นักปกป้องสิทธิเปิดปฏิบัติการฟ้องนโยบายแร่แก้โลกเดือด ลั่นเดินฟ้องกันยานี้

วันสิ่งแวดล้อมโลก นักปกป้องสิทธิฯ เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่และองค์กรภาคีเครือข่ายเปิดปฏิบัติการทวงคืนสิ่งแวดล้อมที่ดี “ฟ้องนโยบายแร่เพื่อแก้โลกเดือด” ระบุเหมืองขุดเจาะและพรากการมีคุณภาพชีวิตที่ดีไปจากประชาชน ลั่นเดินหน้าฟ้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกันยายนนี้

สืบเนื่องจากวันที่ 5 มิถุนายนของทุกปีถูกกำหนดให้เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก สำหรับปีนี้สภาวะโลกเดือดกลายเป็นปัญหาหลักที่สร้างผลกระทบให้กับประชาชนทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากสภาพอากาศที่แปรปรวน   ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่  ร่วมกับโครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ (PPM) มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (Enlaw) มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน (CRC) องค์กร Protection International (PI) ซึ่งประกอบไปด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากหลากหลายเครือข่ายที่ได้รับผลกระทบและกำลังจะได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองจึงได้ร่วมกันเปิดปฏิบัติการฟ้องยกเลิกนโยบายเพื่อแก้โลกเดือด 

ปัญหาเรื่องเหมืองแร่เป็นตัวการทำให้เกิดสภาวะโลกเดือด

จุฑามาส ศรีหัตถผดุงกิจ ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนโครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ (PPM) กล่าวว่า เราเห็นถึงความจำเป็นจากสถานการณ์เหมืองแร่ในปัจจุบันที่ตอนนี้กลายเป็นปัญหาหลักของประเทศ และเป็นปัญหาที่พี่น้องออกมาเรียกร้องในหลาย พื้นที่ และหากเราติดตามการเคลื่อนไหวจะเห็นได้ชัดพอสมควรว่าส่วนที่เป็นปัญหาคือแผนแม่บทบริหารจัดการแร่ที่ปัจจุบันเป็นปัญหาอย่างมากกับทุกพื้นที่ ทั้งเรื่องของแนวแนวคิดและการปฏิบัติ ที่แผนแม่บทตัวนี้มีหลายเรื่องที่ขัดกับ พ.ร.บ.แร่ปีพ.ศ.  2560 ซึ่งสถานการณ์โลกเดือดในขณะนี้เราก็คิดว่าประเด็นปัญหาเรื่องเหมืองแร่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากๆ ที่เป็นตัวทำลายทรัพยากรจนทำให้เกิดสภาวะโลกเดือดขึ้น       

ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนโครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ (PPM) กล่าวอีกว่า หลายคนจะมองข้ามไปที่แร่แต่ไม่ได้คิดถึงว่าก่อนที่จะมาเป็นแร่เขาเคยเป็นอะไรมาก่อน เหมืองหินเรามองเห็นแค่เหมืองเห็นแต่ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นภูเขาทั้งลูกที่มีระบบนิเวศที่สำคัญต่อชุมชนหรือแม้แต่เหมืองถ่านหินหรือเหมืองทองเองก็อยู่ในพื้นที่ที่เป็นป่าอุดมสมบูรณ์สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่คนไม่เคยเห็นและการทำให้เกิดเหมืองแร่ขึ้นต่อไปในประเทศเรื่อยๆ หมายความว่าเรากำลังสูญเสียทรัพยากรเหล่านี้โดยเฉพาะทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้นเรื่อยๆ                

จุฑามาสกล่าวว่า สำหรับเหมืองแร่ในประเทศไทยชนิดที่น่าเป็นห่วงมาในตอนนี้อย่างแรกเลยคือเหมืองโปแตชที่มีอยู่มากในภาคอีสาน ที่ตอนนี้กำลังกลายเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลเศรษฐา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีการทำเหมืองแล้วคือผลกระทบที่มันทำลายล้างผืนดิน ชาวบ้านที่อยู่รอบบริเวณเหมืองไม่สามารเพาะปลูกอะไรได้อีกแล้ว พอมันเกิดขึ้นจึงต้องถูกตั้งคำถามและต้องถูกตรวจสอบก่อนที่จะมีการเปิดขยายเหมืองแร่ชนิดนี้ออกไปทั้งในจังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ สกลนคร หรืออุดรธานี ที่เป็นแหล่งแร่ขนาดใหญ่ นี่เป็นสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญกับผลกระทบที่เกิดขึ้น   

ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนโครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ (PPM) กล่าวอีกว่า เหมืองชนิดที่สองคือเหมืองหิน ที่ตอนนี้กลายเป็นเป้าหมายหลักอีกหนึ่งอย่างของรัฐบาลที่เป็นข้ออ้างในเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้ต้องมีการใช้หินจำนวนมากทั้งหินอุตสาหกรรมก่อสร้างและหินปูน แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นคือมันทำลายระบบนิเวศหลักของคนในชุมชนของคนในท้องถิ่น เพราะภูเขาหินปูนเหล่านั้นมันคือแหล่งน้ำซับซึมของคนในพื้นที่เป็นแหล่งรวมอาหาร เป็นศูนยกลางอะไรหลายๆอย่างของคนในชุมชน ของคนในท้องที่ อันนี้เป็นผลกระทบที่สำคัญ

“ ดังนั้นเนื่องในวันที่  5 นี้เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก การมีสิ่งแวดล้อมที่ดีจึงต้องไม่มีเหมืองที่สร้างผลกระทบให้กับคนในพื้นที่ เราเลยจะเปิดปฏิบัติฟ้องยกเลิกนโยบายแร่เพื่อแก้โลกเดือด โดยเราจะฟ้องคณะรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นคนพิจารณาแผนแม่บทแร่  และ คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ ( ครน.) ในฐานะที่เป็นคนจัดการแผนแม่บท ต่อศาลปกครองสูงสุดให้มีการเพิกถอนเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองตามแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2566 – 2570) ซึ่งขณะนี้เราได้มีการรวบรวมข้อมูลกันแล้วและพี่น้องในแต่ละพื้นที่ที่จะร่วมฟ้องกับเราจะเริ่มมีการเก็บข้อมูลเพื่อเขียนในคำฟ้อง และในช่วงต้นเดือนกันยาเราจะยื่นฟ้องกัน” จุฑามาสกล่าว 

ย้ำสิทธิในการมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมคือสิทธิมนุษยชน ที่ทุกคนต้องได้รับ

ด้านสุภาภรณ์ มาลัยลอย จากมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (Enlaw) กล่าวว่า สิทธิในการมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมคือสิทธิมนุษยชน ที่ทุกคนต้องได้รับ เราเห็นว่าทุกคนในรุ่นปัจจุบันควรมีสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่เพียงพอต่อความจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีพโดยไม่ทำให้สิทธิของคนรุ่นถัดไปแย่ลงหรือเสื่อมคุณภาพในการที่จะใช้สิ่งแวดล้อมในอนาคต และเราทุกคนรวมถึงรัฐต้องดำเนินการให้สิทธิที่จะอาศัยอยู่โดยปราศจากมลพิษความเสื่อมโทรมทางสิ่งแวดล้อมและกิจกรรมที่ส่งผลเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมที่คุกคามต่อชีวิตสุขภาพอนามัยวิถีชีวิตสภาพความเป็นอยู่ที่ดีหรือการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในประเทศและข้ามพรมแดนเกิดขึ้นให้ได้          

เมื่อการบริหารจัดการแร่ในปัจจุบันไม่เป็นไปในแนวทางที่เหมาะสมและเกิดประโยชน์ภายใต้ดุลยภาพด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน มีเพียงผู้ได้รับอนุญาตให้สำรวจและทำเหมืองที่ได้รับประโยชน์ รวมถึงก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิตชุมชน และกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยที่รัฐและผู้ก่อมลพิษไม่มีมาตรการในการแก้ไขเยียวยาอย่างเป็นธรรม การใช้สิทธิฟ้องต่อศาลเพื่อให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดแผนแม่บทในการบริหารจัดการแร่จึงเป็นอีกเส้นทางที่ประชาชนจะก้าวเดิน

โต้นายกฯ แปลงผืนดินให้เป็นสินทรัพย์ของนายทุน

ด้าน ปรานม สมวงศ์ Protection International ระบุว่า ตามที่นายกรัฐมนตรี แจ้งว่าเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก คณะรัฐมนตรี ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ความรู้กับทุกภาคส่วนเกี่ยวกับการฟื้นฟูที่ดิน การลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม

ไม่ได้แก้ปัญหาโลกเดือดและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี เพราะคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ (คนร.) อยู่ภายใต้กระทรวงทรัพย์ฯ หนึ่งในผู้ถูกฟ้อง และที่ผ่านมากระทรวงทรัพย์ฯเป็นกระทรวงหลักที่ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงอื่นๆแปลงผืนดินให้เป็นสินทรัพย์แต่ไม่ใช่สินทรัพย์ของประชาชน เพราะผู้จะได้รายได้เต็มๆ คือเอกชนหรือทุนที่ถือใบประทานบัตรเหมืองแร่  การเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มนายทุนแร่เป็นสิ่งที่ขัดแย้งและเป็นอุปสรรคกับนโยบายมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และการบรรลุตามเป้าหมายกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) และความตกลงปารีสที่นายกรัฐมนตรีไปประกาศบนเวทีต่างเช่นเวที COP

ระบุแผนแม่บทแร่ฯ ฉบับที่ 2 ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชน ควรที่จะมีการจัดทำแผนใหม่

ขณะที่ เฉลิมศรี  ประเสริฐศรี  ตัวแทนจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน (CRC) ระบุว่า แผนแม่บทบริหารจัดการแร่ จะรวมเรื่องสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นการประกาศเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง การกำหนดเขตพื้นที่ศักยภาพแร่ หรือพื้นที่ห้ามทำเหมืองตามมาตรา 17 วรรค 4 ในพ.ร.บ.แร่ 2560 เช่น พื้นที่แหล่งน้ำซับซึม ซึ่งมันจะต้องมีเขียนไว้ ดังนั้น รัฐควรจะต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริงแล้วนำไปบรรจุในแผน แต่ที่ผ่านมาเราพบว่าการเชิญให้รับฟังความคิดเห็น เหมือนจัดเป็นเพียงพิธีกรรม ให้มันเสร็จๆ ไป ว่าฉันได้จัดเวทีรับฟังฯ แล้ว ถือว่าการรับฟังนี้เสร็จสิ้น และนำไปเสนอตามขั้นตอน แล้วสุดท้าย ครม. ก็ออกมา มันก็เท่ากับว่าแผนแม่บทบริหารจัดการแร่ มันไม่ได้มีการยึดโยงเกี่ยวกับประชาชนเลย          

นอกจากนี้ ภาคประชาชน ก็ได้มีการคัดค้านแผนแม่บทแร่ฯ มาตั้งแต่ฉบับที่ 1 เนื่องจากรัฐใช้ฐานข้อมูลเดิม โดยการยึดเอาพวกคำขอประทานบัตร คำขออาชญาบัตรเดิม และพื้นที่ทำเหมืองแร่เดิมมากำหนดและประเมินพื้นที่ศักยภาพแร่แต่ละจังหวัด โดยไม่ได้มีการกำหนดหรือศึกษาจริงเลยว่า พื้นที่ใดมีความเหมาะสม เขตศักยภาพแร่ควรจะเป็นบริเวณไหน และเป็นพื้นที่แหล่งน้ำซับซึมหรือไม่ กระทั่งแผนแม่บทบริหารจัดการแร่ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2565 – 2569) ออกมา มันก็มีปัญหากับประชาชนที่อยู่ในเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง เขาต้องได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ แต่มันไม่มีการรับฟังความคิดเห็นของเขา

“เราจึงเห็นชอบร่วมกันที่จะมีการฟ้องคดีเพื่อให้สังคมตระหนักรู้ว่า แผนแม่บทแร่ฯ ฉบับที่ 2 ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชน ควรที่จะมีการจัดทำแผนใหม่”ตัวแทนจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน (CRC) กล่าว          

ขณะที่จงดี มินขุนทด ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดกล่าวว่า เป็นนิมิตหมายอันดีที่เราจะใช้วันที่ 5 มิ.ย. 67 วันสิ่งแวดล้อมโลกในการแสดงออกและยื่นฟ้อง เพื่อให้กฎหมายที่ตอนนี้มันถูกใช้ถูกควบคุมแบบไม่ถูกต้องได้ถูกต้อง คือกฎหมายแร่ตอนนี้เหมือนมันออกมาเพื่อให้นายทุนใช้ แต่ผลกระทบต่างๆพอเวลามันเกิดขึ้นชาวบ้านเป็นผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมด พวกเราอยากแก้ไขให้มันเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น และอยากจะบอกกับพี่น้องในพื้นที่อื่นๆ ที่ยังไม่ได้รับผลกระทบว่า การเข้ามาของอุตสาหกรรมการทำเหมืองมันสร้างผลกระทบให้กับคนในชุมชนและสิ่งแวดล้อมรอบชุมชนเยอะมากมันสร้างผลกระทบทั้งตอนนี้ตอนปัจจุบัน และในอนาคตที่ยากจะฟื้นฟู เพราะฉะนั้นเวลามีอุตสาหกรรมการทำเหมืองเราต้องศึกษาให้ดีว่ามันจะส่งผลกระทบอะไรบ้าง เราจึงจำเป็นมากๆ ที่จะต้องร่วมกันฟ้องนโยบายแร่เพื่อแก้โลกเดือด        

ด้านปิยะพงษ์ แสนต่างใจ ตัวแทนจากกลุ่มอนุรักษ์ภูเตา กรณีเหมืองหินทรายเพื่ออุตสาหกรรม จังหวัดมุกดาหารกล่าวว่า  เราจะเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ร่วมฟ้องนโยบายแร่เพื่อแก้โลกเดือดในครั้งนี้ด้วยเพราะเราเห็นผลกระทบจากแผนแม่บทที่เขาทำมา โดยเฉพาะในส่วนของพื้นที่เรามันมีร่องน้ำธรรมชาติที่ทับในพื้นที่ของเราด้วย ทำให้เราได้รับผลกระทบเราจึงร่วมฟ้องในครั้งนี้และเราอยากให้คนในชุมชนของเราและชุมชนอื่นๆที่อาจจะยังไม่มีการประกาศเป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองเล็งเห็นว่าเมื่อมีการทำเหมืองใกล้กับพื้นที่ชุมชนไหนในชุมชนนั้นย่อมมีปัญหาเกิดขึ้นตามมาไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากการขุดเจาะผืนดินส่งผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมของโลกเป็นปัจจัยทำให้ให้เกิดสภาวะโลกเดือดและทำให้เกิดฝุ่นใยหินที่ส่งผลเสียสุขภาพของประชาชนในพื้นที่อย่างร้ายแรง ส่วนเหมืองที่ใช้การระเบิดก็หนีไม่พ้นปัญหาเรื่องแรงสั่นสะเทือน และปัญหาเสียงที่เกิดขึ้นจากการระเบิดหิน เราอยากให้คนเล็งเห็นถึงปัญหาต่างๆที่จะตามมาจึงเข้ามาร่วมฟ้องนโยบายแร่เพื่อแก้โลกเดือดในครั้งนี้ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับรายชื่อของชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากเหมืองและเตรียมยื่นฟ้อง ในครั้งนี้ประกอบด้วย นักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจัน จังหวัดหนองบัวลำภูที่ได้รับผลกระทบจากเมืองหินปูน,นักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มอนุรักษ์น้ำซับคำป่าหลาย อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหารที่ได้รับผลกระทบจากเหมืองหินทรายเพื่อการอุตสาหกรรม ,นักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากกลุ่มคนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้านรอบเหมืองแร่ทองคำจังหวัดเลยที่ได้รับผลกระทบจากเมืองทองคำ ,กลุ่มรักษ์ดงลาน กรณีเมืองหินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน อำเภอสีชมพูจังหวัดขอนแก่น ,นักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดจังหวัดนครราชสีมาที่ได้รับผลกระทบจากเมืองแร่โปแตช,นักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มรักษ์อำเภอวานรนิวาสกรณีเมืองแร่โปแตช อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกล ,เครือข่ายองค์กรชาวบ้านอนุรักษ์ภูซำผักหนามกรณีเมืองหินปูนเพื่ออุตสาหกรรม อำเภอคอนสาร จังหวัดชัย ,กลุ่มรักเขาโต๊ะกรัง ตำบลควนโดนอำเภอควนโดนจังหวัดสตูล กรณีเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหิน ,กลุ่มรักษ์บ้านแหงจังหวัดลำปาง กรณีเมืองถ่านหิน,กลุ่มอนุรักษ์หินจอก อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรังกรณีเมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหิน ,กลุ่มรักเขาคอกกรณีเมืองหินอุตสาหกรรมชนิดหินบะซอลต์ ตำบลเขาค้ออำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ,กลุ่มอนุรักษ์ภูเตา กรณีเหมืองหินทราย เพื่ออุตสาหกรรม จังหวัดมุกดาหาร  

พื้นที่สื่อสาร สังคมประชาธิปไตย ชีวิตใหม่ที่ดีกว่า

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากผู้เขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง