‘Lanner’ สัมภาษณ์ ประชาชนภาคเหนือเกี่ยวกับมุมมองความหวังต่อการเลือกตั้ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อบจ. ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ เป็นโอกาสสำคัญที่ประชาชนจะได้มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนาในท้องถิ่น โดยผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งต้องเป็นผู้ที่มีสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี และมีชื่อในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี นอกจากนี้ยังมีข้อห้ามที่ต้องตรวจสอบ เช่น ผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือผู้ที่เป็นภิกษุ สามเณร และผู้ที่ถูกคุมขังตามคำสั่งศาลจะไม่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งได้ เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างถูกต้องและโปร่งใส
ในขณะที่ประชาชนในเชียงใหม่กำลังเตรียมตัวเพื่อการเลือกตั้งครั้งสำคัญนี้ ด้าน ‘นราธิป’ (สงวนนามสกุล) ข้าราชการสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชาวอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ วัย 44 ปี ระบุว่าอยากให้ อบจ. ทำงานด้านสนับสนุนเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ให้มากขึ้น ตัวอย่างเช่นการอุดหนุนดูแลเรื่องการติดกล้อง CCTV ให้พื้นที่ต่างๆ
“ผมอยากให้ อบจ.เชียงใหม่ สนับสนุนด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องชาวเชียงใหม่ โดยเฉพาะเรื่องระบบกล้อง CCTV ครับ สิ่งสำคัญคือต้องมีการจัดสรรงบประมาณสำหรับการซ่อมบำรุงอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของ อบจ. เองและเทศบาลด้วย เพราะไม่อยากให้เกิดปัญหาเหมือนกล้องของตำรวจที่บางครั้งเวลาต้องการใช้งาน กลับพบว่ากล้องเสียและไม่มีงบซ่อม”
“นอกจากนี้อยากให้มีการพัฒนาระบบกล้องวงจรปิดให้ทันสมัยขึ้น โดยติดตั้งกล้องที่มีระบบ AI เพิ่มเติม เช่น กล้องที่สามารถอ่านป้ายทะเบียน กล้องจับใบหน้า หรือกล้องที่สามารถจับภาพได้ชัดแม้ในสภาพแสงน้อย ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนได้ดียิ่งขึ้นครับ” นราธิป กล่าว
ขณะที่ ‘บัวเทพ ปันใจ’ แม่ค้าก๋วยเตี๋ยว ชาวอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ วัย 69 ปี กล่าวว่า ยอมรับว่าไม่ทราบขอบเขตอำนาจหน้าที่ของ อบจ. อย่างชัดเจนว่าสามารถดำเนินการช่วยเหลือประชาชนได้มากน้อยเพียงใด แต่หากถามถึงความคาดหวัง อยากให้ อบจ. เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ และจัดสรรสวัสดิการเพิ่มเติมสำหรับผู้สูงอายุในพื้นที่ นอกเหนือจากเบี้ยยังชีพที่ได้รับอยู่ เหมือนว่าเบี้ยคนชราคนทุกพื้นที่ทั่วประเทศได้เหมือนกัน
“อบจ. ควรเสริมเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่เงินก็ได้ สำหรับเรื่องเศรษฐกิจในพื้นที่ เช่น มีคูปองซื้อสินค้าราคาถูกสำหรับผู้สูงอายุ หรือมีร้านค้าสหกรณ์ที่มีสินค้าราคาถูกขาย เพราะทุกวันนี้เศรษฐกิจแย่มาก คนก็รอเงินแจกจากรัฐบาลอย่างเดียว แต่มันไม่พอและไม่ต่อเนื่อง อยากให้ อบจ. ช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจมากขึ้น”
“สำหรับคนแก่เรื่องสุขภาพเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด รัฐบาลก็มีประกันสังคมและ 30 บาทรักษาทุกโรคอยู่แล้ว แต่ความสะดวกสบายในการไปรักษามันขึ้นอยู่กับแต่ละครอบครัว บางครอบครัวก็มีรถเก๋งคอยรับส่ง บางครอบครัวก็ใช้มอเตอร์ไซค์ไปส่ง ซึ่งถ้ามีรถบัสรับส่งจากตำบลไปถึงโรงพยาบาลเลยน่าจะดี ผู้สูงอายุในตำบลที่อาศัยอยู่ก็ไปโรงพยาบาลกันหลายคน ใช้รถบัสไปพร้อมกันหลายๆ คนได้” บัวเทพ ซึ่งใช้สิทธิประกันสังคม ม.39 กล่าว
ด้าน ‘ชวัลวิทย์ ใจกาศ’ เกษตรกรผู้ปลูกลำไย ชาวอำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน วัย 27 ปี ระบุว่าจากประสบการณ์การทำสวนลำไยมาหลายปี เขาพบว่าเกษตรกรในพื้นที่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งเรื่องราคาผลผลิตที่ไม่แน่นอน ปัญหาภัยธรรมชาติ และการขาดระบบน้ำที่มีประสิทธิภาพ จึงอยากเห็นองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เข้ามามีบทบาทในการช่วยเหลือเกษตรกรอย่างเป็นระบบมากขึ้น
“ส่วนตัวผมคาดหวังว่า อบจ. จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยจัดการเรื่องตลาดหรือการขายผลผลิตที่มั่นคง ปัจจุบันมีหน่วยงานที่ดูแลเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ หรือแก้ได้แบบโลกสวย เกินไป ทุกครั้งที่ประชุมแก้ปัญหา เราต้องยอมก้มหัวให้ล้งจีนที่นั่งหัวโต๊ะเสมอ ผมเชื่อว่าหาก อบจ. ซึ่งเป็นหน่วยงานใกล้ชิดประชาชนเข้ามาจัดการเรื่องนี้ จะช่วยแก้ปัญหาได้ดีกว่า” ชวัลวิทย์ กล่าว
ชวัลวิทย์กล่าวต่อว่า เรื่องการเยียวยาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญที่ผ่านมาเราเจอทั้งลำไยยืนต้นตายเพราะภัยแล้ง และล่าสุดลำไยตายเพราะน้ำท่วม ชวัลวิทย์ ระบุว่าเขาอยากเห็น อบจ. เข้ามาช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม เช่น การแจกกล้าพันธุ์ฟรี หรือสนับสนุนปัจจัยการผลิตให้เกษตรกรฟื้นตัวได้เร็วขึ้น การจัดการน้ำก็สำคัญไม่แพ้กัน เกษตรกรต้องการระบบน้ำที่ยั่งยืน ไม่ใช่แค่รอฝนตามธรรมชาติ อยากให้ผู้แทน อบจ. ที่เราเลือกเข้าไป นำปัญหานี้เข้าไปแก้ไขในสภาเพื่อให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำที่มั่นคง
“ผมหวังว่าการเลือกตั้ง อบจ. จะเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาเชิงระบบ ไม่ใช่แค่รอให้ปัญหาเกิดแล้วแจกเงินเยียวยา เกษตรกรต้องการวิธีป้องกันปัญหาในระยะยาว ผมเชื่อว่าผู้สมัคร ส.อบจ. หลายคนต้องมีสวนลำไยเป็นของตัวเอง เขาคงเข้าใจปัญหาเหล่านี้ดี และหวังว่าความเข้าใจนั้นจะเปลี่ยนเป็นการลงมือทำจริงๆ” ชวัลวิทย์ กล่าว
ขณะที่ ‘ณัฐภูมิ’ คนรุ่นใหม่ในจังหวัดพิจิตร กล่าวว่า แม้เมืองพิจิตรจะเป็นพื้นที่เล็กๆ แต่ส่วนตัวมองว่าสามารถขยายธุรกิจหรือส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนได้ที่และเน้นยำว่ารายได้ควรเป็นของชุมชนจริงๆ อยากให้จังหวัดถูกขับเคลื่อนหรือมีชีวิต ประชาชนในจังหวัดคงยิ้มออกได้ การพัฒนาเศรษฐกิจในจังหวัดควรให้ประโยชน์กับชุมชนจริงๆ โดยรายได้จากกิจกรรมต่างๆ ควรไหลกลับมาสู่ท้องถิ่นและประชาชนในจังหวัดเอง เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ เขายังมีความหวังว่า หากจังหวัดพิจิตรได้รับการขับเคลื่อนที่เหมาะสม จะช่วยเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจและสร้างงานให้กับคนในพื้นที่ ทำให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถยิ้มออกได้จากการมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจ
“ส่วนเรื่องพัฒนา ก็ระบบขนส่ง รถทัวร์หรือ บริษัท ขนส่ง จำกัด บขส. ไม่มีความลงในตัวจังหวัด ไม่รู้เป็นอะไร เรื่องนี้คนเป็นคนที่ทำงานต่างจังหวัดเซ็งสุดๆ มีแต่รถไฟที่ถึงตัวเมือง ถนนหนหางก็แสนจะแย่ไม่รู้กี่ว่าเลือกตั้ง อบจ. ไม่รู้เอางบไม่ลงกับอะไร เบิกงบไปไม่รู้เอาไปใช้จุดไหน แต่ยังไม่เห็นอะไรที่เกิดประโยชน์กับคนในจังหวัดจริงๆสักที”
ณัฐภูมิกล่าวต่ออีกว่า อบจ. และคณะบริหารที่ผ่านมา ดูเหมือนจะไม่ชัดเจนเท่าที่ควร หลายคนมองว่าควรมีการสอบถามความคิดเห็นจากประชาชนจริงๆ ว่าพวกเขาต้องการพัฒนาอะไร และอยากเห็นการขับเคลื่อนจังหวัดในทิศทางไหนมากกว่า
“ทั้งนี้ควรลดอิทธิพลของระบบ “บ้านใหญ่” ที่อาจทำให้การพัฒนาจังหวัดไม่ทั่วถึง นอกจากนี้ยังควรลงพื้นที่สำรวจในทุกอำเภออย่างจริงจัง เพื่อให้เห็นภาพปัญหาที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ความสวยงามที่ปรากฏให้เห็นจากสนามกีฬา หรือบึงสีไฟเท่านั้น แต่ควรมองไปที่ปัญหาพื้นฐานและความต้องการที่แท้จริงของประชาชนในทุกพื้นที่”ณัฐภูมิกล่าว
ทั้งนี้ ในการเลือกตั้ง อบจ. ที่จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ เวลา 08.00 – 17.00 น. หากผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่สะดวกเดินทางไปใช้สิทธิ สามารถแจ้งเหตุผลเพื่อรักษาสิทธิทางการเมืองได้ โดยหากไม่แจ้งเหตุ จะถูกตัดสิทธิในการลงเลือกตั้ง ส.ส., ส.ว. หรือการดำรงตำแหน่งข้าราชการทางการเมืองต่างๆ
การแจ้งเหตุสามารถทำได้หลายช่องทาง เช่น การไปแจ้งด้วยตนเองต่อนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน โดยต้องทำเป็นหนังสือและระบุเลขประจำตัวประชาชน พร้อมที่อยู่ตามหลักฐานทะเบียนบ้าน ภายใน 7 วัน ก่อนวันเลือกตั้ง วันที่ 25-31 มกราคม 2568 หรือภายใน 7 วันหลังจากวันเลือกตั้ง วันที่ 2-8 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อรักษาสิทธิในการเลือกตั้งในอนาคต
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...