ชายแดนโฟกัส – สรุปสถานการณ์ทางสังคมรอบชายแดน ธันวาคม 2567

เมียนมา

เมียนมาและไทยเตรียมเจรจาเกี่ยวกับฐานทัพกองทัพสหรัฐว้า (UWSA) ที่มีข้อพิพาทตามแนวชายแดน

ที่มาภาพ : RAF

ตามรายงานจากสื่อ RFA ระบุว่า กองทัพและรัฐบาลเมียนมาเตรียมเจรจากับรัฐบาลไทยเกี่ยวกับการตั้งฐานทัพกองทัพสหรัฐว้า (UWSA) หรือ กองทัพว้าแดง ที่ตั้งอยู่ตามแนวชายแดนระหว่างเมียนมาและไทย ซึ่งไทยอ้างว่า 9 ฐานทัพของกลุ่มนี้ตั้งอยู่ในอาณาเขตของไทยและต้องการให้ยกเลิกการตั้งฐานดังกล่าว

กลุ่ม UWSA ซึ่งมีอำนาจควบคุมพื้นที่กึ่งปกครองตนเองในรัฐฉาน รวมถึงพื้นที่ชายแดนกับไทย ได้ปฏิเสธคำขาดของไทยให้ถอนตัวจากฐานทัพในวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยอ้างว่าเรื่องนี้ควรจะได้รับการเจรจาระดับรัฐบาลและยืนยันว่า กองทัพไทยไม่ใช่ศัตรูของพวกเขา

การเผชิญหน้าครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดที่อาจนำไปสู่ความรุนแรงระหว่าง UWSA ที่มีอำนาจมากที่สุดในเมียนมาและกองทัพไทย โดยเฉพาะในประเด็นการเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด ซึ่งกองทัพสหรัฐว้าถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในธุรกิจยาเสพติดทั้งฝิ่นและเฮโรอีน รวมถึงการผลิตยาเมทแอมเฟตามีนจำนวนมากในช่วงหลังๆ

กลุ่ม UWSA มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีนและได้ทำข้อตกลงหยุดยิงกับกองทัพเมียนมาในปี 1989 แลกกับการได้รับการปกครองพื้นที่ตนเองที่อยู่ใกล้กับชายแดนจีนและไทย แต่ยังไม่เคยเข้าร่วมในการต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาหลังการรัฐประหารในปี 2021 การเจรจาระหว่างฝ่ายเมียนมาและไทยจะมุ่งเน้นไปที่ปัญหาชายแดนและการแก้ไขปัญหาการกระทำผิดข้ามชายแดน โดยยังไม่มีการประกาศวันที่แน่ชัดสำหรับการเจรจานี้

ที่มา : RFA,17/12/2024

ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาเรียกร้องสันติภาพ หลังจากกองทัพเผชิญความล้มเหลว

ตามรายงานจากสื่อ RFA ระบุว่า พลเอกมิน ออง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารของเมียนมา ได้เรียกร้องให้กลุ่มกบฏที่ต่อสู้เพื่อยุติการปกครองของทหารเจรจาสันติภาพ โดยอ้างว่ารัฐบาลของเขากำลังเสริมสร้างประชาธิปไตยและพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจาทางการเมือง ไม่ใช่การใช้ความรุนแรง ในการกล่าวในงานเลี้ยงคริสต์มาสที่โบสถ์เซนต์แมรีในย่างกุ้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เขากล่าวว่า รัฐบาลจะกลับสู่เส้นทางประชาธิปไตยที่ถูกต้องและแก้ไขปัญหาผ่านการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

ท่ามกลางคำเรียกร้องนี้ ทหารเมียนมากลับเผชิญกับความล้มเหลวในหลายพื้นที่ โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กองทัพรัฐอาระกัน (AA) ซึ่งเป็นกลุ่มกบฏชนกลุ่มน้อยในรัฐยะไข่ สามารถยึดสำนักงานใหญ่ของทหารได้ โดยปัจจุบันกลุ่ม AA ควบคุมพื้นที่ 80% ของรัฐยะไข่ ทำให้กองทัพถูกกดดันและควบคุมในพื้นที่เล็กๆ เท่านั้น รวมถึงเขตเศรษฐกิจเจาะพยูที่จีนให้ความสำคัญ

นอกจากนี้ กลุ่มผู้ต่อต้านทหารที่รวมถึงกองกำลังป้องกันประชาชน (PDF) และรัฐบาลพลเรือนแห่งชาติ (NUG) ได้ปฏิเสธข้อเสนอของรัฐบาลทหารในการเจรจาสันติภาพ โดยระบุว่าไม่สามารถเชื่อถือทหารเมียนมาที่ปราบปรามความเห็นต่างมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ

ขณะเดียวกัน กลุ่มโรฮิงญาได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้กลุ่ม AA เคารพสิทธิของพวกเขาและประชาชนทุกกลุ่มชาติพันธุ์ โดยยืนยันว่าทหารเมียนมาคือศัตรูร่วมของพวกเขา แต่ได้กล่าวหากลุ่ม AA ว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมถึงการเผาทำลายและการฆาตกรรม กลุ่ม AA ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว แต่ผู้สืบสวนสิทธิมนุษยชนระบุว่ามีการละเมิดจริง โดยเฉพาะการเกณฑ์ทหารโรฮิงญาเข้าร่วมในการต่อสู้กับกลุ่ม AA 

กลุ่มโรฮิงญาเรียกร้องให้เปิดช่องทางช่วยเหลือฉุกเฉินจากบังกลาเทศเพื่อป้องกันภัยจากภาวะอดอยาก ซึ่งมีผู้ประสบภัยในรัฐยะไข่มากถึง 2 ล้านคนตามรายงานของสหประชาชาติ

ที่มา : RFA,23/12/2024

รัฐบาลไทยประกาศเตือนการระบาดของอหิวาตกโรคที่ชายแดนไทย-เมียนมาในจังหวัดตาก

ตามรายงานจาก Mizzima เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2024 รัฐบาลไทยได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับการระบาดของโรคอหิวาตกโรคบริเวณชายแดนไทย-เมียนมาในจังหวัดตาก โดยกระทรวงสาธารณสุขได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน (EOC) ในจังหวัดตากเพื่อติดตามและป้องกันการแพร่ระบาดของอหิวาตกโรค ซึ่งกำลังแพร่ระบาดในเมืองชเว โก๊กโก่  ในเมียนมาติดชายแดน

ดร.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จังหวัดตากโดยเฉพาะอำเภอแม่สอดและอำเภอแม่ระมาด เป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากตั้งอยู่ตรงข้ามกับเมืองชเว โก๊กโก่  ที่มีจำนวนผู้ป่วยโรคอหิวาตกโรคประมาณ 200 คนและมีผู้เสียชีวิต 2 ราย โดยพบผู้ติดเชื้ออหิวาตกโรคในอำเภอแม่สอด 2 ราย ทั้งสองรายได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแม่สอด

ทางการไทยได้ออกมาตรการติดตามคุณภาพน้ำดื่ม ให้คำแนะนำเกี่ยวกับสุขอนามัย และตรวจสอบร้านอาหารและแผงขายอาหารเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ขณะเดียวกันทหารไทยได้เพิ่มการลาดตระเวนตามแนวชายแดนเพื่อป้องกันการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย พร้อมทั้งส่งมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับเจ้าหน้าที่เมียนมาที่เมืองชเว โก๊กโก่ เพื่อสนับสนุนการควบคุมโรค

ที่มา: Mizzima, 25/12/2024

ลาว

ที่มาภาพ : RFA

สามปีผ่านไป ครอบครัวที่ถูกโยกย้ายจากโครงการรถไฟลาว-จีน ยังคงรอการชดเชย 371 ครอบครัวปฏิเสธข้อเสนอที่ไม่เพียงพอจากรัฐบาลลาว

เมื่อต้นเดือนธันวาคม RFA LAO รายงานว่า ครอบครัว 371 ครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากโครงการรถไฟลาว-จีน ซึ่งเสร็จสมบูรณ์ไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ยังไม่ได้รับการชดเชยเต็มจำนวน หลังจากปฏิเสธข้อเสนอที่พวกเขามองว่าไม่เพียงพอจากรัฐบาลลาว

ครอบครัวเหล่านี้ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองเวียงจันทน์ และถูกบังคับให้ย้ายออกจากที่ดินของตนเนื่องจากโครงการรถไฟลาว-จีน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Belt and Road Initiative ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ที่มุ่งเชื่อมโยงจีนกับประเทศเพื่อนบ้าน

คำพัน พมมะทัด ประธานสำนักงานตรวจสอบของรัฐลาว ได้ยืนยันว่า ครอบครัว 371 ครอบครัวยังไม่ได้รับการชดเชย โดยในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรลาวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เขากล่าวว่ารัฐบาลได้ชำระเงิน 83 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับ 6,504 ครอบครัวจากทั้งหมด 6,875 ครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากโครงการนี้แล้ว

สาเหตุที่ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไขคือการที่รัฐบาลและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องราคาต่อหน่วยสำหรับบ้าน ที่ดิน และต้นไม้ที่สูญเสียไปจากโครงการนี้ บางครอบครัวยังไม่ยอมรับราคาที่รัฐบาลเสนอ โดยในปีที่แล้ว มีรายงานว่า รัฐบาลได้เสนอราคาชดเชยที่ 80,000 กีบ (ประมาณ 4.10 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อเมตร แต่ชาวบ้านต้องการ 150,000 กีบ (ประมาณ 7.70 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อเมตร

โครงการรถไฟสายนี้ซึ่งมีมูลค่า 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เชื่อมโยงประเทศจีนกับลาว โดยรถไฟเริ่มเปิดใช้งานในเดือนธันวาคม 2021 และมีการคาดการณ์ว่าจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว การขนส่งสินค้า และการค้าการเกษตรในลาว

แม้จะมีประโยชน์ในแง่ของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แต่โครงการนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักในเรื่องของการบังคับให้ชาวบ้านย้ายออกจากที่ดินของตน โดยหลายครอบครัวยังคงเผชิญกับการชดเชยที่ล่าช้า หรือไม่ได้รับเงินตามที่ควรจะได้

 ที่มา: RFA, 8/12/2024

สาวลาววัย 19 ปี ถูกบังคับทำงานในศูนย์หลอกลวงออนไลน์ที่เมียนมา ตอนนี้อยู่ที่สถานพักฟื้นเหยื่อการค้ามนุษย์ในไทย เธอถูกบังคับทำงานที่ศูนย์หลอกลวงออนไลน์ของจีนในเมียนมาเป็นเวลา 2 ปี

ตามรายงานจาก RFA ลาว วันที่ 20 ธันวาคม 2024 ระบุว่า หญิงสาวลาววัย 19 ปี ที่ถูกบังคับให้ทำงานในศูนย์หลอกลวงออนไลน์ที่ดำเนินการโดยจีนในเมียนมาเป็นเวลาสองปี ได้รับการช่วยเหลือและนำตัวไปยังศูนย์ฟื้นฟูผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ในประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2024 หลังจากที่เธอหลบหนีจากศูนย์หลอกลวงและข้ามพรมแดนไปยังสถานีตำรวจในอำเภอแม่สอดของไทย

ก่อนหน้านี้หญิงสาวคนดังกล่าวได้ส่งข้อความถึงสำนักข่าว RFA บอกว่าเธอได้หลบหนีออกจากศูนย์หลอกลวงแล้ว และเดินทางถึงสถานีตำรวจในไทย อย่างไรก็ตาม ตำรวจไทยไม่ได้พบหลักฐานการขอความช่วยเหลือจากเธอที่สถานีตำรวจแม่สอด แต่ต่อมาเจ้าหน้าที่ศูนย์ฟื้นฟูในจังหวัดพิษณุโลกยืนยันว่าเธอได้รับการส่งตัวมายังศูนย์ฟื้นฟูในวันที่ 13 ธันวาคม

เจ้าหน้าที่ศูนย์ฟื้นฟูกล่าวว่า หลังจากที่เธอมาถึงศูนย์แล้ว เธอจะได้รับการบำบัดทั้งด้านร่างกายและจิตใจตามขั้นตอนที่กำหนด โดยไทยมีข้อตกลงร่วมกับประเทศลาว กัมพูชา เมียนมา และเวียดนาม ในการให้การช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ก่อนที่จะส่งตัวกลับไปยังประเทศต้นทาง

หญิงสาวกล่าวในสัมภาษณ์ว่า เธอได้บอกแม่ของเธอเกี่ยวกับการหลบหนีเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม และได้ออกจากเมียนมาช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ศูนย์ฟื้นฟูกล่าวว่า ขณะนี้กำลังสัมภาษณ์เธอเพื่อจัดทำรายงานที่จะส่งให้กับรัฐบาลไทยและลาว ก่อนที่จะมีการตรวจสอบความปลอดภัยของเธอเมื่อกลับไปยังประเทศลาว

ที่มา: RFA, 20/12/2024

เจ้าหน้าที่ในจังหวัดจำปาศักดิ์บังคับเก็บค่าธรรมเนียมการอยู่อาศัยจากแรงงานข้ามชาติ ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ

ตามรายงานจาก RFA LAO รายงานว่า เจ้าหน้าที่ในจังหวัดจำปาศักดิ์ ทางตอนใต้ของลาวได้บังคับให้แรงงานข้ามชาติจากพื้นที่อื่นๆ ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการอยู่อาศัย โดยมีจำนวนเงินสูงถึง 55,000 กีบ (ประมาณ 2.50 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อเดือน ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ค่อนข้างสูงในประเทศที่กำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 1.6 ล้านกีบ (ประมาณ 73 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อเดือน

ชาวบ้านที่อพยพจากจังหวัดอื่นๆ บอกว่าเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกำหนดค่าธรรมเนียมนี้โดยไม่มีการชี้แจงเหตุผลที่ชัดเจนและพวกเขามองว่าเป็นการแสวงหาผลประโยชน์จากประชาชน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ต้องการเสริมรายได้จากเงินเดือนที่ต่ำ เจ้าหน้าที่จากจังหวัดจำปาศักดิ์ยอมรับว่าเงินเดือนของเจ้าหน้าที่รัฐเริ่มต้นที่ 1.85 ล้านกีบ (ประมาณ 84.50 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งสูงกว่าเงินเดือนขั้นต่ำเล็กน้อย จึงทำให้บางคนพยายามหาแหล่งรายได้เสริมจากการเก็บค่าธรรมเนียมนี้

กฎหมายระบุว่าเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสามารถเก็บค่าธรรมเนียมได้เพียง 40,000 กีบ (ประมาณ 1.80 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อเดือน และสามารถเก็บได้ไม่เกิน 3 เดือนติดต่อกัน ซึ่งยังคงต้องออกเอกสารเพื่อยืนยันการอาศัยชั่วคราว แต่มีการรายงานว่าบางเจ้าหน้าที่ได้เก็บค่าธรรมเนียมสูงกว่าที่กฎหมายอนุญาต และกำลังได้รับการตรวจสอบจากตำรวจท้องถิ่น

ในอดีตเคยมีกรณีที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในบางพื้นที่พยายามเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ย้ายถิ่นในเขตเวียงจันทน์ โดยเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลกลางได้สั่งให้ยุติการเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวทันทีหลังจากมีการร้องเรียนจากประชาชน

ที่มา : RFA 18/12/2024

บริษัทในลาวประสบปัญหาจ่ายค่าจ้างตามกฎหมายใหม่

The Laotian Times รายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ในลาวจะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่หลายบริษัทยังคงจ่ายค่าจ้างต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยผู้ประกอบการบางรายอ้างว่า ค่าจ้างควรสะท้อนทักษะของพนักงาน และหลายคนยังขาดคุณสมบัติที่สามารถรองรับการจ่ายค่าจ้างที่สูงขึ้น

กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมได้ปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจาก 1.6 ล้านกีบ (ประมาณ 75 ดอลลาร์สหรัฐ) เป็น 2.5 ล้านกีบ (ประมาณ 114 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อเดือน เพื่อช่วยให้พนักงานรับมือกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นและอัตราเงินเฟ้อ นอกจากนี้ หากพนักงานไม่มีวุฒิการศึกษา นายจ้างต้องจ่ายค่าครองชีพเพิ่มเติมอีก 900,000 กีบ (ประมาณ 41 ดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อให้รวมเป็นค่าจ้างตามที่กฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตาม หลายโรงงานและธุรกิจในภาคเอกชนยังคงปฏิเสธที่จะปรับเพิ่มค่าแรงตามที่กำหนดไว้

นางใบคำ ขัตติยะ รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ได้ยอมรับถึงความยากลำบากในการปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของพนักงานและมาตรฐานการทำงาน โดยกล่าวว่าค่าจ้างที่ต่ำกำลังผลักดันให้คนงานจำนวนมากออกไปหางานที่มีค่าจ้างดีกว่าในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศไทย รัฐมนตรีได้เรียกร้องให้ธุรกิจต่างๆ ปฏิบัติตามกฎหมายค่าจ้างใหม่และเสนอสวัสดิการที่ดีกว่า เพื่อดึงดูดและรักษาพนักงานไว้ แต่ภาวะเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นยังคงเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับรัฐบาล

ที่มา : The Laotian Times, 25/12/2024

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง