เผด็จการทหารเมียนมากำลังใช้การเข้าถึงวัคซีนเป็นอาวุธ

แม้มีสื่อรายใหญ่ให้ความสนใจและรายงานบ่อยครั้งเกี่ยวกับการกระทำอันโหดเหี้ยมของเผด็จการทหารพม่าต่อประชาชน แต่เรื่องการควบคุมวัคซีนอย่างเป็นระบบและการปฏิเสธบริการสาธารณสุขเพื่อเป็นเครื่องมือสงครามซึ่งน่ากังวลไม่แพ้กับความรุนแรงทางตรงในเมียนมาและยังเป็นเรื่องที่ได้รับรายงานน้อยอีกด้วย การกระทำอันโหดเหี้ยมที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนนี้ไม่เพียงเกิดขึ้นในเมียนมาแต่เกิดในภูมิภาคอื่นอีกด้วย 

เมียนมาถูกทำลายด้วยความรุนแรงจากเผด็จการทหารตั้งแต่การยึดอำนาจในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2021 กองทัพเมียนมาใช้กำลังทหารและกลุ่มอันทพาลเพื่อต่อสู้กับประชาชนเมียนมาทำให้เกิดการเผาหมู่บ้าน การสังหาร การจับกุมจำนวนมาก การข่มขืน การทรมาณ และการกระทำอันโหดเหี้ยมอีกมากมายที่ยังไม่กล่าวถึง

ประชาชนและกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่ในเมียนมากำลังต่อสู้อย่างสุดความสามารถด้วยการจับอาวุธขึ้นสู้และขบวนการอารยะขัดขืน (non-violent Civil Disobedience Movement:CDM) ขณะนี้พื้นที่จำนวนมากอยู่ภายใต้กองกำลังป้องกันประชาชน (People’s Defense Forces:PDFs) และพันธมิตรคือกองกำลังชาติพันธุ์ต่าง ๆ ซึ่งได้มาด้วยการต่อสู้อย่างมุ่งมั่น กระนั้นเผด็จการทหารใช้กลยุทธผลาญภพกับประชาชนที่ถูกมองว่าสนับสนุนกองกำลังปกป้องกระชาชนและกองกำลังชาติพันธุ์นำไปสู่หมู่บ้านที่ถูกเผานับไม่ถ้วยและการผลัดถิ่นของประชาชนกว่า 1.9 ล้านคน

ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งที่ยังดำเนินอยู่ สถานการณ์สาธารณสุขกำลังล่มสลายโดยเฉพาะในแง่ของการป้องกันโรคเช่นการโครงการฉีดวัคซีนระดับชาติ ความละเลยและไร้ความสามารถของกระทรวงสาธารณสุขของเผด็จการทหารทำให้ปัญหาด้านการป้องกันโรคแย่ลงในระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ปัญหานี้ไม่ใช่เพียงปัญหาระดับชาติแต่เป็นปัญหาความมั่นคงระดับภูมิภาค เมื่อประชากรจำนวนมากไม่ได้รับวัคซีนและเป็นผู้อพยพที่เปราะบางรวมถึงเด็กอีกหลายพันคนเมียนมาจึงกลายเป็นสถานที่ที่โรคติดต่อสามารถแพร่กระจายได้อย่างง่ายดาย เช่นกรณีโควิด 19 การแพร่ระบาดข้ามชายแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างง่ายดายนำไปสู่ความไม่มั่นคงในภูมิภาค

การสร้างภูมิคุ้มในวัยเด็กเป็นทั้งสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและบริการสาธารณสุขที่สำคัญสำหรับความเป็นสุขของชุมชน เผด็จการทหารได้ใช้บริการสาธารณสุขที่สำคัญเป็นอาวุธเพื่อผลประโยชน์ด้วยการเลือกให้บริการ เผด็จการทหารเลือกการให้บริการวัคซีนบนพื้นฐานของความภักดีต่อเผด็จการทหาร เงื่อนไขที่บังคับขู่เข็ญเช่นนี้ละเมิดสิทธิการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของประชาชนโดยปราศจากอิทธิพลทางการเมือง

ผลลัพธ์ของการกระทำเหล่านี้ทำให้อัตราการฉีดวัคซีนโรคติดต่อทั่วไปร่วงลงอย่างน่าอันตรายซึ่งเห็นได้จากข้อมูลในเอกสารรายงานทบทวนโครงการขยายการสร้างภูมิคุ้มกันประจำปีในเดือนมิถุนายน ปี 2022 

อัตราการฉีดวัคซีน BCG (วัคซีนต้านวัณโรค) ตกลงจาก 87 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่เขาถึงได้เป็น 48 เปอร์เซ็นต์จากปี 2020 ถึง 2021 อัตราการฉีดวัคซีนเพนตา3 (วัคซีน 5 โรคใน 1 เข็ม ที่ป้องกันคอตีบ, บาดทะยัก, ไอกรน, ตับอักเสบ B, ไข้หวัด) ตกลงจาก 84 เปอร์เซ็นต์เป็น 37 เปอร์เซ็นต์ วัคซีน OPV3 (วัคซีนโปลิโอ) ลดลงจาก 86 เปอร์เซ็นต์เป็น 43 เปอร์เซ็นต์ วัคซีน MR1 (วัคซีนหัด) ลดลงจาก 91 เปอร์เซ็นต์เป็น 44 เปอร์เซ็นต์ และวัคซีนไข้สมองอักเสบเจอีลดลงจาก 87 เปอร์เซ็นต์เป็น 7 เปอร์เซ็นต์ ข้อมูลจากรายงานไม่เป็นทางการเปิดเผยว่าอัตราการฉีดวัคซีนที่ลดลงข้างต้นยิ่งเลวร้ายลงในขณะนี้

ที่น่าตกใจไปกว่านั้น เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของเผด็จการทหารไม่ได้มีความพยายามที่จะรับรู้กับสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกับการแจกจ่ายวัคซีนของเผด็จการทหารในช่วงเวลาแพร่ระบาดของโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุขของรัฐบาลเงาเมียนมาซึ่งเป็นฝ่ายประชาธิปไตย เสนอให้องค์กรที่เป็นบุคคลที่สามเข้ามาบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 ในพื้นที่ที่กองกำลังปกป้องประชาชนหรือกองกำลังชาติพันธุ์ควบคุมรวมถึงทุกพื้นที่ของประเทศ แต่องค์กรภาคประชาสังคมระดับต่างประเทศ องค์การอนามัยโลก และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของเผด็จการทหารต่างเมินเฉยต่อข้อเสนอนี้ กระทรวงสาธารณสุขของรัฐบาลเงาเมียนมาจึงถูกบังคับให้ต้องซื้อวัคซีนจากบริษัทเอกชนโดยใช้งบประมาณของตนเอง

กระทรวงสาธารณสุขของรัฐบาลเงาเมียนมาได้ร่วมมือกับองค์การสาธารณสุขที่มีอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ปลดปล่อยที่ครอบครองโดยกองกำลังปกป้องประชาชนและกองกำลังชาติพันธุ์พร้อมด้วยองค์กรภาคประชาสังคมที่ช่วยเหลือด้านวัคซีนและบริการสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุขของรัฐบาลเงาเมียนมาส่วนใหญ่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่หนีจากเผด็จการทหารมาเข้าร่วมชบวนการอารยะขัดขืน องค์การสาธารณสุขของกลุ่มชาติพันธุ์และกระทรวงสาธารณสุขของรัฐบาลเงาเมียนมาได้บริหารจัดการวัคซีนกว่า 37,716 โดสในพื้นที่ปลดปล่อยและยังคงดำเนินการฉีดวัคซีนให้ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์และเด็กในหลายพื้นที่

กระทรวงสาธารณสุขของรัฐบาลเงาเมียนมาได้ออกแถลงการณ์แสดงสถานะเป็นกลางมาเป็นเวลานานในขณะที่ร้องขอให้องค์กรในสหประชาชาติและองค์กรภาคประชาสังคมเข้ามาช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมบนพื้นฐานของหลักการ 3 ข้อคือ “ประชาชนมาก่อน” ”โปร่งใสอย่างที่สุด” และ ”การสื่อสารที่เท่าเทียมและสมดุล”กับทุกผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ในขณะนี้องค์กรช่วยเหลือได้ส่งการข่วยเหลือทางมนุษยธรรมส่วนใหญ่ให้กับเมียนมาผ่านพื้นที่ที่เผด็จการทหารควบคุมและสถาบันของเผด็จการทหาร เรื่องนี้ทำให้กองทัพเมียนมาใช้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเป็นอาวุธกับประชาชน กลยุทธเหล่านี้ถูกใช้โดยเผด็จการอื่นด้วย เช่น บาชาร์ อัล อัซซาด ในซีเรียซึ่งเป็นเรื่องที่นาตาชา ฮอลล์(Natasha Hall)และเอ็มม่า บีลส์(Emma Beals)ได้เขียนถึงอย่างกว้างขวาง 

หนึ่งในตัวอย่างที่เลวร้ายที่สุดของการใช้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมและความช่วยเหลือทางการแพทย์เป็นอาวุธคือการเยือนเมียนมาที่ล้มเหลวของมาร์ติน กริฟฟิธ(Martin Griffith) ผู้เป็นหัวหน้าของสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สหประชาชาติระดับสูงที่สุดที่เคยเยือนเมียนมาตั้งแต่เกิดรัฐประหาร ซึ่งเผด็จการทหารไม่แสดงความร่วมมือแต่อย่างใด

กระทรวงสาธารณสุขของรัฐบาลเงาเมียนมายึดถือสวัสดิภาพของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ ด้วยความชื่อที่ว่าความช่วยเหลือจากสังคมนานาชาติและองค์กรภาคประชาสังคมสำคัญที่ช่วยหลายพันชีวิต มีขั้นตอนอีกหลายขั้นที่ต้องทำเพื่อส่งความช่วยเหลือไปยังที่ที่ต้องการ ยกตัวอย่างเช่น องค์กรสิทธิมนุษยชนและองค์กรนานาชาติต้องเก้บข้อมูลการใช้การฉีดวัคซีนเพื่อควบคุมคน ประณามการกระทำนี้ และเปิดเผยออกมาผ่านรายงาน พวกเขาต้องทำงานร่วมกับองค์กรสาธารณสุขของชาติพันธุ์ในพืนที่ปลดปล่อยเพื่อส่งความช่วยเหลือทางการแพทย์ผ่านจุดที่เข้าถึงได้ในประเทศจีน ไทย อินเดีย บังคลาเทศ ท้ายที่สุดสหประชาชาติและองค์การช่วยเหลือควรเข้าหาประชาคมอาเซียนเพื่อยืนยันในการสร้างระเบียงความช่วยเหลือในเมียนมา

การทำให้การเข้าถึงความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมในพื้นที่ความขัดแย้งของเมียนมารวมถึงการจัดการวัคซีนเป็นเรื่องที่สำคัญ การร่วมมือกันระหว่างองค์กรที่จัดตั้งมาอย่างดีในพื้นที่จะเป็นก้าวใหญ่ในการเพิ่มผลกระทบเชิงบวกของการช่วยเหลือและลดความสิ้นเปลือง กระทรวงสาธารณสุขของรัฐบาลเงาเมียนมาได้ตั้งหน่วยเฉพาะกิจเพื่อร่วมมือทางการแพทย์และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ซึ่งพร้อมที่จะร่วมมือจนถึงที่สุด ทุกวันที่ผ่านไปโดยไม่มีการการแก้ไขผู้คนอีกมากจะเสียชีวิตลงและพื้นที่เหล่านั้นจะตกอยู่ในอันตราย ถึงเวลาแล้วที่จะลงมือแก้ปัญหา


ข้อมูล

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง