รอยน้ำท่วมบนผนังบ้าน สะท้อนความหวังเลือกตั้ง อบจ. ที่คนจนรอคอย

เรื่อง : จตุพร สุสวดโม้

ภาพ : ปรัชญา ไชยแก้ว

ร่องรอยคราบโคลนที่แต่งแต้มบนผนังบ้านณ ชุมชนรถไฟสามัคคี อ.เมือง จังหวัดเชียงใหม่ กลายเป็นจิตรกรรมฝาผนังบันทึกเรื่องราวของวิกฤตการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่เคยท่วมทับพื้นที่แห่งนี้ เมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ที่สำคัญนี่เป็นประจักษ์พยานความทรงจำที่ทำให้หวนคิดถึงช่วงเวลาที่น้ำท่วมสูงจนแทบจะกลืนกินทุกสิ่ง ทุกชีวิตที่เคยอาศัยอยู่ในที่นั้น ชุมชนนี้เคยเผชิญหน้ากับการสูญเสียและการเริ่มต้นใหม่ การท่วมทับครั้งนั้นทิ้งรอยด่างที่ยังคงอยู่ในปัจจุบัน

ร่องรอยเหล่านั้นไม่ได้สะท้อนแค่ความทรงจำทางกายภาพของการท่วมขัง หากยังบ่งบอกถึงความอดทนและความมุ่งมั่นของคนในชุมชน ที่ได้เผชิญหน้าและทนทานต่อสภาวะที่ยากลำบาก บางคนอาจมองร่องรอยเหล่านั้นเป็นเครื่องเตือนใจถึงความร้ายแรงของภัยธรรมชาติ แต่สำหรับบางคน มันกลับกลายเป็นเครื่องหมายแห่งการต่อสู้ การฟื้นฟู และการปรับตัวให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ แม้จะมีความยากลำบากเข้ามาในชีวิต

ย้อนกลับไปในอดีตของพื้นที่แห่งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการอยู่ดีมีสุข หากแต่เป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอด โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่การดำเนินนโยบายที่ดินของรัฐ ผลักไสพวกเขาต้องเผชิญกับการถูกไล่รื้อที่ดินซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ชุมชนแห่งนี้ต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงในชีวิตและที่อยู่อาศัย ซึ่งถูกคุกคามจากกระแสการพัฒนาเมืองที่เข้ามาอย่างรวดเร็วและไม่สามารถควบคุมได้ ความไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัย ทำให้ชีวิตของชาวบ้านยิ่งยากลำบากขึ้นไปอีก

ชุมชนรถไฟสามัคคีเป็นพื้นที่ที่ครอบครัวหลายครอบครัวได้สร้างบ้านเรือนและวางรากฐานชีวิตของตนเองขึ้นมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ พวกเขาผูกพันกับที่ดินที่เป็นสาธารณะของการรถไฟแห่งประเทศไทย แม้ว่าพื้นที่นี้จะอยู่บนที่ดินของรัฐ แต่หลายครอบครัวกลับไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในการหาที่อยู่อาศัยที่มั่นคง ทั้งนี้ สภาพพื้นที่ยังคงประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน 

ในปีนี้ ความเดือดร้อนจากน้ำท่วมยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจนเกินทน ท่ามกลางกระแสน้ำที่หลากไหลเข้าท่วมพื้นที่ ชุมชนสามัคคียังคงยืนหยัดอย่างแข็งแกร่ง ในการต่อสู้เพื่อสิทธิพื้นฐานที่ทุกคนควรมีสิทธิในการมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง แม้ว่าการรื้อถอนและการขับไล่จากการรถไฟแห่งประเทศไทยยังคงเป็นประเด็นที่เต็มไปด้วยการถกเถียงอย่างต่อเนื่อง แต่ความหวังสำหรับอนาคตของชุมชนแห่งนี้ยังคงไม่สูญหายไป ความหวังนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของการยอมรับและการช่วยเหลือจากภาครัฐ ที่จะทำให้ชุมชนนี้สามารถอยู่ร่วมกันในพื้นที่ที่พวกเขาเรียกว่า “บ้าน”

ไม่ไกลจากตรงนั้น “ป้าอี๊ด” หญิงผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในชุมชน ได้เล่าถึงความหวังที่เธอฝากไว้กับการเลือกตั้งในอนาคตว่า อยากได้ใครซักคนที่พร้อมจะช่วยเหลือชาวบ้าน หวังให้คนที่ได้ตำแหน่งนายก อบจ. เข้ามารับผิดชอบและแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของชาวบ้านเพราะหากชาวบ้านในพื้นที่ถูกไล่รื้อออกจากที่ดินของการรถไฟก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะไปอยู่ที่ไหนกัน

“ป้าหวังเพียงว่าเขาจะมาให้ความช่วยเหลือ หาที่รองรับให้กับชาวบ้านที่ไร้ที่อยู่อาศัย ที่ผ่านมาชาวบ้านต้องอยู่อย่างหวาดผวา ไม่รู้ว่าจะถูกไล่วันไหนและยังต้องเผชิญกับภัยน้ำท่วมอย่างไม่หยุดยั้ง ทุกปีมักจะมีคนมาช่วยเหลือในเรื่องอาหารการกิน แต่รู้ดีว่าปีนี้ก็ยังคงหนีไม่พ้นภัยน้ำท่วมที่ซ้ำซากอีกรอบ”

ป้าอี๊ดพูดต่อไปถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาว่า “ทุกครั้งน้ำจะท่วมก่อน พอน้ำลดถึงจะมีคนเข้ามาช่วยเหลือ แล้วก็รอรับเงินชดเชยกันไป ที่ผ่านมา นักการเมืองก็เข้ามาเฉพาะตอนที่ต้องหาเสียง แต่พอชาวบ้านเดือดร้อนจากน้ำท่วมก็ไม่เห็นเลย”

หญิงสูงวัยยังกล่าวถึงความไม่พอใจที่แม้กระทั่ง ส.ส.พรรคประชาชน เองก็ยังไม่ได้หันมามอง แม้ในช่วงเวลาที่น้ำท่วมหนักที่สุด ทว่า สิ่งที่ชาวบ้านได้รับกลับมีแค่ความช่วยเหลือจากอาสาสมัครมูลนิธิกระจกเงาและกลุ่มภาคประชาสังคมที่ลงพื้นที่มาช่วยเหลืออย่างจริงใจและเต็มใจ แม้จะไม่ได้มีอำนาจในการตัดสินใจในเรื่องของการช่วยเหลือเชิงโครงสร้าง แต่พวกเขาก็ยังคงพร้อมช่วยเหลือ

“ป้าอี๊ด” กล่าวถึงความรู้สึกว่า “นักการเมือง” หรือ “ผู้ที่มีอำนาจ” มักจะมาเฉพาะช่วงการหาเสียงแล้วหลังจากนั้นก็ไม่เห็นการดำเนินการใด สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความขาดการเชื่อมโยงระหว่างการช่วยเหลือฉุกเฉินและการแก้ปัญหาในระยะยาว ซึ่ง อบจ. ควรที่จะเป็นหน่วยงานหลักในการทำงานร่วมกับประชาชนและภาคส่วนอื่นๆ เช่น อาสาสมัครหรือกลุ่มภาคประชาสังคมในการให้ความช่วยเหลือ

การที่อาสาสมัครจากมูลนิธิหรือกลุ่มภาคประชาสังคมลงพื้นที่มาช่วยเหลือนั้นเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง แต่ในทางกลับกัน อบจ. ควรเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทในการวางแผนและบริหารจัดการทรัพยากรให้เข้าถึงประชาชน เพื่อให้การช่วยเหลือสามารถตอบโจทย์ได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงการพัฒนาระบบเตือนภัย การส่งเสริมการวางแผนเชิงป้องกันและการให้การช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่

ในขณะเดียวกัน ยังมีคำวิจารณ์จากบางคนที่กล่าวหาว่าชาวบ้านสนใจแต่เงินชดเชยที่ได้รับจากการท่วมหรือเงินซื้อสิทธิขายเสียง “สำหรับชาวบ้านความเป็นจริงของชีวิตคือเมื่อมีใครนำเงินฮื้อ ไผเอามาฮือเฮากะฮับเอา เพราะเฮาบ่ได้ขอเขา ส่วนจะเลือกไผมันกะอยู่ที่ใจของเฮา” คำกล่าวนี้สะท้อนถึงวิถีชีวิตที่ถูกกำหนดโดยความยากจนและความไม่แน่นอนของอนาคตที่ชาวบ้านต้องเผชิญ โดยการที่บางคนมองว่าเงินชดเชยหรือการซื้อเสียงเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนสิ่งที่จำเป็นในการอยู่รอดเท่านั้น ชาวบ้านจึงมองว่ามันไม่ใช่เรื่องผิดหรือไม่สมควร เพราะมันคือการตอบสนองต่อความจำเป็นที่เขาเข้าไม่ถึง

หากมองในมุมมองที่กว้างขึ้น ภาพของการเลือกตั้ง นายก อบจ. ในท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ กลับเผยให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการเลือกผู้นำที่อาจจะไม่ใช่เพียงเพราะคุณสมบัติทางการเมืองหรือแนวนโยบายที่ชัดเจน แต่กลับเป็นการเลือกจากความใกล้ชิดและการรับรู้ถึงความช่วยเหลือที่ได้รับในช่วงวิกฤต น้ำท่วม หรือเหตุการณ์ที่กระทบต่อชีวิตประจำวัน คนบางกลุ่มอาจจะไม่มองว่านโยบายเป็นเรื่องสำคัญที่สุด หากแต่มองว่าผู้นำที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและนำความช่วยเหลือมาสู่พวกเขาคือคนที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการในทันทีได้ดีกว่า

ถัดมาไม่ไกลนักมี “ป้าสุพัฒร์” (นามสมมติ) อีกหนึ่งหญิงสูงวัยที่อาศัยอยู่เพียงลำพัง เธอเล่าว่า การเลือกตั้งนายก อบจ. ในครั้งนี้กลายเป็นการสะท้อนถึงความหวังและความคาดหวังของประชาชนทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่มองหาโอกาสใหม่ในการเติบโต หรือผู้สูงอายุที่ยังคงต้องการโอกาสในการพึ่งพาตนเองให้พอประทังชีวิต แม้ในวัยที่มากขึ้นก็ตาม

“ป้าสุพัฒร์” หญิงสูงวัยที่แม้จะก้าวผ่านปีที่ยาวนานในอาชีพขายของที่สถานีรถไฟ แต่การสูญเสียโอกาสในการทำงานเพราะหมดสัญญาเช่าพื้นที่ทำให้เธอต้องเริ่มต้นใหม่ในวัยเกือบ 70 ปี ถือเป็นภาพสะท้อนชัดเจนถึงความท้าทายที่ผู้สูงอายุยังต้องเผชิญในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การเลือกตั้งนายก อบจ. ในปีนี้จึงไม่เพียงแค่การเลือกผู้นำในระดับท้องถิ่น แต่เป็นการเลือกผู้ที่จะต้องรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของประชาชน โดยเฉพาะปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อผู้สูงอายุและคนในชุมชน

“การมีอาชีพที่สามารถมีรายได้พอจุนเจือชีวิตในยามแก่เฒ่าก็สำคัญ ถึงแม้จะอายุมากขึ้นแล้ว ถ้าไม่มีการสนับสนุนจากภาครัฐ หรือส่งเสริมอาชีพ เฮาก็อาจจะลำบากหนัก  ป้าหวังว่า นายก อบจ. จะเห็นความสำคัญและช่วยสร้างโอกาสให้กับผู้สูงอายุ โดยการจัดตั้งศูนย์ฝึกอาชีพเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ”

ความคาดหวังในการเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่การเลือกผู้นำที่มีความสามารถในการบริหารจัดการ แต่ยังเป็นการเลือกผู้ที่จะสามารถสร้างความเป็นธรรมและเสมอภาคให้กับทุกกลุ่มในสังคม ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่หรือผู้สูงอายุ การให้ความสำคัญกับการพัฒนาอาชีพและการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับทุกคนถือเป็นแนวทางที่ควรได้รับการผลักดันจากผู้ที่ได้รับเลือกให้มาเป็นผู้นำท้องถิ่นในอนาคต

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งนายก อบจ. ในครั้งนี้จึงไม่เพียงแค่การเลือกผู้นำตามหลักประชาธิปไตย หรือการพิจารณานโยบายที่สอดคล้องกับการพัฒนาท้องถิ่น แต่ยังสะท้อนถึงความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมที่ชาวบ้านต้องเผชิญ ซึ่งทำให้การตัดสินใจในการเลือกตั้งกลายเป็นการพิจารณาที่เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดในชีวิตประจำวันมากกว่าการเลือกอนาคตที่อาจจะยังไม่เห็นได้ในทันที

นโยบายที่ถูกเสนอในระหว่างการเลือกตั้งจึงอาจจะไม่ได้รับการพิจารณาในแง่ของวิสัยทัศน์ในระยะยาวเท่ากับการตอบสนองต่อความต้องการทันทีของชาวบ้าน การที่ชาวบ้านตัดสินใจเลือกผู้นำจากการเห็นผลตอบแทนที่ได้รับในช่วงวิกฤตหรือเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ จึงสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างผู้นำและประชาชนที่เกิดขึ้นจากการตอบสนองความต้องการในยามยากลำบาก และแม้จะมีเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับความชอบธรรมของกระบวนการเลือกตั้งในลักษณะนี้ แต่ในมุมของชาวบ้านแล้ว การที่มีใครสักคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาในยามที่ชีวิตเต็มไปด้วยความลำบากก็อาจจะทำให้พวกเขามองว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง