ปัญหา ‘ป่าทับคน’ เป็นหนึ่งในสภาพการณ์ปัญหาหลักของพื้นที่ภาคเหนือที่สร้างผลกระทบต่อประชาชนอย่างกว้างขวางมาหลายทศวรรษ อันเกิดจากการที่ประชาชนได้อยู่อาศัยและทำกินในที่ดินนั้นมาก่อนการประกาศเป็นที่ดินของรัฐ และกระบวนการประกาศที่ดินของรัฐนั้นเป็นไปอย่างลักลั่นและขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกาศเป็นเขตป่า ได้แก่ อุทยานแห่งชาติ, เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า, เขตห้ามล่าสัตว์ป่า และป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นการบุกรุกที่ทำกินของประชาชน ไม่ใช่ประชาชนบุกรุกที่ดินรัฐ ซึ่งประชาชนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือเกษตรกรรายย่อย คนยากจน และกลุ่มชาติพันธุ์
แนวคิดเรื่อง ‘พื้นที่คุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์’ จึงเกิดขึ้น อันหมายถึง “ชุมชนหนึ่งๆ หรือหลายชุมชนรวมกัน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการบริหารจัดการ และความเห็นชอบของประชาชนในพื้นที่เป้าหมาย จัดทำแผนแม่บทว่าด้วยการจัดการพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง เสนอต่อคณะกรรมการเพื่อขอประกาศกำหนดพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง เมื่อประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง แล้วสมาชิกชุมชนจะมีสิทธิอยู่อาศัยและใช้ประโยชน์จากที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติตามระเบียบที่กำหนดขึ้นตามกฎหมายฉบับนี้ รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาชีพ ที่ไม่ส่งผลกระทบให้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสียหาย แต่สิทธิในการใช้ประโยชน์ที่ดินและทรัพยากรไม่สามารถจำหน่ายจ่ายโอนให้แก่บุคคลภายนอกได้ แต่การสืบทอดทางมรดกแก่ทายาทหรือสมาชิกของชุมชนได้”
คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งได้ดำเนินการพิจารณาร่างกฎหมายชาติพันธุ์ดังกล่าวมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567 จนถึงขณะนี้ จึงได้ยกร่างหมวดว่าด้วยพื้นที่คุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ขึ้นมา เพื่อให้ชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์สามารถดำรงวิถีชีวิตอยู่ได้โดยยกเว้นหลักเกณฑ์บางประการของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับที่ดินนั้นๆ ได้แก่ กฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ กฎหมายว่าด้วยเขตห้ามล่าสัตว์ป่า กฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า และกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ แต่ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 2 ครั้งที่ 6 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) ร่างกฎหมายชาติพันธุ์ได้เข้าสู่ที่ประชุมอีกครั้ง แต่เกิดวิวาทะกันในสภา คัดค้านกฎหมายในมาตราว่าด้วยพื้นที่คุ้มครองชาติพันธุ์ จนกฎหมายถูกเลื่อนพิจารณาไปแล้ว 2 ครั้งเนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บางพรรคคัดค้านหัวชนฝา
Lanner ชวนสำรวจวาทะเด็ดกลางสภาที่นำมาสู่ประเด็นถกเถียงอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในกลุ่มชาติพันธุ์ ว่าสส.เหล่านี้มีทัศนคติต่อกลุ่มชาติพันธุ์อย่างไร เห็นปัญหาการถูกละเมิดสิทธิในที่ดินของกลุ่มชาติพันธุ์เป็นปัญหาที่ควรเร่งแก้ไขหรือไม่ หรือมองเพียงการอนุรักษ์และสร้างวาทกรรม “ชาวบ้านตัดไม้ทำลายป่า” ผลิตซ้ำอคติต่อชาติพันธุ์เช่นเดิม ประกอบการตัดสินใจของพี่น้องภาคเหนือก่อนการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่จะมาถึง
สส.เพื่อไทยค้าน ‘ห้ามใช้บังคับกฎหมาย’ ในมาตรา 27 หวั่นขัดรัฐธรรมนูญ
ในช่วงแรก วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล สส.จังหวัดแพร่ พรรคเพื่อไทย ได้กล่าวถึงมาตรา 27 ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการกำหนดเขตพื้นที่คุ้มครองให้กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในการใช้ที่ดินและทรัพยากร ที่มีการระบุถ้อยคำว่า ‘โดยมิต้องนำกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่นั้นมาใช้บังคับ’ โดยตั้งคำถามเกี่ยวกับความหมายของถ้อยคำดังกล่าวว่าหมายถึงการยกเลิกใช้กฎหมายในพื้นที่นั้นหรือไม่ แล้วข้อกฎหมายที่กล่าวถึงนั้นหมายถึงกฎหมายอะไร
ต่อมา เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล (กรรมาธิการ) สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ก็ได้ชี้แจงว่าข้อความดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าให้ยกเลิกกฎหมาย เพราะในวรรคที่ 2 ของมาตรา 27 ได้กำหนดชัดเจนว่าก่อนดำเนินการประกาศพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ให้ชุมชนทำข้อตกลงกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ดังกล่าวก่อนว่าจะใช้กฎหมายฉบับไหน เช่น ถ้าอยู่ในเขตป่าสงวน พ.ร.บ.ป่าสงวนยังมีผลใช้บังคับ ถ้าอยู่ในเขตอุทยาน พ.ร.บ.อุทยานยังมีผลใช้บังคับ ถ้าหากชุมชนใดได้รับอนุญาตไปแล้วมีการทำผิดข้อตกลงที่ได้ตกลงไว้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็สามารถที่จะยกเลิกได้ เมื่อยกเลิกเพิกถอนไปแล้ว ก็กลับไปบังคับตามกฎหมายปกติต่อไปได้
แม้จะมีการอธิบายถึงความหมายของถ้อยคำที่ว่า ‘โดยมิต้องนำกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่นั้นมาใช้บังคับ’ แต่ถึงอย่างนั้น ส.ส.พรรคเพื่อไทยหลายคนต่างก็ให้ความเห็นตรงกันว่าเป็นถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมและควรตัดออกไปจากพ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์ฯ เนื่องจากมองว่าถ้อยคำดังกล่าวถือเป็นการให้อภิสิทธิชน และถือเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ
โดยวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล มองว่าการให้หน่วยงานรัฐไปทำความตกลงกับชุมชนเอง อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดในหลายกรณีได้ เช่น การออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบ โดยมองว่าเหมือนเป็นการนำกฎหมายฉบับนี้ไปใช้อำนาจเหนือกว่าฉบับอื่น ดังนั้นจึงไม่ควรไปเขียนกฎหมายรายฉบับโดยข้อตกลงระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
“เพราะตอนนี้เรากำลังร่างกฎหมายอยู่ เราจะไปออกกฎหมายไม่ให้เอากฎหมายที่เกี่ยวข้องมาบังคับใช้โดยข้อตกลงของคนบางคน ผมคิดว่ากฎหมายที่เขียนแบบนี้อันตราย จะขอทางกรรมาธิการว่าในประโยคที่บอกว่า โดยไม่ต้องนำกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาบังคับใช้ออกได้ไหมครับ คือจะตกลงก็ตกลงไปแต่ไม่ควรเขียนประโยคนี้อยู่ในกฎหมาย”
อดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้ให้การสนับสนุนเหตุผลของ วรวัจน์ โดยมองว่ากรณีนี้ถือเป็นการยกเว้นอภิสิทธิชน ที่อาจมีการตีความว่าเป็นการให้อำนาจคนไม่กี่คนตกลงกันเพื่อมีสิทธิตามกฎหมายเหนือกฎหมายที่มีอยู่แล้ว
“เรื่องนี้ผมว่าจะทบทวนใช้ข้อความอื่นๆ ผมเข้าใจนะครับในการตกลงระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์กับกฎหมายต่างๆ แต่ว่ากฎหมายต่างๆ มันมีข้อจำกัดตกลงได้ไม่ได้อย่างไร แต่ท่านบอกว่าไม่ใช้ใช้กฎหมายดังกล่าวมาบังคับใช้ในพื้นที่ ถือว่ามันใหญ่เกินไป เราออกกฎหมายให้อภิสิทธิชนปล้นทรัพยากรธรรมชาติ โดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม แต่เรื่องนี้มันเป็นกฎหมายที่ใช้กับคนทุกคนทั่วประเทศไทยต้องเสมอภาคกันครับ”
เช่นเดียวกับ ประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่มองว่าเหตุผลของคณะกรรมาธิการนั้นยังมีน้ำหนักไม่มากพอให้ยอมรับถ้อยคำนี้ โดยยังกล่าวอีกว่าการเขียนกฎหมายแบบนี้เป็นการขัดรัฐธรรมนูญ และไม่สามารถใช้บังคับได้
“เขียนกฎหมายในการที่จะยกเว้นพื้นที่บางพื้นที่ไม่ให้มีกฎหมาย บางฉบับบางอย่างใช้บังคับเป็นการละเว้นอย่างนี้ไม่มีใครเขาทำ ไม่มีการออกกฎหมายที่จะยกเว้น ในลักษณะนี้อย่างแน่นอน ท่านประธานกับผมอยู่ในสภาแห่งนี้มานาน ถ้าเขียนอย่างนี้ นี้ผมคิดว่าให้ผ่านไปไม่ได้ จะเกิดความเสียหายโดยขัดหลักในตรากฎหมายอย่างชัดเจน”
ด้าน ศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ สส.จังหวัดกาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เข้าใจว่าคณะกรรมาธิการกังวลใจว่ากลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่อาจถูกเจ้าหน้าที่กรมอุทยานหรือกรมป่าไม้เข้าไปดำเนินคดีได้ แต่เขาก็ยังมองว่าปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นอีก โดยให้เหตุผลว่ารัฐบาลก็ได้ผ่อนปรนให้ชุมชนอยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ตามมติคณะรัฐมนตรีที่ปรับปรุงในปี 2557 นอกจากนั้นยังมีการแก้พระราชบัญญัติอุทยานในปี 2560 เพื่อให้ประชาชนที่อยู่ในป่าหรือพื้นที่อนุรักษ์อยู่ได้
“ความกังวลที่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะมารังแกประชาชนที่อยู่ในป่า ผมว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นแล้วครับ ข้อเท็จจริงไม่มีใครไปทำ เพราะผมก็เคยอยู่ที่กระทรวงทรัพย์นี้มาก่อน”
ทศพร เสรีรักษ์ สส.จังหวัดแพร่ พรรคเพื่อไทย มองว่า การเขียนกฎหมาย ว่าไม่ให้เอากฎหมายมาใช้บังคับถือเป็นการย้อนแย้งกันเองของกฎหมาย และยังกล่าวทิ้งท้ายว่า กรรมาธิการก็คงต้องหาคำตอบดีๆ เพราะถ้าไม่มีคำตอบที่ดี ตนก็คงไม่ยกมือให้ผ่าน
กรรมาธิการโต้ ‘ห้ามใช้บังคับกฎหมาย’ ไม่เท่ากับ ‘ยกเลิกกฎหมาย’
อภินันท์ ธรรมเสนา (กรรมาธิการ) ตัวแทนจากศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ได้ชี้แจงประเด็นเกี่ยวกับเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ที่สส.หลายท่านมีข้อกังวลเกี่ยวกับประโยคที่ว่า ไม่ต้องนำกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับ โดยอธิบายถึงกระบวนการกำหนดเป็นเขตพื้นที่คุ้มครองฯ ด้วยการยกตัวอย่างมติครม.ว่าด้วยการฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลและกะเหรี่ยง ที่ได้นำร่องประกาศเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ไปแล้วถึง 24 พื้นที่
โดยกระบวนการเริ่มจากการพิสูจน์ว่าชุมชนนั้นเป็นชุมชนดั้งเดิมที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่มาก่อนหรือไม่ หากพบว่าเป็นชุมชนดั้งเดิม จะมีการกำหนดสภาพพื้นที่ให้เป็นพื้นที่ของรัฐหรือพื้นที่ในรูปแบบที่เหมาะสม เพื่อให้เข้าข่ายการประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครอง จากนั้นก็จะมีการจัดทำข้อตกลงร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่และชุมชนในพื้นที่ โดยเน้นการออกแบบกติกาที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม เป็นกลไกที่สร้างโอกาสให้พี่น้องชาติพันธุ์สามารถร่วมกำหนดแนวทางจัดการพื้นที่ของตนได้อย่างเหมาะสม มาตรานี้ถือเป็นกลไกหนึ่งที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาและเยียวยากลุ่มชาติพันธุ์ที่ยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึงสิทธิการใช้ทรัพยากรที่ดินในพื้นที่
อภินันท์ขยายความต่อว่า หลังจากที่มีการทำข้อตกลงร่วมกันแล้วยังไม่ได้ถือว่ากระบวนการสิ้นสุดเท่านั้น โดยขั้นตอนต่อไปคือการเสนอเรื่องให้คณะกรรมการพิจารณา ซึ่งคณะกรรมการในที่นี้ประกอบด้วยผู้แทนจากกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลัง เมื่อคณะกรรมการเห็นชอบว่าพื้นที่นั้นเหมาะสมที่จะประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครอง ก็จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการพื้นที่ขึ้นมา เพื่อดำเนินงานในขั้นต่อไป โดยคณะกรรมการจะพิจารณาความเหมาะสม และความเป็นไปได้ของการประกาศพื้นที่คุ้มครองในทุกมิติ เพื่อให้การดำเนินงานสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ในการประกาศพื้นที่คุ้มครอง จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการระดับชาติก่อน หมายความว่ากระบวนการเหล่านี้จะได้รับการรับรองตั้งแต่ระดับพื้นที่จนถึงระดับชาตินั่นเอง
อภินันท์ได้พูดถึงประเด็นที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า การเขียนกฎหมายลักษณะนี้สามารถทำได้หรือไม่ โดยอธิบายว่าได้อ้างอิงจากพ.ร.บ.ป่าชุมชน พ.ศ. 2562 ที่กำหนดไว้ในมาตรา 7 ว่า ระหว่างการจัดตั้งป่าชุมชน ให้งดเว้นการใช้กฎหมายว่าด้วยป่าไม้หรือป่าสงวนแห่งชาติเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะเพิกถอน ซึ่งการประกาศพื้นที่คุ้มครองเองก็ใช้หลักการเดียวกัน โดยในระหว่างที่เป็นพื้นที่คุ้มครอง อาจมีการงดเว้นกฎหมายบางมาตราที่เกี่ยวข้อง แต่หากพื้นที่คุ้มครองถูกเพิกถอน เช่น กรณีที่ชุมชนไม่สามารถปฏิบัติตามกติกาที่ตกลงกันไว้ได้ สิทธิ์ในการคุ้มครองพื้นที่นั้นจะถูกยกเลิก ถือเป็นหลักการที่ทำให้เห็นว่ามีความรัดกุมพอสมควร ที่จะส่งเสริมให้พื้นที่คุ้มครองลักษณะนี้สามารถเกิดขึ้นได้
นอกจากนี้ อภินันท์ได้กล่าวต่อ บรรดาสส.ที่ตั้งข้อสังเกตว่า หากกลับไปอ่านมาตรา 28 ก็จะเห็นว่ามีเนื้อหาที่ระบุว่า หากชุมชนฝ่าฝืนกติกาหรือข้อระเบียบที่กำหนดไว้ ก็สามารถใช้กฎหมายปกติมาใช้บังคับได้ นั่นหมายความว่า กฎหมายปกติยังมีผลบังคับใช้อยู่เสมอ เพียงแต่ในระหว่างที่ชุมชนปฏิบัติตามข้อตกลงร่วมกันที่ได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานรัฐและคณะกรรมการระดับชาติ โดยไม่ได้กระทำผิดกติกาดังกล่าว ก็สามารถใช้กติกานั้นในการจัดการพื้นที่ได้ ดังนั้น การที่กรรมาธิการเสียงข้างมากสนับสนุนให้มีการงดเว้นการบังคับใช้กฎหมายบางส่วนในพื้นที่คุ้มครอง ก็มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความยืดหยุ่นและส่งเสริมให้การประกาศพื้นที่คุ้มครอง สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับบริบทของชุมชน
สส.เพื่อไทยเสนอให้คณะกรรมาธิการพิจารณาถ้อยคำที่เป็นปัญหาอีกครั้ง
แม้จะมีการอธิบายถึงกระบวนการประกาศเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์และอธิบายถึงเหตุผลที่ใช้คำว่า ‘โดยมิต้องนำกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่นั้นมาใช้บังคับ’ ในมาตรา 27 แต่ถึงอย่างนั้น สส.พรรคเพื่อไทย ก็ยังคงยืนยันว่าเป็นกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญอยู่ดี และหากยังคงยืนยันไม่ตัดข้อความดังกล่าว ก็อาจทำให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ถูกปัดตกไปในวาระต่อไปได้
“ที่ท่านบอกว่าในกรณีของป่าชุมชนไม่บังคับใช้เป็นการชั่วคราวจนกว่าจะได้มีการตรากฎหมายนั่นก็ใช่ครับ แต่ตรงนี้ไม่มีนะ ตรงนี้คือห้ามนำกฎหมายมาบังคับใช้เลย มันหนักกว่าเยอะเลย แล้วกระบวนการที่ท่านจะไปดำเนินการอย่างอื่นผมว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลัง แต่ถ้าหากว่ากฎหมายฉบับนี้มีข้อความที่ขัดรัฐธรรมนูญขึ้นมา อาจจะทำให้กฎหมายฉบับนี้ตกหรือถูกคว่ำในวาระอื่น ผมไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้นะ เพราะฉะนั้นขอกรรมาธิการช่วยทบทวนประโยคนี้ให้เอาออก แล้วเราจะได้เดินต่อได้ครับ” วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล กล่าว
“คำชี้แจงของคณะกรรมาธิการดูเหมือนจะชี้แจงแบบเอาแต่ได้ ถ้ามีกฎหมายไว้ไม่ปฏิบัติตามนั้น ผมอยากถามว่ามีไว้ทำไม กระบวนการตรากฎหมายจะต้องไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่คณะกรรมการบอกไว้ว่าพื้นที่ตรงนี้ห้ามให้กฎหมายใช้บังคับในกรณีใดกรณีหนึ่ง ผมคิดว่าขัดหลายมาตราด้วย เขียนกฎหมายทำนองนี้ ผมว่าไม่น่าจะถูกต้องครับ” ประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ กล่าว
ด้าน ชลน่าน ศรีแก้ว สส.จังหวัดน่าน พรรคเพื่อไทย มองว่า ข้อทักท้วงของสมาชิกโดยเฉพาะสมาชิกผู้อาวุโสเป็นสิ่งที่ควรต้องรับฟัง และกระบวนวิธีการเขียนกฎหมายก็ต้องเขียนให้ชัดเจน โดยมองว่าที่คณะกรรมาธิการใช้คำว่า ไม่ต้องนำกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับ เหมือนเป็นการใช้อำนาจกฎหมายนี้ไปยกเลิกอำนาจกฎหมายอื่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคิดว่ากฎหมายฉบับนี้จะสามารถไปต่อได้ เพียงแต่ควรปรับให้มันอ่อนตัวลงอีกนิดเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย
ทั้งนี้ ในการประชุมสภาฯ ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ในวาระที่ 2 ได้มีการลงมติในมาตราอื่นๆ และหลังจากลงมติรายมาตราแล้วจะมีการลงมติวาระ 3 ชั้นรับร่างกฎหมาย ต่อไปในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 นี้
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...