จากกรณี ผศ. ดร.สุรชัย จงจิตงาม อาจารย์ประจำคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เดินทางไปยังสำนักงานสภามหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2568 เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้เร่งรัดการสอบสวนทางวินัยกรณีร้องเรียนการสวมสิทธิผลงานวิชาการเรื่อง “ประวัติศาสตร์เมืองฮอดในมิติศิลปวัฒนธรรม พิสดารนคร” ระหว่างการประชุมสภามหาวิทยาลัย
โดยล่าสุดได้มีการเปิดเนื้อหาหนังสือร้องเรียนดังกล่าว โดยระบุว่าผศ. ดร.สุรชัย จงจิตงาม เป็นผู้เขียนรายงาน “โครงการสำรวจศิลปกรรมของชุมชนในอำเภอฮอด เบื้องต้น” เมื่อปี 2563 แต่เพียงผู้เดียว และปิดโครงการไปเมื่อ 16 ธันวาคม 2563
ต่อมาในปี 2565 อาจารย์ผู้ถูกกล่าวหาว่าสวมสิทธิผลงาน ขอให้ผศ. ดร.สุรชัย จงจิตงาม เขียนรายงามเพิ่มเติมต่อจากเดิมที่มีอยู่ เนื่องจากได้รับทุนจากโครงการล้านนาสร้างสรรค์สำนักยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งได้เขียนเพิ่มเป็นจำนวน 17 หน้า จนได้รายงาน “การสำรวจศิลปกรรมในอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่” เมื่อปี 2565 สุรชัย ยังยํ้าว่าตนเป็นผู้เขียนรายงานเดิมและส่วนที่เพิ่มเติมอีก 17 หน้า แต่เพียงผู้เดียว
สวมสิทธิและตีพิมพ์เป็นหนังสือในนามของตน
กระทั้งราวเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2567 อาจารย์คนดังกล่าวได้นำต้นฉบับ “การสำรวจศิลปกรรมในอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่” ที่สุรชัยเป็นผู้เขียน นำไปตีพิมพ์เป็นหนังสือ “ประวัติศาสตร์เมืองฮอดในมิติศิลปวัฒนธรรม พิสดารนคร” ซึ่งเผยแพร่ในรูปแบบสิ่งพิมพ์ และไฟล์ PDF ในรูปแบบออนไลน์ อีกทั้งยังระบุชื่อรศ. อัศวิณีย์ หวานจริง เป็นผู้เขียนหลัก ซึ่งสุรชัยได้ท้วงให้แก้ไขมาโดยตลอด
ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์คนดังกล่าวยังได้มีความพยายามนำหนังสือ “ประวัติศาสตร์เมืองฮอดในมิติศิลปวัฒนธรรม พิสดารนคร” ให้สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตีพิพม์ผลงานดังกล่าว ซึ่งท้ายที่สุดสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ปฏิเสธการตีพิมพ์หนังสือดังกล่าว
ภายหลังผู้คนบางส่วนได้ลองค้นหาเกี่ยวกับหนังสือ “ประวัติศาสตร์เมืองฮอดในมิติศิลปวัฒนธรรม พิสดารนคร” ในอินเทอร์เน็ต และพบว่ามีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือดังกล่าวในเว็บไซต์สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่ทว่าเมื่อ 27 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ข้อมูลที่ว่าก็ได้หายไปจากเว็บไซต์สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เปิดเผยข้อสงสัยเกี่ยวกับการเบิกงบประมาณเกินจริง
สุรชัยยังเปิดเผยอีกว่าโครงการในปี 2565 อาจารย์ผู้ถูกกล่าวหาได้บริหารงบประมาณค่าจ้างสำหรับบันทึกภาพที่ปรากฏในหนังสือปีละ 50,000 บาท ระยะเวลา 2 ปี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 100,000 บาท โดยที่ความเป็นจริง สุรชัยและผู้ร่วมสำรวจเป็นผู้ถ่ายภาพระหว่างการลงพื้นที่ และไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด อีกทั้งยังพบว่ามีการใช้งบประมาณในการเก็บข้อมูลกับชุมชนปีละ 45,000 บาท ระยะเวลา 2 ปี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 90,000 บาท ซึ่งข้อเท็จจริงจากรายงานฉบับปี 2563 และ 2565 สุรชัยยืนยันว่าใช้งบประมาณไม่ถึงตามที่อาจารย์คนดังกล่าวระบุแน่นอน ส่อถึงการทุจริต และไม่ตรงตามวัตถุประสงค์
สุรชัยทิ้งท้ายว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการแสดงถึงเจตนาขโมยผลงานทางวิชาการ ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดจรรยาบรรณ ผิดจริยธรรมของการเป็นอาจารย์ และนักวิจัยขั้นร้ายแรง โดยทางมหาวิทยาลัยตั้งคณะกรรมการมาสอบสวนตั้งแต่ 19 สิงหาคม 2567 แต่อย่างไรก็ตามเวลาล่วงเลยมา 8 เดือน แต่การพิจารณายังไม่แล้วเสร็จ จึงเรียกร้องให้มีการตรวจสอบอย่างเร่งรัดและยุติธรรมตามข้อเท็จจริง
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...