ปี 2567 มี 366 วัน คนเหนือจมฝุ่นพิษเฉลี่ย 228 วัน หายใจในอากาศดีได้แค่ 4 เดือน และกฎหมายอากาศสะอาดจะมากี่โมง?

เรื่อง: ผกามาศ ไกรนรา

ภาพ: วรีภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง

Summary

  • หากคำนวณค่าฝุ่น PM2.5 ด้วยเกณฑ์คุณภาพอากาศของสากล ผลลัพธ์ของจำนวนวันอากาศดีและอากาศพิษที่ได้จะมีความแตกต่างจากการประเมินตามเกณฑ์ของประเทศไทยอย่างเห็นได้ชัด เมื่อใช้เกณฑ์สากลสำหรับการคำนวณ ผลลัพธ์ที่ได้คือ จำนวนวันอากาศดีของแต่ละจังหวัดภายใต้เกณฑ์ค่าฝุ่นแบบไทยลดลงอย่างอย่างชัดเจนเมื่อเปลี่ยนมาใช้เกณฑ์สากลคำนวณ โดยลดลงเฉลี่ยกว่า 17.35% ในขณะที่จำนวนวันอากาศพิษกลับเพิ่มขึ้น
  • หากเทียบข้อมูลตามเกณฑ์คุณภาพอากาศสากล WHO global air quality guidelines 2021 (AGQ) ขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ในปี 2567 คนในภาคเหนือจะสามารถมีโอกาสหายใจในอากาศที่ดีได้เพียงแค่ 4 เดือนต่อปีเท่านั้น ซึ่งช่วงเวลาที่อากาศดีที่สุดคือระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกันยายน โดยเฉพาะในเดือนสิงหาคม ซึ่งถือเป็นเดือนที่มีคุณภาพอากาศดีที่สุดในปี 2567 สำหรับหลายๆ จังหวัดในภาคเหนือ โดยในเดือนนี้ ค่าฝุ่น PM2.5 จะไม่เกิน 15 มคก./ลบ.ม. ตลอดทั้งเดือนในเกือบทุกจังหวัดของภาคเหนือ
  • ในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งครอบคลุมทั้งหมด 8 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤษภาคม และเดือนตุลาคมถึงธันวาคม พบว่าอากาศในพื้นที่ต่างๆ ยังคงมีค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศเลวร้ายที่สุดของปี ซึ่งเกิดขึ้นในช่วง 3 เดือนระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม โดยเฉพาะในเดือนเมษายนที่ถือว่าเป็นเดือนที่มีคุณภาพอากาศแย่ที่สุด ซึ่งค่าฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐานตลอดทั้งเดือน (29 – 31 วัน) ทั้งใน 17 จังหวัด และพุ่งสูงสุดถึง 166.6 มคก./ลบ.ม. ในวันที่ 6 เมษายน 2567 ที่จังหวัดเชียงราย
  • ‘น่าน’ มีคุณภาพอากาศที่เลวร้ายที่สุดในปี 2567 โดยมีจำนวนวันที่อากาศดีเพียงแค่ 26 วัน หรือคิดเป็น 7.14% ของทั้งปี ขณะที่อีก 338 วัน หรือ 92.86% มีค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน รองลงมาคือจังหวัดนครสวรรค์ที่มีอากาศพิษถึง 251 วัน หรือ 68.96% และจังหวัดอุทัยธานีที่มีอากาศพิษถึง 245 วัน หรือ 67.31%
  • เชียงใหม่เป็นจังหวัดที่มีจำนวนวันที่ค่าฝุ่น PM2.5 ไม่เกิน 15 มคก./ลบ.ม. มากที่สุดถึง 189 วัน คิดเป็น 51.92% ของทั้งปี รองลงมาคือแม่ฮ่องสอน ที่มีวันอากาศดีถึง 178 วัน หรือ 48.90% ของทั้งปี และถัดมาเป็นจังหวัดเชียงราย ลำปาง และสุโขทัย ซึ่งแต่ละจังหวัดมีอากาศดีถึง 148 วัน หรือ 40.66% ของทั้งปี
  • ปัจจุบันร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด กำลังอยู่ในชั้นของการพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. โดยมีความคืบหน้าในการพิจารณาเนื้อหาไปแล้วทั้งหมด 7 หมวดจาก 10 หมวด คาดการณ์ว่าร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาดฯ จะถูกส่งเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2568

หากย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายปีก่อน ภาพจำของช่วงเวลาต้นปีในภาคเหนือที่หลายคนนึกถึงอาจเต็มไปด้วยธรรมชาติ อากาศอันหนาวเย็นที่โอบล้อมทุกพื้นที่ พร้อมกับสายหมอกสีขาวที่ลอยละล่องเหนือยอดดอยทุกเช้า แต่บรรยากาศแบบนั้นเริ่มเลือนหายไป เมื่อปัญหามลพิษทางอากาศโดยเฉพาะ PM2.5 (Particulate Matters 2.5) หรือฝุ่นละอองขนาดเล็ก ได้เข้ามาเป็นประเด็นสำคัญตั้งแต่ปลายปี 2561 เป็นต้นมา ภายหลังจากที่กรมควบคุมมลพิษเริ่มประกาศใช้ดัชนีคุณภาพอากาศใหม่ ซึ่งรวมค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในการวัดผล นับแต่นั้นมา ช่วงเวลาต้นปีที่เคยอากาศดี ก็กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนต้องกังวลกับท้องฟ้าอันหมองหม่นและอากาศที่เต็มไปด้วย ‘ฝุ่นพิษ’ ซึ่งแทรกซึมอยู่ทุกลมหายใจ

ขณะเดียวกัน ปัญหาเหล่านี้มักทวีรุนแรงมากขึ้นในช่วงฤดูหนาวของทุกปี และหลายพื้นที่ในประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเหนือ กำลังต้องเผชิญกับมลพิษทางอากาศนี้อย่างหนักหน่วง ดังนั้น ในรายงานนี้จึงอยากชวนทุกคนมาสำรวจว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา คนเหนือต้องใช้ชีวิตอยู่กับอากาศพิษแบบนี้กี่วัน? และคำถามสำคัญที่หลายคนยังคงรอคอยคำตอบก็คือ เราจะได้ ‘กฎหมายอากาศสะอาด’ เมื่อไหร่?

สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ภาคเหนือ ปี 2567 ตามเกณฑ์รัฐไทย-สากลเป็นยังไง? มีอากาศดี-อากาศพิษเท่าไหร่บ้าง? (1)

ในปี 2567 สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือของไทยยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชน โดยข้อมูลจากระบบติดตาม PM2.5 ผ่านเทคโนโลยีดาวเทียมและภูมิสารสนเทศของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA แสดงให้เห็นว่า คุณภาพอากาศในพื้นที่ภาคเหนือมีความหลากหลายตามแต่ละจังหวัด และเมื่อพิจารณาตามเกณฑ์มาตรฐาน PM2.5 แบบใหม่ของไทยสามารถแบ่งระดับคุณภาพอากาศได้ ดังนี้

คุณภาพอากาศเกณฑ์ใหม่ (มคก./ลบ.ม.)เกณฑ์เดิม (มคก./ลบ.ม.)
ดีมาก0 – 15.00 – 25
ดี15.1 – 25.025 – 37
ปานกลาง25.1 – 37.538 – 50
เริ่มมีผลกระทบต่อ37.6 – 75.051 – 90
มีผลกระทบต่อสุขภาพ75.1 ขึ้นไป91 ขึ้นไป

หากพิจารณาตามเกณฑ์มาตรฐาน PM2.5 แบบใหม่ของไทย เชียงใหม่ ถือเป็นจังหวัดที่มีวันที่คุณภาพอากาศดีมากสูงถึง 189 วัน หรือคิดเป็น 51.92% ของทั้งปี และวันที่คุณภาพอากาศดีอีก 54 วัน (14.84%) ทำให้เชียงใหม่มีวันที่อากาศดีรวมกัน 243 วัน คิดเป็น 66.76% ของปี แต่ในขณะเดียวกันกลับมีวันที่อากาศมีคุณภาพปานกลางเพียง 38 วัน (10.44%) วันที่อากาศเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ 45 วัน (12.36%) และวันที่อากาศมีผลกระทบต่อสุขภาพ 38 วัน (10.44%) หรือรวมแล้วเชียงใหม่มีวันที่อากาศเป็นพิษเพียง 121 วัน หรือคิดเป็น 33.24% ของปี

ในส่วนของ เชียงราย สถานการณ์คล้ายคลึงกับเชียงใหม่ โดยมีวันที่คุณภาพอากาศดีมาก 148 วัน คิดเป็น 40.66% และวันที่คุณภาพอากาศดีอีก 83 วัน (22.80%) รวมแล้วเชียงรายมีวันที่อากาศดีทั้งหมด 231 วัน หรือ 63.46% ของปี ขณะที่วันที่อากาศคุณภาพปานกลางมี 39 วัน (10.71%) อากาศเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ 51 วัน (14.01%) และอากาศมีผลกระทบต่อสุขภาพ 43 วัน (11.81%) รวมแล้วเชียงรายมีวันที่อากาศเป็นพิษทั้งหมด 133 วัน หรือ 36.54% ของปี

สำหรับ ลำปาง วันที่คุณภาพอากาศดีมากมีจำนวน 148 วัน คิดเป็น 40.66% และวันที่คุณภาพอากาศดีอีก 71 วัน (19.51%) รวมแล้วลำปางมีวันอากาศดี 219 วัน หรือ 60.16% ของปี ในขณะที่วันที่อากาศมีคุณภาพอากาศปานกลางมี 44 วัน (12.09%) และวันที่อากาศเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพมี 71 วัน (19.51%) และวันที่อากาศมีผลกระทบต่อสุขภาพมีเพียง 30 วัน คิดเป็น (8.24%) เมื่อคำนวณรวมกันลำปางมีวันที่อากาศเป็นพิษ 145 วัน หรือ 39.84% ของทั้งปี

เช่นเดียวกันกับ ลำพูน ที่มีวันที่คุณภาพอากาศดีมาก 142 วัน (39.01%) และวันที่คุณภาพอากาศดี 64 วัน (17.58%) รวมแล้วลำพูนมีวันที่อากาศดี 206 วัน ซึ่งเท่ากับ 56.59% ของทั้งปี สำหรับวันที่คุณภาพอากาศอยู่ในระดับปานกลางมีจำนวน 63 วัน (17.31%) ขณะที่วันที่เริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพมี 61 วัน (16.76%) และวันที่คุณภาพอากาศอยู่ในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพรุนแรงมี 34 วัน (9.34%) ซึ่งรวมเป็นวันที่อากาศอยู่ในเกณฑ์อากาศเป็นพิษทั้งหมด 158 วัน หรือ 43.41% ของปี

ในปีที่ผ่านมา พะเยา มีวันที่อากาศดีมากถึง 129 วัน (35.44%) และวันที่อากาศดีอีก 66 วัน (18.13%) รวมทั้งหมดพะเยามีวันอากาศดี 195 วัน หรือคิดเป็น 53.57% ของปี ในขณะที่คุณภาพอากาศอยู่ในระดับปานกลาง 70 วัน (19.23%) วันที่เริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพพบ 57 วัน (15.66%) และวันที่คุณภาพอากาศมีผลกระทบต่อสุขภาพรุนแรง 42 วัน (11.54%) ซึ่งหมายความว่า พะเยามีวันที่อากาศอยู่ในเกณฑ์อากาศเป็นพิษทั้งหมด 169 วัน หรือ 46.43%

ถัดมาที่ แพร่ พบว่า มีวันที่อากาศดีมากถึง 146 วัน หรือคิดเป็น 40.11% และวันที่อากาศดีอีก 61 วัน (16.76%) รวมแล้วแพร่มีวันที่อากาศดีตลอดปีทั้งสิ้น 207 วัน หรือ 56.87% ขณะเดียวกัน คุณภาพอากาศอยู่ในระดับปานกลางจำนวน 55 วัน (15.11%) ส่วนวันที่เริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพมี 72 วัน (19.78%) และวันที่คุณภาพอากาศส่งผลกระทบต่อสุขภาพรุนแรงอีก 30 วัน (8.24%) รวมเป็นวันที่อากาศเข้าขั้นอากาศเป็นพิษทั้งหมด 157 วัน หรือ 43.13% ของปี

ด้าน น่าน มีวันที่คุณภาพอากาศดีมาก 26 วัน (7.14%) และวันที่คุณภาพอากาศดี 122 วัน (33.52%) รวมกันแล้ว น่านมีวันที่อากาศดีทั้งสิ้น 148 วัน หรือ 40.66% ของปี ส่วนวันที่คุณภาพอากาศปานกลางมี 95 วัน (26.10%) วันที่เริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพมี 86 วัน (23.63%) และวันที่คุณภาพอากาศมีผลกระทบต่อสุขภาพมี 35 วัน (9.62%) ซึ่งรวมเป็นวันที่อากาศอยู่ในเกณฑ์อากาศเป็นพิษ 216 วัน หรือ 59.34%

ต่อมาที่ แม่ฮ่องสอน พบว่า มีคุณภาพอากาศดีมากถึง 178 วัน หรือคิดเป็น 48.90% ของปี และมีวันที่คุณภาพอากาศดีอีก 81 วัน คิดเป็น 22.25% รวมแล้วแม่ฮ่องสอนมีวันที่อากาศอยู่ในเกณฑ์ดีทั้งหมด 259 วัน หรือ 71.15% สำหรับวันที่คุณภาพอากาศปานกลางมีจำนวน 21 วัน (5.77%) ขณะที่วันที่เริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพมี 41 วัน (11.26%) และวันที่คุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรุนแรงมีอีก 43 วัน (11.81%) รวมเป็นวันที่อากาศอยู่ในเกณฑ์อากาศเป็นพิษทั้งหมด 105 วัน หรือ 28.85%

ในส่วนของ อุตรดิตถ์ มีวันที่คุณภาพอากาศดีมากถึง 134 วัน คิดเป็น 36.81% และวันที่คุณภาพอากาศดีอีก 52 วัน หรือ 14.29% เมื่อรวมกันแล้ว อุตรดิตถ์มีวันที่อากาศดีรวม 186 วัน หรือคิดเป็น 51.10% ของปี ในส่วนของคุณภาพอากาศปานกลางพบ 66 วัน หรือ 18.13% ขณะที่วันที่เริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพมีจำนวน 93 วัน (25.55%) และวันที่คุณภาพอากาศอยู่ในระดับที่กระทบสุขภาพอย่างรุนแรงอีก 19 วัน (5.22%) สรุปแล้ว อุตรดิตถ์มีวันที่อากาศจัดอยู่ในเกณฑ์อากาศเป็นพิษ ทั้งหมด 178 วัน หรือคิดเป็น 48.90%

สำหรับ ตาก มีวันที่คุณภาพอากาศดีมากถึง 142 วัน หรือคิดเป็น 39.01% ของปี และวันที่อากาศดีอีก 47 วัน (12.91%) ทำให้ตากมีวันที่อากาศดีทั้งหมด 189 วัน หรือ 51.92% ในขณะที่คุณภาพอากาศปานกลางมีจำนวน 61 วัน (16.76%) ส่วนวันที่เริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพมี 95 วัน (26.10%) และวันที่คุณภาพอากาศส่งผลกระทบต่อสุขภาพอีก 19 วัน (5.22%) ซึ่งทำให้ตากมีวันที่อากาศอยู่ในเกณฑ์อากาศเป็นพิษทั้งหมด 175 วัน หรือ 48.08%

ในปีที่ผ่านมา นครสวรรค์ มีวันที่คุณภาพอากาศดีมากถึง 113 วัน หรือคิดเป็น 31.04% และมีวันที่อากาศดีอีก 56 วัน (15.38%) รวมแล้ว นครสวรรค์มีวันที่อากาศดีทั้งหมด 169 วัน หรือ 46.43% ของปี ขณะที่วันที่คุณภาพอากาศอยู่ในระดับปานกลางมี 77 วัน (21.15%) ส่วนวันที่เริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพพบ 116 วัน (31.87%) และวันที่คุณภาพอากาศมีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างชัดเจนมี 2 วัน (0.55%) ซึ่งสรุปได้ว่า จังหวัดนครสวรรค์มีวันที่อากาศอยู่ในเกณฑ์อากาศเป็นพิษ ทั้งหมด 195 วัน หรือ 53.57%

ถัดมาที่ อุทัยธานี มีวันที่คุณภาพอากาศดีมากถึง 119 วัน คิดเป็น 32.69% ของปี และมีวันที่คุณภาพอากาศดีอีก 47 วัน หรือ 12.91% รวมแล้วอุทัยธานีมีวันที่อากาศดีทั้งหมด 166 วัน คิดเป็น 45.60% ส่วนวันที่คุณภาพอากาศปานกลางมีอยู่ 81 วัน (22.25%) และวันที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพสูงถึง 116 วัน (31.87%) ขณะที่วันอากาศมีผลกระทบต่อสุขภาพรุนแรงมีเพียง 1 วัน (0.27%) โดยรวมแล้ว อุทัยธานีมีวันอากาศเป็นพิษทั้งหมด 198 วัน หรือ 54.40%

ด้าน กำแพงเพชร มีวันที่คุณภาพอากาศที่ดีมากรวม 145 วัน คิดเป็น 39.84% ของปี และมีวันที่คุณภาพอากาศดีอีก 42 วัน หรือ 11.54% รวมจำนวนวันที่อากาศดีทั้งหมด 187 วัน คิดเป็น 51.37% ขณะที่คุณภาพอากาศปานกลางมีจำนวน 57 วัน (15.66%) และวันที่เริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพสูงถึง 112 วัน (30.77%) ส่วนวันที่มีผลกระทบต่อสุขภาพรุนแรงมี 8 วัน (2.20%) เมื่อพิจารณาภาพรวมแล้ว จังหวัดกำแพงเพชรมีวันอากาศเป็นพิษทั้งหมด 177 วัน คิดเป็น 48.63%

ต่อมาที่ สุโขทัย มีวันที่คุณภาพอากาศที่ดีมากถึง 148 วัน คิดเป็น 40.66% ของปี และมีวันที่คุณภาพอากาศดีอีก 41 วัน หรือ 11.26% ทำให้จำนวนรวมของวันที่อากาศดีมีทั้งหมด 189 วัน หรือ 51.92% ส่วนวันที่คุณภาพอากาศปานกลางพบ 54 วัน (14.84%) และวันที่เริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพมี 99 วัน (27.20%) ขณะที่วันที่มีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรุนแรงมี 22 วัน (6.04%) โดยรวมแล้ว สุโขทัยเผชิญกับอากาศเป็นพิษทั้งหมด 175 วัน หรือ 48.08%

ในส่วนของ พิษณุโลก มีวันที่คุณภาพอากาศดีมากรวม 143 วัน คิดเป็น 39.29% ของปี และมีวันที่คุณภาพอากาศดีอีก 36 วัน หรือ 9.89% รวมแล้วพิษณุโลกมีวันที่อากาศดี 179 วัน คิดเป็น 49.18% ในขณะเดียวกัน คุณภาพอากาศปานกลางพบ 60 วัน (16.48%) และวันที่เริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพสูงถึง 112 วัน (30.77%) ส่วนวันที่มีผลกระทบต่อสุขภาพรุนแรงมี 13 วัน (3.57%) ส่งผลให้พิษณุโลกมีวันที่อากาศเป็นพิษรวม 185 วัน หรือ 50.82%

สำหรับ พิจิตร มีวันที่คุณภาพอากาศดีมาก 136 วัน คิดเป็น 37.36% ของปี และมีวันที่คุณภาพอากาศดีอีก 42 วัน (11.54%) ทำให้จำนวนวัน

สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ภาคเหนือ ปี 2567 ตามเกณฑ์รัฐไทย-สากลเป็นยังไง? มีอากาศดี-อากาศพิษเท่าไหร่บ้าง? (2)

ฝุ่น PM2.5 กลายเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในภาคเหนือของไทยมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าภาครัฐจะพยายามยกระดับมาตรฐานคุณภาพอากาศให้เข้มงวดขึ้น แต่เกณฑ์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันก็ยังคงมีความห่างไกลจากคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก ตาม WHO global air quality guidelines 2021 (AGQ) ที่ระบุว่า ค่าเฉลี่ย PM2.5 ใน 24 ชั่วโมงไม่ควรเกิน 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ

เมื่อดูตามมาตรฐาน PM2.5 แบบใหม่ของไทย คุณภาพอากาศในหลายพื้นที่ของภาคเหนือในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ดูเหมือนจะอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะในแม่ฮ่องสอนซึ่งมีวันที่คุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ดีถึง 71.11% ขณะที่อีก 16 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่, เชียงราย, ลำปาง, ลำพูน,  แพร่,  พะเยา,  ตาก, สุโขทัย, กำแพงเพชร,  อุตรดิตถ์, พิษณุโลก, พิจิตร, นครสวรรค์, อุทัยธานี, เพชรบูรณ์ และน่าน มีสัดส่วนดังกล่าววันคุณภาพอากาศดีที่ 66.76%, 63.46%, 60.16%, 56.59%, 56.87%, 53.57%, 51.92%, 51.92%, 51.37%, 51.10%, 49.18%, 48.90%, 46.43%, 45.60%, 47.80%, 40.66% ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม ถ้าเรานำชุดข้อมูลเดียวกันมาคำนวณตามเกณฑ์คุณภาพอากาศสากลตาม AGQ ของ WHO ที่ระบุไว้ข้างต้น ก็จะพบว่า จริงๆ คุณภาพอากาศของประเทศไทยในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาไม่ได้ดีอย่างที่ภาครัฐประเมิน

จังหวัดจำนวนวันอากาศดี (เกณฑ์ไทย)%จำนวนวันอากาศดี (เกณฑ์สากล)%จำนวนวันอากาศพิษ (เกณฑ์ไทย)%จำนวนวันอากาศพิษ (เกณฑ์สากล)%
เชียงใหม่24366.7618951.9212133.2417548.08
เชียงราย23163.4614840.6613336.5421659.34
ลำปาง21960.1614840.6614539.8421659.34
ลำพูน20656.5914239.0115843.4122260.99
พะเยา19553.5712935.4416946.4323564.56
แพร่20756.8714640.1115743.1321859.89
น่าน14840.66267.1421659.3433892.86
แม่ฮ่องสอน25971.1517848.9010528.8518651.10
อุตรดิตถ์18651.1013436.8117848.9023063.19
ตาก18951.9214239.0117548.0822260.99
นครสวรรค์16946.4311331.0419553.5725168.96
อุทัยธานี16645.6011932.6919854.4024567.31
กำแพงเพชร18751.3714539.8417748.6321960.16
สุโขทัย18951.9214840.6617548.0821659.34
พิษณุโลก17949.1814339.2918550.8222160.71
พิจิตร17848.9013637.3618651.1022862.64
เพชรบูรณ์17447.8012835.1619052.2023664.84
ตารางเปรียบเทียบจำนวนวันอากาศดี-อากาศพิษ ระหว่างเกณฑ์ไทยและสากล

จากข้อมูลในตารางจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า หากเราคำนวณค่าฝุ่น PM2.5 ด้วยเกณฑ์คุณภาพอากาศของสากล ผลลัพธ์ของจำนวนวันอากาศดีและอากาศพิษที่ได้จะมีความแตกต่างจากการประเมินตามเกณฑ์ของไทยอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อใช้เกณฑ์สากลสำหรับการคำนวณ ผลลัพธ์ที่ได้คือ จำนวนวันอากาศดีของแต่ละจังหวัดภายใต้เกณฑ์ค่าฝุ่นแบบไทยลดลงอย่างอย่างชัดเจนเมื่อเปลี่ยนมาใช้เกณฑ์สากลคำนวณ โดยลดลงเฉลี่ยกว่า 17.35% ในขณะที่จำนวนวันอากาศพิษกลับเพิ่มขึ้น

ในบางจังหวัด เช่น แม่ฮ่องสอน ซึ่งมีสัดส่วนวันอากาศดีสูงถึง 71.15% ตามเกณฑ์ไทย ซึ่งแสดงถึงคุณภาพอากาศที่ดีเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นๆ แต่เมื่อนำเกณฑ์สากลมาใช้ จำนวนวันอากาศดีกลับลดลงอย่างมีนัย เหลือเพียง 48.90% เท่านั้น ในขณะเดียวกัน พื้นที่อื่นๆ เช่น น่าน ที่มีวันอากาศดี 40.66% ตามเกณฑ์ไทย แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้เกณฑ์สากล จำนวนวันอากาศดีก็ลดลงถึงกว่า 33.52% เหลือแค่ 7.14% หรือลดลงกว่า 122 วัน 

ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่ข้อมูลสถิติที่แสดงให้เห็นถึงจำนวนวันของอากาศที่ดีและอากาศพิษ แต่ยังหมายความว่า แม้การประเมินคุณภาพอากาศของไทยอาจจะมองว่าอากาศในพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาคเหนือเป็น ‘ดี’ แต่จริงๆ แล้วตามมาตรฐานสากลแล้วคุณภาพอากาศอาจจะยังไม่ดีพออย่างที่ภาครัฐมองเห็น

คนเหนือมีโอกาสหายใจในอากาศดีแค่ 4 เดือนต่อปี

หากเทียบข้อมูลตามเกณฑ์คุณภาพอากาศสากล WHO global air quality guidelines 2021 (AGQ) ขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ในปี 2567 คนในภาคเหนือจะสามารถมีโอกาสหายใจในอากาศที่ดีได้เพียงแค่ 4 เดือนต่อปีเท่านั้น ซึ่งช่วงเวลาที่อากาศดีที่สุดคือระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกันยายน โดยเฉพาะในเดือนสิงหาคม ซึ่งถือเป็นเดือนที่มีคุณภาพอากาศดีที่สุดในปี 2567 สำหรับหลายๆ จังหวัดในภาคเหนือ โดยในเดือนนี้ ค่าฝุ่น PM2.5 จะไม่เกิน 15 มคก./ลบ.ม. ตลอดทั้งเดือนในเกือบทุกจังหวัดของภาคเหนือ

เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของแต่ละจังหวัดในภาคเหนือ จะพบว่า เชียงใหม่เป็นจังหวัดที่มีจำนวนวันที่ค่าฝุ่น PM2.5 ไม่เกิน 15 มคก./ลบ.ม. มากที่สุดถึง 189 วัน คิดเป็น 51.92% ของทั้งปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอากาศในเชียงใหม่ถือว่ามีคุณภาพดีเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นๆ รองลงมาคือแม่ฮ่องสอน ที่มีวันอากาศดีถึง 178 วัน หรือ 48.90% ของทั้งปี และถัดมาเป็นจังหวัดเชียงราย ลำปาง และสุโขทัย ซึ่งแต่ละจังหวัดมีอากาศดีถึง 148 วัน หรือ 40.66% ของทั้งปี

แม้หลายจังหวัดในภาคเหนือจะมีวันอากาศดีในบางช่วง แต่เมื่อลองมองภาพรวมทั้งปีแล้ว จะพบว่าอากาศในภาคเหนือยังคงมีวันที่ค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานมากกว่าครึ่งปี ส่งผลให้ผู้คนในพื้นที่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศมากขึ้นในช่วงเวลาที่เหลือของปี

ฝุ่นแปด แดดสี่

คุณภาพอากาศในภาคเหนือของประเทศไทยยังคงเป็นปัญหาหลักที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศไม่ดีในหลายเดือนของปี ข้อมูลในปี 2567 ชี้ให้เห็นว่าในแต่ละปี ภาคเหนือมีช่วงเวลาที่อากาศดีแค่ 4 เดือน คือระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกันยายน ซึ่งเป็นช่วงที่ค่าฝุ่น PM2.5 ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับเดือนอื่น ๆ ทำให้หลายจังหวัดในภาคเหนือสามารถหายใจในอากาศที่มีคุณภาพดีได้ตลอดช่วงเวลานี้

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งครอบคลุม 8 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤษภาคม และเดือนตุลาคมถึงธันวาคม พบว่าอากาศในพื้นที่ต่าง ๆ ยังคงมีค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศเลวร้ายที่สุดของปี ซึ่งเกิดขึ้นในช่วง 3 เดือนระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม โดยเฉพาะในเดือนเมษายนที่ถือว่าเป็นเดือนที่มีคุณภาพอากาศแย่ที่สุด ซึ่งค่าฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐานตลอดทั้งเดือน (29 – 31 วัน) ทั้งใน 17 จังหวัดภาคเหนือ และพุ่งสูงสุดถึง 166.6 มคก./ลบ.ม. ในวันที่ 6 เมษายน 2567 ที่จังหวัดเชียงราย

หากเจาะลึกลงไปในระดับจังหวัดในภาคเหนือ พบว่า ‘น่าน’ เป็นจังหวัดที่มีคุณภาพอากาศเลวร้ายที่สุดในปี 2567 โดยมีจำนวนวันที่อากาศดีจริงๆ เพียงแค่ 26 วัน หรือ 7.14% ของทั้งปี ขณะที่มีจำนวนวันที่อากาศเป็นพิษถึง 338 วัน หรือ 92.86% ซึ่งถือเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงที่สุดในภาคเหนือ รองลงมาคือ ‘นครสวรรค์’ ที่มีอากาศพิษ 251 วัน หรือ 68.96% และอากาศดีเพียง 113 วัน หรือ 31.04% ตามมาด้วย ‘อุทัยธานี’ ที่มีอากาศพิษถึง 245 วัน หรือ 67.31% และอากาศดีเพียง 119 วัน หรือ 32.69%

จากข้อมูลเหล่านี้ ทำให้เห็นภาพของปัญหาฝุ่นละอองในภาคเหนือที่ยังคงเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน แต่ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและสภาพแวดล้อมในระยะยาว ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจึงเป็นสิ่งสำคัญในการหาวิธีลดปัญหานี้ และสร้างความตระหนักถึงการดูแลคุณภาพอากาศในภาคเหนือเพื่ออนาคตที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน

กฎหมายอากาศสะอาดไปถึงไหน ต้องรออีกนานไหม?

ปัญหาฝุ่นพิษยังคงเป็นวิกฤตเรื้อรังที่กระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนไทย และยังคงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องการแนวทางแก้ไขอย่างจริงจัง หนึ่งในความพยายามสำคัญที่เกิดขึ้นคือการผลักดันร่างพระราชบัญญัติกำกับดูแลการจัดการอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพแบบบูรณาการ หรือที่เรียกกันว่า ‘ร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด’ หรือ ‘กฎหมายอากาศสะอาด’ ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2562 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดการปัญหาฝุ่นพิษอย่างครบวงจร รวมถึงการกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่ละเมิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม แม้จะผ่านมากว่า 5 ปี แต่กฎหมายฉบับนี้ก็ยังไม่สำเร็จ แล้วตอนนี้กฎหมายอากาศสะอาดเดินหน้าถึงขั้นไหน? และเมื่อไหร่คนไทยจะได้มีกฎหมายอากาศสะอาดจริง ๆ?

ร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาดฯ เป็นหนึ่งในความพยายามของหลายฝ่าย ทั้งภาคประชาชน นักการเมือง และหน่วยงานรัฐ ในการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ โดยในปี 2567 มีร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาดฯ ทั้งหมด 7 ฉบับ ซึ่งเสนอโดยกลุ่มและบุคคลต่าง ๆ ได้แก่ 1. ร่าง พ.ร.บ. กำกับดูแลการจัดการอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพแบบบูรณาการ พ.ศ. …. เสนอโดย คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม (ประชาชน 22,251 รายชื่อ) 2. ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดเพื่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน พ.ศ. …. เสนอโดย จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ กับคณะ (พรรคเพื่อไทย) 3. ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดเพื่อประชาชน พ.ศ. …. เสนอโดย อนุทิน ชาญวีรกูล กับคณะ (พรรคภูมิใจไทย) 4. ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …. เสนอโดย สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) โดย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) (รัฐบาล) 5. ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …. เสนอโดย ตรีนุช เทียนทอง และคณะ (พรรคพลังประชารัฐ) 6. ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ พ.ศ. …. เสนอโดย วทันยา บุนนาค และคณะ (พรรคประชาธิปัตย์) และ 7. ร่าง พ.ร.บ.ฝุ่นพิษและการก่อมลพิษข้ามพรมแดน พ.ศ. .… เสนอโดย ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ และคณะ (พรรคก้าวไกล)

ผ่านไป 1 ปีเต็มหลังจากร่าง พ.ร.บ.ทั้งหมดเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ สมาชิกวุฒิสภา และคณะอนุกรรมาธิการ 2 ชุด ได้แก่ คณะอนุกรรมาธิการพิจารณากรอบคิด หลักการสำคัญ และโครงสร้างการบริหาร และคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาความรับผิดทางกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย ในเดือนมกราคม 2567 คณะกรรมาธิการได้ประชุมร่วมกันเกือบ 200 ครั้ง โดยในปัจจุบัน การพิจารณาเนื้อหาได้เสร็จสิ้นแล้ว 7 หมวดจากทั้งหมด 10 หมวด

ขณะเดียวกัน ในวันที่ 24 มกราคม 2568 ที่ผ่าน กมธ.ได้ลงมติเลือกตำแหน่งประธานคณะกรรมการอากาศสะอาดจังหวัด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ในระดับพื้นที่ โดยเสียงส่วนใหญ่เห็นชอบให้ ‘นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)’ ดำรงตำแหน่งนี้ แทนที่จะเป็น ‘ผู้ว่าราชการจังหวัด’ ตามข้อเสนอของคณะรัฐมนตรี เป็นก้าวแรกของการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น

ปัจจุบันร่างดังกล่าวอยู่ในชั้นของการพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. โดยมีความคืบหน้าในการพิจารณาเนื้อหาไปแล้วทั้งหมด 7 หมวดจาก 10 หมวด คาดการณ์ว่าร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ จะถูกส่งเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 หากผ่านการพิจารณาโดยไม่มีการแก้ไขเพิ่มเติม ร่างกฎหมายนี้จะถูกส่งต่อให้วุฒิสภาพิจารณาในวาระ 1 – 3 และหากวุฒิสภาเห็นชอบโดยไม่มีการแก้ไข ร่างกฎหมายจะถูกนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อลงพระปรมาภิไธยและประกาศใช้เป็นกฎหมาย โดยคาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ภายในปี 2568

แม้ว่ากระบวนการจะคืบหน้าไป แต่คำถามสำคัญที่ยังคงอยู่คือ ‘เมื่อไหร่เราจะมีกฎหมายอากาศสะอาดที่เป็นธรรม?’

อ่าน [ชุดข้อมูล] ปี 2567 มี 366 วัน คนเหนือจมฝุ่นพิษเฉลี่ย 228 วัน หายใจในอากาศดีได้แค่ 4 เดือน และกฎหมายอากาศสะอาดจะมากี่โมง? ได้ที่ https://www.lannernews.com/30012568-02/

อ้างอิง

ผกามาศ ไกรนรา

อดีตนักศึกษารัฐศาสตร์ฯ การระหว่างประเทศ จากแดนใต้ ที่หลงเสน่ห์เชียงใหม่จนกลายเป็นบ้านหลังที่สอง ผู้มีกองดองที่ยังไม่ได้อ่าน และแอบวาดฝันว่าสักวันหนึ่งจะผูกมิตรกับเจ้าเหมียวทุกตัวที่ได้พบเจอ 🙂

ข่าวที่เกี่ยวข้อง