ภายหลังคำสั่งระงับความความช่วยเหลือ 90 วัน ในต่างประเทศ ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนของสหรัฐอเมริกา เพื่อทบทวนการใช้จ่ายของโครงการพัฒนาระหว่างประเทศ ส่งผลกระทบให้กับองค์กรช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมบางส่วนอาทิ USAID บริเวณชายแดน ไทย-เมียนมา โดยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป (28 มกราคม 2568) การสนับสนุนด้านสาธารณสุขขององค์กร International Rescue Committee (IRC) จะถูกยุติในค่ายผู้ลี้ภัย
ปัจจุบันบริเวณชายแดน ไทย-เมียนมา มีค่ายผู้ลี้ภัยชั่วคราวอยู่ทั้งหมด 9 แห่ง และมีผู้ลี้ภัยจากไฟสงครามประมาณ 90,000 ชีวิต ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย และทั้งหมดได้รับการช่วยเหลือด้านงบประมาณจากสหรัฐอเมริกา และประเทศตะวันตกบางประเทศ โดยค่ายทั้งหมด 9 แห่งตั้งขึ้นเพื่อรองรับผู้ลี้ภัยจากประเทศเมียนมาเมื่อ 30 ปีที่แล้ว
ทั้งนี้ สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันนี้กรณีดังกล่าวว่า การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยทั้งที่เข้ามาในประเทศตามกฎหมายและกลุ่มผู้ลี้ภัยที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายต้องมีการจัดระเบียบให้เข้ารูปเข้ารอย และดูแลทั้ง 2 กลุ่ม โดยจะมีการทำเรื่องและนำเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือน กุมภาพันธ์นี้
สมศักดิ์ ยังเผยอีกว่า การระงับความช่วยเหลือ 90 วันนั้น ต้องมีการจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อยแต่ไม่ควักเนื้อในด้านงบประมาณ แต่เชื่อว่าทำได้ แต่กระทรวงสาธารณะสุขยังไม่สามารถช่วยเหลือได้ 100% เนื่องจากยังไม่ได้มีการพูดคุยและดูงบประมาณในการช่วยเหลือ รวมไปถึงกรณีนี้ไม่ได้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงสาธารณะสุขเพียงกระทรวงเดียว แต่มีหลายหน่วยงานที่เข้ามาดูแลเรื่องดังกล่าว
Win-Win Solutions แก้ปัญหาผู้ลี้ภัย 9 หมื่นชีวิต ชายแดนไทย-เมียนมา
แต่อีกหนึ่งข้อที่น่าสนใจที่กัณวีร์เผยคืองานช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในค่ายผู้ลี้ภัยในพื้นที่ชายแดน-เมียนมาร์ ดำเนินยืดเยื้อยาวนานกว่า 40 ปี ซึ่งการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมนั้นควรจะเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ในทางกลับกันหากเรามองว่าค่ายผู้ลี้ภัยเหล่านี้จะต้องถูกปิดและผู้ลี้ภัยก็กลับประเทศต้นทางอย่างสมัครใจในเร็ววัน แต่ในความเป็นจริงภายหลังการรัฐประหารเมียนมาในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 การกลับประเทศต้นทางนั้นเป็นไปไม่ได้ รวมไปถึงผู้ลี้ภัยนั้นเพิ่มขึ้นจากการหนีความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเมียนมา
“ปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้รวมกันอินุงตุงนัง เราต้องแก้ไขปัญหานี้ไปทีละเปราะ”
กัณวีร์เสนอการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนทั้งหมด 3 ข้อ คือ 1.การส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับประเทศต้นทางอย่างสมัครใจ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันไม่สามารถทำได้เนื่องจากสงครามภายในประเทศ 2.การตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่ 3 แม้จะสามารถทำได้ แต่จำนวนที่รับในประเทศปลายทางค่อนข้างจำกัด ซึ่งประเทศที่รับผู้ลี้ภัยมากที่สุดคือสหรัฐอเมริกา ซึ่งในปีที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกามีโควต้ารับผู้ลี้ภัยจำนวน 20,000 กว่าคน แต่เมื่อมีทรัมป์ 2.0 เข้ามา ทั้งงบประมาณการช่วยเหลือถูกตัดลดลงอย่างมาก รวมไปถึงนโยบายภายในประเทศที่ต่อต้านผู้ลี้ภัยเพิ่มเติม ทำให้โควต้านี้ถูกจำกัดไปโดยปริยาย ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยกลุ่ม 20,000 คนนี้ต้องอยู่ในประเทศไทยต่อไป
และ 3. แนวทางแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยกว่า 90,000 คนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยคือการสร้าง Win-Win Solution โดยมีผู้ลี้ภัยในวัยทำงานประมาณ 50,000 คน ซึ่งคิดเป็น 65% ของทั้งหมด ในขณะที่ผู้ลี้ภัยไม่สามารถกลับประเทศต้นทางหรือย้ายถิ่นฐานไปประเทศที่สามได้ และประเทศไทยก็เผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงานในพื้นที่ชายแดนและความต้องการแรงงานจำนวนหลักแสนคน
แนวทางคือการนำผู้ลี้ภัย 50,000 คนมาประเมินความถนัดและความสามารถ และกระทรวงแรงงานต้องจัดสรรแรงงานเหล่านี้ให้ตรงกับพื้นที่ที่ขาดแคลน เช่น แรงงานด้านเกษตรกรรม ประมง หรือด้านเทคนิคต่างๆ เมื่อผู้ลี้ภัยเหล่านี้ได้รับอนุญาตให้ทำงานอย่างถูกกฎหมายก็จะสามารถเสียภาษีตามระบบ ช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และมีส่วนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้ผู้ลี้ภัยที่เป็นแรงงานข้ามชาติยังจะได้รับสิทธิประโยชน์ตามการเสียภาษี เช่น สวัสดิการด้านการศึกษาสำหรับบุตร หลักประกันสุขภาพจาก สปสช. และสิทธิสวัสดิการต่างๆ ตามที่แรงงานข้ามชาติควรได้รับ
ผู้ลี้ภัยไม่ต้องอยู่ในค่ายพื้นที่พักพิงไม่ต้องรอให้ภาคประชาสังคมแบมือขอจากประเทศผู้บริจาคเขาออกไปทำงานให้ถูกต้อง เสริมกับแรงงานที่ขาดหายไปของประเทศไทย และเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ
“จะเป็นแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยและกลายมาเป็นแรงงานข้ามชาติ และค่ายทั้ง 9 แห่งก็จะปิดไปโดยปริยาย เป็นการคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยผู้ลี้ภัยไม่ต้องแบมือขอข้าวทุกเดือนจากโครงการ Food Rations ไม่ต้องรอให้ภาคประชาสีงคมมาดูแลรักษาพยาบาลอีกต่อไป เพราะสามารถมีเงินเดือนจ่ายค่ารักษาพยาบาล บุตรหลานของก็สามารถใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ ทำให้ภาษีหมุนเวียนกลับเข้าสู่ประเทศ ประเทศไทยจะได้รับการยอมรับในเวทีระหว่างประเทศว่าเป็นผู้นำด้านความคิดริเริ่มและการแก้ไขปัญหามนุษยธรรมที่ยืดเยื้อยาวนานที่สุดในโลกกว่า 40 ปี”
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...