็นต้องใช้ทักษะในการแสกนวิเคราะห์ฝรั่งฝ่ายชายว่าเชื่อถือได้หรือไม่ผ่านการพูดคุยทางแชทและวิดีโอคอลเป็นภาษาอังกฤษ โดยระหว่างนี้จะมีสร้างโปร์ไฟล์ให้ลูกค้าฝ่ายหญิงที่มาใช้บริการ และเสริมด้วยการโค้ชชิ่งสอนภาษาอังกฤษเบื้องต้น รวมทั้งวิธีการพูดคุย การวางตัว การปรับบุคลิก ฯลฯ ให้สามารถมัดใจฝรั่งจนได้คบหาไปจนถึงการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายให้สมหวังและคุ้มค่ากับเงินที่ได้ลงทุนไป
แม้เรื่องราวดังกล่าวจะถูกพูดถึงโดยมีกระแสแง่ลบจากการเปิดโปงธุรกิจโค้ชหาแฟนสาย ฝ. โดยลูกค้าที่มาใช้บริการแต่ไม่ถึงฝั่งฝันและพึงระลึกได้ว่าการลงทุนเช่นนี้เสียเปล่า อย่างไรก็ตาม ดราม่านี้ก็ไม่สามารถทำลายความเชื่อมั่นของผู้หญิงอีกกลุ่มหนึ่งที่ใช้บริการและได้ผลลัพธ์ตามคาดแม้จะยังไม่ถึงฝั่ง (แต่งงาน,จดทะเบียน) แต่การที่พวกเธอสามารถออกมายืดอกยอมรับว่า ตนนั้นเป็นสายฝอและตั้งใจมีแฟนฝรั่งเท่านั้น พร้อมทั้งยืนยันว่าการเข้าครอสโค้ชชิ่งนี้ส่งผลดีต่อพวกเธอ อื้ม! ความมั่นใจของผู้หญิงไทยเช่นนี้น้อยครั้งที่จะได้เห็นผ่านจอทีวี มาวันนี้คนไทยหลายล้านคนได้เห็นความก้าวหน้าของผู้หญิงชาวบ้านธรรมดา ๆ ผ่านยูทูปช่องโหนกระแส จนทำให้เฟมินิสต์อย่างชั้นต้องยืนขึ้นปรบมือรัว ๆ อยู่หน้าจอ และอดไม่ได้ที่จะหยิบมาเขียนวิเคราะห์ผ่านมุมมองของตนเอง
“การคบแฟนต่างชาติไม่เท่ากับการหวังเงินทองเสมอไป แต่มีนัยยะของความปราถนาที่จะเข้าถึงโอกาสในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”
หากผู้อ่านหรือชาวเน็ตบางท่านที่ยังคงมีความคิดว่า ผู้หญิงไทยคบคนต่างชาติเพื่อหวังปอกหลอกเอาเงิน เอาสมบัติเท่านั้น เราอยากให้คุณลองเปิดใจอ่านบทวิเคราะห์ถึงเนื้อหาสาระภายใต้บริการโค้ชหาแฟนสาย ฝ. ครั้งนี้ดูก่อน ประการแรก ผู้หญิงไทยกลุ่มนี้เป็นคนนำเงินจาการเก็บหอมรอมริบหรือไม่ก็ไปกู้มา เพื่อใช้ลงทุนหาแฟนฝรั่งผ่านแม่สื่อ ซึ่งเป็นการใช้ทรัพย์ส่วนตัวเพื่อย่นระยะเวลาในการหาคู่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติมาก ๆ ในสังคมทุนนิยมประชาธิปไตย และไม่ผิดกฎหมายหรือศีลธรรมแต่อย่างใด ประการต่อมา ผู้หญิงไทยเหล่านี้ไม่รู้ว่าตนนั้นจะแมทกับฝรั่งที่มีลักษณะนิสัยแบบใด และหากมีความแตกต่างกันมากเกินไป ก็ไม่อาจสามารถคบหากันยาวนานได้ การลงทุนโดยไม่รู้ผลลัพธ์เช่นนี้ ไม่ได้เท่ากับมีเจตนาที่เลวร้ายหลอกลวงเพื่อเงินทอง แต่เป็นการเปิดหน้าต่างบานใหม่ไปสู่การหาโอกาสใหม่ ๆ ในชีวิต
นอกจากนี้ เราคนไทยคงทราบกันดีว่าปัจจุบันคนที่ทำรายได้ให้กับครัวเรือนส่วนมากเป็นผู้หญิง โดยข้อมูลจากผลการสำรวจของสำนักงานสถิติประจำปี พ.ศ.2563 พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนสตรีทั้งสิ้น 34.94 ล้านคน โดยเป็นผู้ที่ทำงาน 17.37 ล้านคน จะเห็นได้ว่าผู้หญิงไทยออกมาทำงานนอกบ้านมากขึ้น ส่งผลต่อภาพรวมรายได้ของผู้หญิงที่มีส่วนต่างใกล้เคียงกับผู้ชาย อย่างไรก็ตาม แรงงานหญิงที่มีลูกจะได้รับค่าจ้างน้อยกว่าแรงงานหญิงที่ไม่มีลูกถึง 22% ดังนั้น เราจะเห็นว่าแม้ผู้หญิงจะมีรายได้จากการทำงาน แต่ด้วยค่าครองชีพ, ความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น และค่าใช้จ่ายสำหรับการดูแลสมาชิกในครอบครัว (ปู่-ย่า-ลูก-หลาน) ที่มีแต่จะเพิ่มขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคที่ทำให้คนทำงานในประเทศไทยส่วนใหญ่ไม่สามารถเก็บออมและนำไปต่อยอดรายได้ หรือพูดง่ายๆ คือไม่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตให้ที่ดีขึ้นได้จากการทำงาน ‘โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีลูก’
ดังนั้น เมื่อผู้หญิงมีบทบาทนอกบ้านมากขึ้นเช่นนี้ การหาสามีหรือมีแฟนฝรั่งจึงความหมายที่แตกต่างออกไปเมื่อเปรียบเทียบกับตำนาน ‘เมียเช่ากับทหารจีไอ’ ในยุคสมัยสงครามเวียดนาม ที่ผู้หญิงไทยยากจนมากและจำเป็นต้องพึ่งพาเงินตราจากต่างชาติ เพื่อนำมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยตามความทันสมัยในยุคเริ่มต้นของระบบทุนนิยมและการบริโภคนิยมที่เข้มข้น แต่ในทุกวันนี้การบริโภคที่ง่ายและมีให้เลือกหลากหลายระดับ รวมทั้งการสื่อสารที่รวดเร็วของสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ ระดับการศึกษาที่สูงขึ้นหรือความสามารถในการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษของผู้หญิงไทย ยังกระตุ้นเกิดการตื่นรู้ถึงคุณค่าภายในได้มากพอที่พวกเธอจะปฏิเสธการอยู่กินกับชายไทยเพื่อไปกัดก้อนเกลือหรือค่อยๆ สร้างเนื้อสร้างตัวกันแบบในบทประพันธ์คลาสสิค พูดง่ายๆ คือระบบโลกาภิวัตน์เอื้อให้ผู้หญิงไทยสามารถสร้างต้นทุนให้กับตัวเองได้ระดับหนึ่ง บวกกับประเทศไทยที่ยังเป็นสวรรค์แห่งการท่องเที่ยวของผู้ชายฝรั่งผิวขาว ผิวสี คนยิว คนรัสเซีย เศรษฐีอาหรับ และอีกมากมาย ส่งผลให้ผู้หญิงไทยมีโอกาสในการคบหากับชาวต่างชาติง่ายขึ้น
“แล้วทำไมผู้หญิงชาวบ้านธรรมดาจะมีความใฝ่ฝันที่จะไปใช้ชีวิตในต่างแดนจากการมีแฟนฝรั่งไม่ได้”
เราปฏิเสธไม่ได้ว่าการแต่งงานเป็นหนทางที่ง่ายและสะดวกที่สุดสำหรับการย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศเพื่อแสวงหาโอกาสในการทำงานที่มีรายรับมากกว่าประเทศไทยหลายเท่าตัว ซึ่งเงินเหล่านี้สามารถส่งเสียคนในครอบครัวแถมยังมีเหลือไว้ใช้จ่ายปรนเปรอตนเองได้ รวมทั้ง การได้รับสวัสดิการขั้นพื้นฐานด้านสุขภาพ,ขนส่งสาธารณะ, คุณภาพอากาศ ฯลฯ กล่าวโดยรวมคือ ไปพบปะความเจริญในประเทศโลกที่ 1 ที่ดีกว่าประเทศกำลังพัฒนา ดังนั้น การที่ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งลงทุนเข้าคอร์สโค้ชชิ่งหาแฟนสายฝ.โดยใช้เงินของตัวเองมาลงทุนเพื่อโอกาสในการมีชีวิตที่ดีกว่าเช่นนี้ก็คงไม่ผิดแปลกอะไร อีกทั้งผู้ชายฝรั่งยังมีแนวโน้มที่จะดูแลได้มากกว่า (วัดจากรายได้ขั้นต่ำ) และสิ่งที่ไม่อวยไม่ได้คือฝรั่งส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งเป้าวิพากษ์วิจารณ์หน้าตา รูปร่าง สีผิว หรือตำหนิใด ๆ ของผู้หญิงไทยเท่ากับคนไทยด้วยกันเอง ในท้ายที่สุด จากปรากฎการณ์ดังกล่าวในมุมมองของนักสตรีนิยมคนนี้มองว่า แม้ผู้หญิงที่ใช้บริการโค้ชชิ่งจะสมหวังในการแต่งงานกับฝรั่งหรือไม่ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดจากกระบวนการแบ่งปันความรู้ (แม้จะต้องแลกด้วยเงิน สำหรับคนที่ไม่อยากเสียเงิน ก็ฝึกภาษาหรือดูโค้ชชิ่งฟรีในยูทูปก็ได้) คือการที่พวกเธอได้พัฒนาตัวเองในทุก ๆ ด้านจนเกิดเป็นสำนึกถึงคุณค่าภายในของตนเอง (Empower) ว่าตนนั้นสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้และแน่วแน่ว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นจะนำไปสู่โอกาสในการมีชีวิตที่ดีกว่านี้และการมีแฟนฝรั่งก็เป็นตัวช่วยที่ง่ายและสะดวกสุดเท่านั้น
อ้างอิง
- บทความ เมื่อส่วนต่างรายได้หญิง-ชายในไทยใกล้กันมากขึ้น แต่คนมีลูกกลับมีรายได้น้อยกว่าคนโสด โดย ศศิวิมล วรุณศิริ ปวีณวัฒน์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 26/07/2019
นักวิชาการอิสระสายสตรีนิยม และผู้ร่วมก่อตั้ง Sapphic Pride(QUEER FEMINIST COMMUNITY) จบปริญญาโทจากศูนย์สตรีศึกษาและเพศภาวะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปัจจุบันเป็นนักศึกษาปริญญาเอกสาขา Asian Language and Culture ที่ University of Wisconsin-Madison ประเทศสหรัฐอเมริกา