เรื่อง: ปวีณา หมู่อุบล
คำฮักน้องกูปี้จักเอาไว้ในน้ำก็กลัวหนาว
จักเอาไว้พื้นอากาศกลางหาว ก็กลัวหมอกเหมยซอนดาวลงมาคะลุม
จักเอาไปใส่ในวังข่วงคุ้มก็กลัวเจ้าปะใส่แล้วลู่เอาไป
ก็เลยเอาไว้ในอกในใจตัวชายปี้นี้
จักหื้อมันไห้อะฮิอะฮี้ ยามปี้นอนสะดุ้งตื่นเววา
เชื่อว่ากลอนแสนโรแมนติกที่ประพันธ์โดย อ.สมเจตน์ วิมลเกษม บทนี้ คงจะทำให้ใครหลายคนนึกถึงภาพ “กระซิบรัก” จิตรกรรมฝาผนังอันโด่งดังในอุโบสถของวัดภูมินทร์แห่งเมืองน่าน และความเชื่อที่ว่าหากคู่รักใดได้มาบอกรักกันต่อหน้าภาพดังกล่าวแล้วจะสุขสมหวัง สมความปรารถนาในเรื่องของความรักและชีวิตคู่
เกี่ยวกับความเชื่อดังกล่าว ผู้เขียนเองก็เคยได้ยินมาบ้าง หากแต่ไม่ได้มีการเฝ้าติดตามว่าคู่รักที่ปฏิบัติตามความเชื่อดังกล่าวนั้นประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด ทว่าสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ ภาพกระซิบรักได้เป็นเสมือนสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองน่าน และดูจะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการท่องเที่ยวของจังหวัด โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ เช่นในปีที่ผ่านมา ได้ปรากฏว่ามีการจัดกิจกรรมงานเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวขึ้น โดยเป็นงานแต่งงานหมู่ที่ชื่อว่า “เกี่ยวก้อยร้อยรักกระซิบฮักเมืองน่าน” เพียงแค่ชื่องานก็เป็นที่เชื่อได้แล้วว่ามีแรงบันดาลใจมาจากภาพวาดดังกล่าวอย่างแน่นอน
กระนั้นเลยก็เกิดเป็นความสงสัยขึ้นมาว่า นอกเหนือจากมุมมองเรื่องความรักและความโรแมนติกแล้ว ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดภูมินทร์มีน่าความสนใจในแง่มุมอื่นใดอีก? จึงได้มานั่งพิจารณาภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสภวัดภูมินทร์อีกครั้ง โดยเฉพาะในส่วนของ “ภาพกาก” พร้อมกับหาข้อมูลประกอบ และได้พบว่าภาพดังกล่าวมีความน่าสนใจอย่างยิ่งในแง่สะท้อนให้เห็นแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ของหนุ่มสาวนครน่าน ในช่วงหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน อันเป็นแฟชั่นที่ผสมผสานกันระหว่างความเป็นล้านนาและพม่า
“ภาพกาก” คืออะไรในงานจิตรกรรมฝาผนัง?
เป็นที่คุ้นเคยกันดีว่าภาพจิตรกรรมฝาผนังตามวัดวาอารามต่างๆ มักเป็นภาพขนาดใหญ่ที่รวมทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน แต่รู้หรือไม่ว่าโดยปกติแล้ว ภาพจิตรกรรมฝาผนังมีองค์ประกอบพื้นฐาน 2 ประการด้วยกัน คือ 1) ภาพหลัก และ 2) ภาพกาก
ภาพหลัก จากชื่อก็ชัดแล้วว่าเป็นส่วนหลักของภาพ ซึ่งเรื่องราวในภาพหลักถือเป็นใจความสำคัญของสิ่งที่ผู้วาดต้องการนำเสนอ และโดยมากของภาพหลักในงานจิตรกรรมฝาผนังตามวัดวาอารามต่างๆ คือเรื่องราวในพุทธศาสนา อาทิ พุทธประวัติ หรือชาดกต่างๆ ขณะที่ภาพกาก ถือได้ว่าเป็นส่วนประกอบของภาพหลักอีกทีหนึ่ง มักไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือสารของภาพหลักในทางตรง เพียงแต่ช่วยทำให้ฉากนั้นมีความสมบูรณ์ มีชีวิตชีวา และน่าดูมากขึ้น
กล่าวได้ว่าความสำคัญของภาพกากคือ สะท้อนให้เห็นบริบทของสังคมร่วมยุคสมัยกับศิลปินผู้วาด อาทิ สภาพบ้านเรือน วิถีชีวิตหรือความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยนั้น ลักษณะการแต่งกาย ความมากหน้าหลายตาของผู้คนในชุมชนหนึ่งๆ ความบันเทิงและความสนุกสนาน เช่น การละเล่น หรือการแสดงมหรสพ ตลอดจนอารมณ์ขันต่าง ๆ ที่ไม่สามารถนำไปใช้กับตัวละครในภาพหลักได้
สำหรับภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดภูมินทร์ ปรากฏว่า “หนานบัวผัน” ศิลปินผู้วาดภาพได้สอดแทรกไลฟ์สไตล์และแฟชั่นของของหนุ่มสาวชาวน่านเมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อนเอาไว้ในส่วนของภาพกาก ซึ่งหมายรวมถึงภาพกระซิบรักอันเลื่องชื่อด้วย
หนานบัวผัน จิตรกรชาวไทลื้อ เจ้าของผลงานภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดภูมินทร์
เกี่ยวกับประวัติและตัวตนของหนานบัวผัน มีผู้ศึกษาไว้เป็นจำนวนหนึ่ง เช่น วินัย ปราบริปู และสน สีมาตรัง และจากการศึกษาก็พบว่าหนานบัวผันเป็นชาวไทลื้อ หากแต่ไม่ใช่ชาวไทลื้อที่มีภูมิลำเนาในนครน่าน ไม่ว่าจะทั้งที่บ้านภูมินทร์หรือบ้านหนองบัวผัว แต่มีประสบการณ์กับวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ของเมืองน่านในช่วงคาบเกี่ยวเจ้าผู้ครองนครน่าน 2 คนคือ เจ้าอนันตวรฤทธิเดช และพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช (หรือระหว่างปี พ.ศ. 2395 – 2435 และปี พ.ศ. 2437 – 2461)
ในแง่การเป็นศิลปิน สันนิษฐานได้ว่าหนานบัวผันได้รับการเรียนรู้ การเขียนภาพจาก ‘ครู’ ผู้เป็นช่างเขียนในเมือง รวมถึงมีความรู้เกี่ยวกับภาพวาดที่วัดในกรุงเทพฯ ด้วย เพราะภาพหนึ่งในสมุดปั๊บสา (สมุดกระดาษสาพับเป็นเล่มๆ ) หรือสมุดสเก็ตภาพของเชื่อว่าเป็นของหนานบัวผันมีภาพ “หนุมาน” อย่างเดียวกับที่ภาพวาดจิตรกรรมที่ระเบียงวัดพระแก้ว (วัดพระศรีรัตนศาสนาดาราม) ปัจจุบันสมุดดังกล่าวถูกเก็บรักษาโดยเจ้าอาวาสวัดหนองบัว
ในฐานะศิลปิน หนานบัวผันได้สร้างรูปแบบการเขียนภาพใบหน้าคนที่เป็นอัตลักษณ์ คือเขียนใบหน้าแบน เขียนเส้นสันจมูกต่อจากหัวคิ้ว มีเส้นร่องจมูกคมชัดและกว้าง เช่นเดียวกับเส้นร่องแก้มที่ชัดเจนจรดมุมปาก เขียนริมฝีปากบางและแต้มสีแดงแต่งขอบในปาก เขียนดวงตาแสดงทิศทางการมอง และแสดงความสนุกในอารมณ์กรุ้มกริ่มด้วยการเขียนตาดำไว้มุมหัวตาและหางตาด้านที่ใบหน้าเอียงหันไป
นอกจากนี้ ยังมีอัตลักษณ์อื่นๆ ในภาพเขียนของหนานบัวผันอีก เช่น การเขียนภาพคนแสดงท่าครุ่นคิด การชอบใช้สีคราม การชอบวาดภาพนก และการชอบใส่อารมณ์ในภาพ รวมไปถึงความละเอียดอ่อนของลวดลายเสื้อผ้าและการแต่งกายของตัวละครในภาพ เป็นต้น
อนึ่ง นอกจากผลงานที่วัดภูมินทร์แล้ว หนานบันผันยังเป็นผู้วาดภาพจิตรกรรมที่อุโบสถวัดหนองบัว ต.ป่าคา อ.ท่าวังผา ด้วย โดยมีหลักฐานสำคัญคือ ภาพร่าง หรือภาพสเก๊ตช์ ที่เขียนด้วยหมึกบนกระดาษปั๊บสา (กระดาษสาพับเป็นเล่ม) ที่เจ้าอาวาสวัดหนองบัวเก็บรักษาไว้สืบต่อกันมา ซึ่งเมื่อมีการเปรียบเทียบลายเส้นภาพวาดก็ทำให้เชื่อได้ว่าเป็นผลงานของหนานบัวผันนั่นเอง
ไลฟ์สไตล์และแฟชั่นหนุ่มสาวชาวนครน่านในภาพกากบนฝาผนังทั้ง 4 ด้านของอุโบสถวัดภูมินทร์
วัดภูมินทร์ถูกสร้างขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 2319 สมัยเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ เจ้าผู้ครองนครน่านลำดับที่ 40 (และ 41) ตัวอุโบสถมีลักษณะเด่นคือ เป็นอาคารทรงจตุรมุข ผังเป็นรูปกากบาท ที่สันนิษฐานได้ว่าเป็นการรับอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมมาจากอานันทเจดีย์ที่เมืองพุกาม ประเทศพม่า เพราะเป็นช่วงที่เมืองน่านอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า ต่อมาวัดได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2410 – 2417 สมัยเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าผู้ครองน่านลำดับที่ 62 (และลำดับที่ 12 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์) และในการบูรณะนี้เองที่หนานบัวผันได้มาฝากผลงานเอาไว้
ซึ่งในการวาดภาพที่อุโบสถวัดภูมินทร์นั้น หนานบัวผันก็ได้ปฏิบัติตามธรรมเนียม คือวาดทั้งภาพหลักและภาพกากรวมเข้าไว้ด้วยกัน โดยภาพหลักที่หนานบัวผันวาดไว้บนผนังแต่ละด้านมีรายละเอียด ดังนี้
ผนังทางทิศเหนือ ด้านบนเป็นภาพพระพุทธเจ้า พระอัครสาวกซ้ายขวา และพระสาวกอื่นๆ ที่กำลังศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย ตอนกลางและล่างเป็นภาพจากชาดกเรื่องคัทธนกุมาร ตอนกำเนิดคัทธนกุมาร และตอนคัทธนกุมารพร้อมสหายทั้งสามออกผจญภัยตามบิดา ตามลำดับ
ผนังทางทิศตะวันออก ด้านบนเป็นภาพพระพุทธเจ้าและสาวก ส่วนตอนกลางและตอนล่างถูกแบ่งออกเป็นฝั่งซ้ายและขวา โดยที่ฝั่งซ้ายเป็นภาพจากชาดกเรื่องคัทธนกุมาร ตอนคันทธนกุมารและสหายพบนางกองสีและปราบงูยักษ์ ขณะที่ฝั่งขวาเป็นตอนคันทธนกุมารพบนางคำสิงและปราบนกยักษ์
ส่วนทางทิศใต้ มีภาพด้านบนเป็นพระพุทธเจ้า พระอัครสาวกซ้ายขวา และพระสาวกอื่นๆ ตอนกลางฝั่งซ้ายมือเป็นภาพจากชาดกเรื่องคัทธนกุมาร ตอนคัทธนกุมารช่วยนางสีดาให้รอดพ้นจากการถูกนางยักษ์จับกินและได้นางสีดาเป็นเมีย ขณะที่ตรงกึ่งกลางเป็นตอนคัทธนกุมารสู้รบกับพี่ชายต่างมารดาเพื่อชิงเมือง และทางด้านขวามือเป็นตอนคัทธนกุมารได้นางสีไวเป็นเมีย
และผนังทางทิศตะวันตก ด้านบนเป็นภาพพุทธประวัติ ตอนพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ตอนกลางเป็นภาพจากทศชาติชาดกเรื่องพระเนมิราช ส่วนที่เหลือตรงบริเวณด้านล่างทั้งทางฝั่งซ้ายและขวาของประตูเป็นภาพกาก โดยที่ฝั่งซ้ายมือนั้นคือภาพกระซิบรักอันเลื่องชื่อนั่นเอง
ในส่วนของภาพกาก ปรากฏว่าหนานบัวผันได้สอดแทรกวิถีถีชีวิตของชาวนครน่านไว้ ทั้งสภาพบ้านเรือน ข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือน และที่โดดเด่นคือ ไลฟ์สไตล์และลักษณะการแต่งกายของหนุ่มสาวชาวน่าน ซึ่งผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างมาให้ดูจำนวนหนึ่ง โดยเริ่มจากแฟชั่นของ “ปู่ม่าน ย่านม่าน” ในภาพกระซิบรัก
ปู่ม่าน ย่าม่าน เป็นอีกชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกภาพกระซิบรัก โดยมาจากตัวอักษรธรรมล้านนาสีขาวซึ่งถูกเขียนกำกับไว้ที่ภาพ มีผู้อธิบายไว้ว่าเป็นคำที่หนานบัวผันเขียนเอาไว้เพื่อระบุว่าชายและหญิงในภาพเป็นชาวพม่า เพราะคำว่าปู่ม่านและย่าม่านมีความหมายว่าผู้ชายและผู้หญิงชาวพม่า
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในส่วนของแฟชั่นจะเห็นว่าปู่ม่าน หรือผู้ชายในภาพกระซิบรัก ขมวดผมไว้กลางกระหม่อมและมีผ้าพันขมวดผมอย่างผู้ชายพม่า นุ่งผ้าลุนตยา สักยันต์สีแดงตามตัวอย่างที่นิยมในหมู่ชาวไทยใหญ่ หรือเงี้ยว และสักลายด้วยหมึกสีดำตั้งแต่ช่วงกลางลำตัวไปจนถึงหัวเข่าอย่างชาวล้านนา
ขณะที่ย่าม่าน หรือผู้หญิงในภาพกระซิบรัก แต่งกายที่ผสมผสานกันระหว่างชาวไทยวน ไทลื้อ และหญิงชั้นสูงชาวพม่า กล่าวคือ ไว้มวยผมทรงสูงกว่าปกติ เป็นลักษณะทรงผมของคนไทยวน ใส่เสื้อแขนยาวดำตามแบบฉบับการแต่งกายผู้หญิงไทลื้อ และสวมทับผ้ารั้งอกสีแดงที่ต่อจากผ้านุ่งลายลุนตะยาโดยปล่อยชายยาวคลุมพื้นดินตามอย่างการนุ่งผ้าของหญิงชนชั้นสูงชาวพม่า อีกทั้งยังสอดแผ่นทองม้วนที่ติ่งหู สวมแหวน และกำไลข้อมือ
ต่อมาคือภาพของหนุ่มสาวชาวเมืองอินทรปัต ซึ่งเป็นฉากหนึ่งของภาพกากในชาดกเรื่องคันทธกุมารที่อยู่บนผนังทางทิศเหนือ ภาพสะท้อนให้เห็นแฟชั่นของหนุ่มสาวชาวนครน่านไว้อย่างชัดเจน โดยแฟชั่นของฝ่ายชายคือไว้ผมทรงหลักแจวหรือทรงมหาดไทย สักลายด้วยหมึกสีดำที่ต้นขายาวลงมาถึงหัวเข่า บางสวมเสื้อแขนยาวทรงกระบอก บ้างถอดเสื้อ และสวมใส่ดอกไม้ประดิษฐ์สีทองที่ติ่งหู
ส่วนแฟชั่นของฝ่ายหญิง คือนุ่งผ้าซิ่นลวดลายคลื่นและห่มคลุมร่างกายส่วนบนด้วยผ้าพลิ้วสีสันสดใส เกล้าผมเป็นมวยสูงและประดับตกแต่งด้วยดอกไม้อย่างสวยงาม นอกจากนี้จะเห็นสังเกตได้ว่าผู้หญิงในภาพนี้เป็นหญิงชนชั้นสูง เพราะสอดแผ่นทองม้วนไว้ที่ติ่งหู
ทั้งนี้ ในภาพหนุ่มสาวชาวเมืองอินทรปัตยังสะท้อนไลฟ์สไตล์อย่างหนึ่งของหนุ่มสาวชาวนครน่านคือ การสูบบุหรี่ขี้โย ซึ่งจากในภาพจะเห็นได้ว่าทั้งผู้หญิงและผู้ชายตรงกลางภาพต่างคีบบุรี่ขี้โยไว้เช่นเดียวกัน
ในส่วนของภาพกากที่สะท้อนไลฟ์สไตล์หรือวิถีชีวิตของชาวน่าน หนานบัวผันก็วาดเอาไว้เช่นกัน เป็นต้นว่า ภาพหญิงสูงวัยกำลังสอนหญิงสาวทอผ้า ภาพบรรดานักดนตรีหนุ่มที่ต่างกำลังบรรเลงกันอย่างออกรส หรือภาพสัตว์เลี้ยงอย่างแมว เป็นต้น
จะเห็นได้ว่านอกจากภาพกระซิบรักแล้ว จิตรกรรมฝาผนังวัดภูมินทร์ยังมีอะไรให้ดูอีกมากซึ่งเนื่อมาจากอัจฉริยภาพของหนานบัวผัน ดังนั้นในคราวต่อไปที่ท่านผู้อ่านมีโอกาสไปเยี่ยมชมวัดภูมินทร์ ก็ใคร่ขอเชิญชวนให้มองหาสิ่งต่างๆ ที่แฝงอยู่ในภาพ ทั้งนี้ก็เพื่อสัมผัสประสบการณ์ใหม่ของการเที่ยวชมภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังที่ในบางครั้งก็มิได้เป็นสิ่งเลื่องชื่อหรือมีผู้กล่าวถึงมากนัก
ปวีณา หมู่อุบล
อดีตนักเรียนประวัติศาสตร์ ปัจจุบันนัก (ลอง) เขียน อนาคตไม่แน่นอน