เรื่อง: ปภาวิน พุทธวรรณะ
“จับตา เฝ้าระวัง ตื่นตัว กล้าหาญ รอเป็นฝ่ายตั้งรับ เท่ากับรอเป็นถังขยะให้เขา การตื่นตัวไม่ใช่การตื่นตูม เพราะเราคงไม่ต้องการเป็นเหมือนกระต่ายกับเต่าที่หลับใหลไปในความประมาท งานนี้ถ้าผู้นำชุมชนหรือชาวบ้านไม่ยอมออกมาเคลื่อนไหวเลย จะเสียใจภายหลัง ข้อเท็จจริงที่ว่า เราต้องกำจัดขยะ แต่การมีบ่อขยะขนาดใหญ่ กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตอย่างรุนแรงยากที่จะหลีกเลี่ยง เป็นการขยะแบบรวมศูนย์ ซึ่งไม่เกิดความยั่งยืน ตรงกันข้ามขยะโดยชุมชน ทำให้คนได้เรียนรู้ปัญหาที่อยู่ใกล้ตัว ร่วมกันแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เช่น การแยกขยะให้ได้ในระดับครัวเรือน ลดการใช้พลาสติก การจัดการขยะแบบรวมศูนย์ ผู้ที่ได้รับประโยชน์คือผู้ที่ไม่ต้องรับผิดชอบในขยะของตัวเอง แล้วใครจะยอมเป็นผู้เสีลสละ อยู่ร่ำไป..” กลุ่มรักษ์แม่ทา – คัดค้านโรงไฟฟ้าขยะ
ความสองแง่สองง่ามของโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ
“โรงไฟฟ้าขยะก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ เปลี่ยนขยะเปล่าประโยชน์เป็นพลังงานไฟฟ้าสะอาดยั่งยืน” (นิรนาม)
นับแต่ปี 57 ที่ประเทศไทยเกิดรัฐประการครั้งที่ 13 นำโดยคณะ คสช. ภายใต้ช่วงเวลาแห่งความมืดมน ว่างเปล่า อลหม่าน คณะ คสช. อุ้มชูประเด็น นโยบายการจัดการขยะ เป็นวาระใหญ่แห่งชาติ ควบคู่มาพร้อมกับ Roadmap ว่าด้วยเรื่องการจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย และแผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอย ของประเทศ พ.ศ. 2559 – 2564 ที่มอบให้กระทรวงทรัพยากรฯ เป็นคนกำกับดูแล รวมถึงยังกำหนดนโยบายแปรรูปขยะและวัสดุเหลือใช้ให้เป็นพลังงาน และสร้างความสำคัญต่อการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ โดยนำขยะมาแปรสภาพเป็นพลังงานการผลิตกระแสไฟฟ้า เพื่อเป็นพลังงานทดแทนและแก้ปัญหาขยะล้นเมืองอย่างยั่งยืน (ณิชชา, 2562)
ฟังดูแล้วก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่กลิ่นความไม่ชอบมาพากลก็โชยขึ้น เมื่อจู่ ๆ คสช. ก็ออกคำสั่ง 3/2559 และ 4/2559 ที่สนับสนุนการสร้างโรงไฟฟ้าขยะแบบผิดรูปผิดร่าง ผิดฝาผิดฝังชนิดที่ว่าไม่ต้องคำนึงถึงกฏหมายผังเมือง และชุมชนใกล้เคียงเลยก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น ประกาศจากกระทรวงทรัพยากรฯ ที่เอื้อให้การสร้างโรงไฟฟ้าขยะทุกขนาดไม่ต้องจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โยงไปถึงวาระผลประโยชน์ซ่อนเร้น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้เอกชนผูกขาดบางราย มีสิทธิกอบโกยผลกำไรจากการทำโครงการไฟฟ้าขยะอย่างอิ่มหนำสำราญ
โครงการโรงไฟฟ้าขยะเดินทางมาเสาะแสวงหาเทียบเคียง ที่ทางเหมาะเจาะ อย่างแม่น้ำไหลผ่าน ห่างไกลชุมชนพอควร ที่หน้าบ้านของเขา “ลุ่มน้ำแม่ทา จังหวัดลำพูน” ผืนดินอุดมสมบูรณ์ หลากหลายชนิดพรรณนานา อาหาร และปลา พวกเขาเติบโตและมีชีวิตด้วยผืนดินและแม่น้ำทาสายนี้
“ลำน้ำแม่ทามีความยาวเกือบ 98 กิโลเมตร มีขุมขนกว่า 200 กว่าชุมชนที่ใช้ประโยชน์พึ่งพาลำน้ำแม่ทา การสร้างโรงไฟฟ้าขยะที่รัศมีห่างแค่ 20 กิโล ก็นับว่าเป็นตัวเลขที่ห่างไกลจากชุมชน แต่สารพิษ ควันพิษ มันถูกเผา ถูกปล่อยออกมาทุกวี่ทุกวัน 24 ชั่วโมง ไม่ช้าไม่นานมันก็ต้องมาถึงหน้าบ้านเราเข้าสักวัน” เครือข่ายนิเวศน์ลุ่มน้ำแม่ทา
“ไม่ช้า ไม่นาน มันต้องมาถึงหน้าบ้านเราสักวัน…” คำพูดของนุ – วิษณุ ดวงปัน จากเครือข่ายนิเวศน์นิเวศน์ลุ่มน้ำแม่ทา กระตุกจิตใต้สำนึกบางอย่างตอนเรายังเด็ก ที่มองว่าขยะเป็นเรื่องไกลตัวเสมอ ใช้เสร็จก็ทิ้ง เดี่ยวไม่ช้าไม่นานก็มีคนมาจัดการ หลังจากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องของเราแล้ว
ทว่าขยะไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกแล้ว เฉกเช่นเดียวกับเรื่องการเมือง ที่มองไม่เห็น แต่หายใจอยู่รดต้นคอ
จากการประเมินผลและติดตามการปฏิบัติงานด้านการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชน ปี 2565 (รายงานจากกระทรวงมหาดไทย) ลำพูนได้รับแชมป์เรื่องการจัดการขยะดีเด่นและยั่งยืน 4 ปี ติดต่อกัน พ่วงด้วยโครงการดี ๆ อีกมากมายเรื่องการจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืน อย่าง
2561 – โครงการ No Foam ลำพูนเมืองสะอาดปราศจากโฟม
2562 – โครงการ คนลำพูนร่วมใจ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก หูหิ้ว
2563 – กองทุนแลกเปลี่ยนขยะไร้ค่าให้ต่อชีวาผู้ป่วย เพื่อนำรายได้ไปซื้อเครื่องช่วยหายใจแก่ผู้ป่วยยากไร้
การได้รับแชมป์เรื่องการจัดการขยะดีเด่นต่อเนื่องกัน 4 ปี ก็เป็นเครื่องหมายยืนยันแล้วไม่ใช่หรือ ว่าจังหวัดลำพูนสร้างความตระหนักรู้ ตั้งแต่ระดับครัวเรือน ชุมชน สู่จังหวัด คำถามที่น่าสงสัยคือ จังหวัดทจัดการขยะดีเด่นแบบนี้ จะต้องการโรงไฟฟ้าขยะไปเพื่ออะไร พวกเขาสร้างขยะรายวันไม่เท่าจำนวนขยะตามกำลังผลิตที่โรงไฟฟ้าต้องการด้วยซ้ำ
“โรงไฟฟ้าเผาขยะต้องนำเข้าขยะ 550 ตันต่อวัน แต่ขยะมูลฝอยที่จังหวัดลำพูนเรามีอัตราการการทิ้งแค่ 144 ตันต่อวัน นั้นหมายความว่าเขาต้องเอาขยะจากจังหวัดข้างเคียงเพิ่มให้มันครบ คำถามคือท้ายที่สุด เราจะแก้ปัญหาเรื่องขยะ หรือมีวาระซ่อนเร้นที่ภาครัฐไม่กล้าให้ความชัดเจนกับเรา การจัดการขยะมูลฝอยด้วยโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุและรวมศูนย์ มันไม่ได้ส่งเสริมการแก้ปัญหาระดับครัวเรือน อย่างการแยกขยะที่ครัวเรือน การรีไซเคิล หรือการบริโภคที่ยั่งยืน” เครือข่ายนิเวศน์ลุ่มน้ำแม่ทา
ไม่มีใครทนเห็นความอยุติธรรมเกิดบนหน้าบ้านของตัวเอง กระแสลุกฮือกันของชุมชนแม่ทาและขุมชนในพื้นที่ใกล้เคียง เครือข่ายภาคประชาชน ต่อสู้ทั้งในเชิงข้อมูลยื่นหนังสือและชี้แจงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในนาม ‘เครือข่ายนิเวศน์ลุ่มน้ำแม่ทา’ การรวมของผู้คนที่ไม่อาจทนเห็นบ้านของตัวเองถูกทำลาย
โรงไฟฟ้าขยะเป็นตัวจุดประกายให้เกิดการรวมตัวกันของพลังภาคประชาชนอย่าง ‘เครือข่ายนิเวศน์ลุ่มน้ำแม่ทา’ ? เราตั้งคำถาม
เมื่อนับจบตบทบกันไป ย่างเข้าปีที่ 8 แล้วที่เครือข่ายลุ่มน้ำแม่ทา และพลังของภาคประชาชนโอบกอด ช่วยเหลือบ้านของกันและกัน การผลักดันส่งเสียงถึงภาครัฐ ยกระดับการเคลื่อนไหว จัดเวทีเสวนาสาธารณะ ‘ลำพูนเสวนา สัญจร ฟังเสียง คนทาขุมเงิน’ ขับเคลื่อนประเด็นเชิงนโยบาย การทำงานขับเคลื่อนสร้างพลังแก่เยาวชน อย่าง เยาวชนลุ่มน้ำทาที่จัดนิทรรศการแสดงภาพวาดถึงข้อเรียกร้องที่ไม่ควรสร้างโรงไฟฟ้าขยะ และ Voice of Youth of Change – พื้นที่ส่งเสียงของเยาวชนลุ่มน้ำทา
เรียกได้ว่าทำทุกอย่างเท่าที่ประชาชนคนหนึ่งจะใช้สิทธิที่ตนพึงมีได้อย่างเต็มที่ แต่ภาครัฐก็ไม่หือไม่อือ คล้ายกับตำน้ำพริกละลายแม่น้ำอย่างไรอย่างนั้น แม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ ทางรัฐจะบอกว่า ยังไม่มีการดำเนินการก่อสร้างโครงร่างใด ๆ แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการทำประชาพิจารณ์ความชัดเจนและความตรงไปตรงมาของการดำเนินก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะ ท่าทีของภาครัฐไม่สามารถทำให้ประชาชนไว้เนื้อเชื่อใจได้เลย
“มันเลยต้องทำแบบนี้ ช่วยกันเป็นหูเป็นตา สอดส่องดูแลกันต่อไป” (ไม่ประสงค์ออกนาม) , กล่าวมาด้วยเสียงแห่งความหวังถึงอนาคตของบ้านเกิด
ลมหายใจไม่มีม่านกั้นพรมแดนทางมลพิษ
จากรายงานสถานการณ์ขยะมูลฝอยจากกรมควบคุมมลพิษพบว่า ประเทศไทยมีปริมาณขยะเพิ่มมากขึ้นทุกปี ตอนนี้รวมกันอยู่ที่ 27 ล้านตัน/ปี หรือคิดเป็นตัวเลขง่าย ๆ เลย คนไทยเราสร้างขยะถึงวันละ 1.14 กิโลกรัมต่อคนและต่อวัน (สถาบันวิจัยสภาพแวดล้อม จุฬา,2565) ลองคิดสภาพเล่น ๆ ดูว่า ขยะเอ่อล้นทั่วเมืองกองเป็นภูเขาอย่างในหนังเรื่อง หมานคร (2004) ชีวิตจริง มันคงไม่มีใครขึ้นไปทำเท่ห์บนกองขยะ มีบทสทนาลึกซึ้ง ชิค คูล แบบนั้น
มันเป็นความสับสนอลหม่านใจ ว่า โรงไฟฟ้าขยะที่ดูเหมือนจะแปรสภาพขยะล้นเมืองให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้า กลับดูมีทีท่าในระยะยาวที่อาจส่งผลเสียในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านสุขภาพของชุมชนบริเวณใกล้เคียง หรือปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม อากาศ และน้ำ แม้นกลไกการเปลี่ยนเชื้อเพลิงขยะเข้าสู่การผลิตไฟฟ้า ได้มีการออกแบบมาอย่างดี และต้องคัดเลือกขยะที่พร้อมเป็นเชื้อเพลิง และมีคุณสมบัติที่ตรงต่อการเผาไหม้สมบูรณ์ (เผาไหม้ที่ไม่หลงเหลือแก๊สเสีย หรือแก๊สพิษใด ๆ) แต่เราจะวางใจได้อย่างไร ว่าระหว่างนั้นจะไม่มีความเสี่ยงเกิดขึ้นเลย
การคัดแยกขยะมูลฝอยให้ผ่านกระบวนการแปรรูปเพื่อปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพและทางเคมีนั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก และหากคัดแยกขยะพลาสติก PVC (Poly Vinyl Chloride) อย่างเช่นพวก ท่อ PVC ผ้าร่ม สลากใสขวดน้ำ ออกไม่หมด การเผาสารที่มีองค์ประกอบทางคลอรีนพวกนี้มันจะทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง ที่มีชื่อว่า ‘ไดออกซิน’ และยังเกิด ‘กรดเกลือ’ ที่ค่อย ๆ ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจหากสูดดมเข้าไป ความเป็นพิษต่อระบบประสาท ความผิดปกติในทารก ส่งให้อัตราการตายของทารกในช่วงตั้งครรภ์สูง มีผลถึงการเจริญเติบโตที่ช้ากว่าปกติของทารก บางรายอาจรุนแรงถึงการเกิดมามีรูปร่างผิดปกติ นี้ยังไม่นับรวม ระบบบำบัดคุณภาพอากาศ ระบบบำบัดคุณภาพน้ำจากโรงงานก่อนปล่อยลงสู่ลำน้ำแม่ทาสาธารณะ
โรงไฟฟ้าจะตั้งห่างไกลจากชุมชนเกือบ 20 กิโลเมตร และรับขยะมูลฝอยแค่เฉพาะพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง อย่าง เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง สุโขทัย แต่สายน้ำแม่ทา อากาศที่ชุมชนลุ่มน้ำแม่ทาใช้ประโยชน์และหายใจเข้าไปไม่ได้มีม่านกั้นทางพรมแดนมลพิษเหล่านี้ และมันยังคงเป็นคำถามที่ว่า
สรุปแล้ว โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะนั้น มีไว้เพื่อพิทักษ์หรือปล่อยมลพิษสู่ชุมชนกันแน่?
หากมองภาพรวมถึงสถานการณ์ประเทศไทยปัจจุบันต่อปัญหาเรื่องการจัดการขยะ นอกเหนือไปจากเรื่องขยะมูลฝอยบริโภครายวัน ประเทศไทยเผชิญวิกฤตขยะติดเชื้อจากช่วงสถานการณ์โควิด ขยะอิเล็คทรอนิกส์ และวิกฤตขยะข้ามชาติเรื่องการนำเข้าขยะพลาสติกเป็นต้น ๆ ของโลก ในช่วง 2560 – 2561 หลังจากจีนออกนโยบายห้ามนำเข้าขยะพลาสติกรีไซเคิลผสม เมื่อเทียบเคียงดูตัวเลขใกล้ ๆ จาก Roadmap การจัดการขยะพลาสติก 2562 – 2570 ไทยนำเข้าขยะพลาสติกเป็นอับดับ 2 ของโลก 8.1 % รองจากมาเลเซียที่นำเข้าถึง 15.7 % แม้เป้าหมายในช่วง 8 ขวบปีนี้ ไทยพยายามกวดขันเรื่องการจัดการขยะ อย่าง ลด/เลิกใช้ บรรจุภัณฑ์พลาสติก 7 ประเทศ
1. พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่ม
2. ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่มีส่วนผสมของสารประเภทอ็อกโซ่
3. ไมโครบิตจากพลาสติก
4. ถุงหูหิ้วความหนา <36 ไมครอน
5. กล่องโฟมบรรจุอาหาร
6. แก้วพลาสติกใช้ครั้งเดียว ความหนา <300 ไมครอน
7. หลอดพลาสติก
เรารู้สึกว่า เมื่อลมหายใจไม่มีม่านกั้นพรมแดนทางมลพิษ ขยะของเธอและฉัน ต่างเป็นของเราทุกคนทั้งหมด ดังนั้นเรื่องขยะของคนชุมชนแม่ทาก็เป็นเรื่องของเราทุกคนไม่ต่างกัน….
ความหวัง ภาพฝันถึงปัญหาทรัพยากร
“เมื่อจะตาย ก็ขออย่าให้ตายอย่างโง่ๆ อย่างบ้าๆ คือตายในสงครามที่คนอื่นก่อให้เกิดขึ้น ตายในสงครามกลางเมือง ตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ ตายเพราะน้ำหรืออากาศเป็นพิษ หรือตายเพราะการเมืองเป็นพิษ” จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน , ป๋วย อึ้งภากรณ์
จู่ ๆ ระหว่างฟังเสียงของนุ – วิษณุ ดวงปัน ที่ตัวแกย้ายส้มโนครัวเรือนจากตัวอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย มาแต่งงาน ใช้ชีวิตคู่กับหญิง- พฤติพร จินา เกิดเครือข่ายนิเวศน์ลุ่มน้ำแม่ทา มีลูกตัวน้อยวัยกำลังน่ารักน่าซนอยู่ 1 คน เราถามแกว่า ภาพหวังและภาพฝันของผู้คนที่ต่อสู้เพื่อสิทธิและเสียงของประเด็นทรัพยากรคืออะไร แกมองไปที่ลูกของแก และตอบคำถามสั้น ๆ เพียงแค่ว่า ‘ก็เพราะคนนี้ล่ะมั้ง’
นั้นเป็นเหตุผลที่เราก็นึกถึง ความฝันของอาจารย์ป๋วยขึ้นมา
‘ตายเพราะน้ำหรืออากาศที่เป็นพิษ หรือตายเพราะการเมืองเป็นพิษ’
สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกได้ ว่าความฝันที่เราทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกัน คือภาพฝันและความหวังที่อยากอยู่ในบ้านที่ปลอดภัย ทั้งทางสุขภาพกายและใจ ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกกังวลว่าจะตายเพราะอาหารและอากาศที่กิน สูดดมเข้าไป เราเองก็มีความฝันที่อยากมีครอบครัวเล็ก ๆ ในบ้านหลังเล็ก ๆ ที่มีโอกาสให้เขาได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดี และมองเห็นเขาเติบโต เฉกเช่นนี้ ก็คงไม่ต่างจากชุมชนน้ำแม่ทาหลาย ๆ คน ที่อยากช่วยกันรักษา ดูแลบ้านที่เกิดและครอบครัวอันเป็นที่รัก
ปัจจุบันเครือข่ายนิเวศน์ลุ่มน้ำแม่ทา เกิดจากผู้คนหลากหลายจับมือถือแขนช่วยกัน ทั้งจากเครือข่ายชาติพันธุ์ เครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืน เครือข่ายภาคประชาชน ที่ต่างอยากเห็นวิถีชีวิตทุกคนอยู่บนฐานของสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมบนประชาธิปไตยที่ดีและเท่าเทียม
แม้ถนนหนทางจะยาวนานเข้าปีที่ 8 ซึ่งดูเหมือนจะเป็นถนนที่ทอดยาวออกไปอีก และไปสิ้นสุดที่ไหน (ตัวผู้เขียนเองก็ไม่อาจทราบได้) แต่ผู้คนที่ผลัดเปลี่ยนเวียนเข้ามาช่วยก่อสร้างถนนสายนี้ มีมากหน้าหลายตา และหลากหลาย แต่สิ่งหนึ่งที่ยังยึดเหนี่ยวพวกเขาเหล่านั้น ไว้ซึ่งกันและกัน เพราะทุกคนอยากเห็นความเป็นประชาธิปไตยในเรื่องการจัดการทรัพยากรที่เท่าเทียม
เกี่ยวกับผู้เขียน |
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...