สืบเนื่องจากวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 สื่อ MGROnline Live หรือ ผู้จัดการออนไลน์ ได้รายงานข่าวในกรณีของพรรคประชาชนที่ผลักดันร่าง พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ที่เสนอโดย เลาฟั้ง บัณฑิตเทิดสกุล สส.กลุ่มชาติพันธุ์ ของพรรคประชาชน ซึ่งมีเนื้อหาข่าวที่พาดพิงทั้ง เลาฟั้ง และ กลุ่มชาติพันธุ์ โดยใช้ชื่อข่าวว่า “จับตา! “พรรคประชาชน-เพื่อไทย” แจก “พื้นที่ป่า” ครอบครัวละ 20 ไร่ ให้ต่างด้าว?” ซึ่งหลังจากนั้นในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม P-move ได้ออกแถลงการณ์ต่อกรณีดังกล่าว เรื่อง ‘ผู้จัดการออนไลน์’ ต้องหยุดเป็นเครื่องมือราชการขวางทางสางปัญหาที่ดินคนจน กรณีเสนอข่าวโจมตี ‘เลาฟั้ง’ โดยมีเนื้อหาดังนี้
วานนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2568) ‘ผู้จัดการออนไลน์’ ได้รายงานข่าวว่า “จับตา! “พรรคประชาชน-เพื่อไทย” แจก “พื้นที่ป่า” ครอบครัวละ 20 ไร่ ให้ต่างด้าว?” โดยมีเนื้อข่าวโจมตีโดยตรงที่ ‘เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล’ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน สัดส่วนชาติพันธุ์ ซึ่งเกิดจากการที่เลาฟั้งได้เป็นผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. … เพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินของราษฎรที่ถูกทับซ้อนด้วยเขตป่าอนุรักษ์ หลังจากที่ชาวบ้านต้องเผชิญความเดือดร้อนจากกฎหมายดังกล่าวหลังการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ในฐานะขบวนการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาด้านที่ดิน-ป่าไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศเขตป่าและการบังคับใช้กฎหมายที่เลวร้ายของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กังวลใจต่อการนำเสนอข่าวของผู้จัดการออนไลน์เป็นอย่างยิ่ง เพราะมีลักษณะเป็นการให้ร้ายกลุ่มประชาชนที่เรียกร้องสิทธิในที่ดินหลังถูก “ป่ารุกคน” และด้อยค่ากลุ่มชาติพันธุ์ ดังนี้
1.มีประชาชนที่อยู่อาศัยและทำกิน ก่อนถูกประกาศพื้นที่ป่าอนุรักษ์ (อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า) จริง อย่างน้อย 4,265 ชุมชน พื้นที่ 4.27 ล้านไร่ แต่กฎหมายที่มาทีหลังนั้นกลับไปประกาศทับในที่ทำกินและที่อยู่อาศัยของชาวบ้านโดยไม่กันพื้นที่ใช้ประโยชน์ของชุมชนออกก่อน ขาดการมีส่วนร่วม และหลายกรณีพบว่ามีการอพยพไล่รื้อ จับกุมดำเนินคดีชาวบ้าน เช่น กรณีอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานที่กระทำกับชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี
ซึ่งเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำโดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้พยายามผลักดันร่างพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติในเขตป่าอนุรักษ์ และให้คณะรัฐมนตรีเร่งเปิดทางการแก้ไขพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีจนสำเร็จเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 ท่ามกลางการเคลื่อนไหวคัดค้านอย่างเข้มข้นของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบและพรรคการเมืองที่เห็นความเดือดร้อนของชาวบ้าน
หนึ่งในเงื่อนไขที่ชาวบ้านรับไม่ได้คือการจำกัดเนื้อที่ทำกินให้ชาวบ้านทำกินได้ครอบครัวละ 20 ไร่ ระยะเวลา 20 ปี ซึ่งขัดต่อความเป็นจริงในพื้นที่ ทำไมการที่ประชาชนตั้งรกรากอยู่อาศัยมาก่อนจึงถูกจำกัดให้อยู่เป็นการชั่วคราวเพียง 20 ปี และทำไมการสำรวจการถือครองที่ดินตามเนื้อที่จริงที่ชาวบ้านใช้ประโยชน์อยู่จริง ที่ไม่ต้องถูกจำกัดเพียง 20 ไร่ จึงเป็นเรื่องที่กรมอุทยานฯ รับไม่ได้ ทั้งที่กรมอุทยานฯ คือผู้บุกรุกที่ดินชาวบ้านด้วยการขีดเส้นเขตป่าตามอำเภอใจ
ฉะนั้นสื่อมวลชนที่นำเสนอข่าวว่า “แจกพื้นที่ป่าครอบครัวละ 20 ไร่” เป็นการสนับสนุนให้เกิดขบวนการปล้นที่ดินของราษฎรหรือไม่
2.มีประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในระหว่างการพิสูจน์สิทธิ์ในสัญชาติจริง ซึ่งรัฐบาลก็มีแนวทางการคืนสิทธิให้ประชาชนกลุ่มนี้ผ่านมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 แต่ประชาชนกลุ่มที่ไร้สัญชาติกลุ่มนี้เอง แม้จะอยู่ติดผืนดินมาเป็นเวลานานแต่ก็จะถูกจำกัดสิทธิในที่ดินทำกินตามหลักเกณฑ์ของกรมอุทยานฯ ฉะนั้นต้องทำความเข้าใจว่าการเข้าถึงสิทธิในสัญชาติของกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยนั้นเป็นไปได้ยาก ยังมีประชาชนตกหล่นจากกระบวนการคืนสิทธิ์นี้มากหลักแสนคน หากประชาชนกลุ่มนี้ถูกประกาศทับซ้อนด้วยป่าอนุรักษ์อีกก็จะถูกยึดที่ดินทำกิน
ฉะนั้นการเรียกคนชาติพันธุ์ที่อยู่ในแผ่นดินไทยว่าเป็น “ต่างด้าว” ของสื่อมวลชนเช่นนี้ ถือเป็นการโฆษณาหรือเผยแพร่ทางสื่อมวลชนหรือสื่อสารสนเทศอันเป็นการเหยียดหยาม สร้างความเกลียดชัง หรือเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อกลุ่มชาติพันธุ์ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกลุ่มชาติพันธุ์
สื่อมวลชนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ก็คือขบวนการในการ ‘ด้อยค่า’ กลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อสนับสนุนให้หน่วยงานราชการปล้นสิทธิในที่ดินและย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต่อไปหรือไม่
พีมูฟเห็นว่า การนำเสนอข่าวที่ไม่รอบด้าน รับฟังความข้างเดียว ใส่ความเห็นในเชิงดูถูกเหยียดหยามพี่น้องประชาชนกลุ่มเปราะบาง และตีรวนให้สังคมเข้าใจคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงเช่นนี้ คือความไร้จรรยาบรรณอย่างเลวร้ายของสื่อมวลชนที่ควรร่วมกันทำหน้าที่ตีแผ่ความจริงเพื่อขับเคลื่อนสังคมสู่ความสันติ มิใช่เป็นเครื่องมือของหน่วยงานราชการในขบวนการขัดขวางการสางปัญหาที่ดินคนจน ฉุดรั้งสังคมให้ไม่อาจพัฒนาไปข้างหน้าอย่างเคารพซึ่งกันและกัน การนำเสนอเช่นนี้จึงไม่อาจตีความเป็นอื่นไปได้ นอกจากเป็นการที่สื่อมวลชนสื่อนี้ได้ผสานแนบแน่นเข้ากับขบวนการปล้นที่ดินราษฎรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เราขอตั้งข้อสังเกตว่าที่ผ่านมา เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล มีบทบาทสำคัญในการผลักดันการแก้ไขปัญหาที่ดินรัฐทับซ้อนกับที่ดินประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มชาติพันธุ์ เห็นได้จากการพยายามผลักดันร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. … ร่างพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. …. ร่างพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. …. ร่างพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. …. และร่าง พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ราษฎรซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐ ด้านที่ดินและป่าไม้ พ.ศ. …. ซึ่งทุกครั้งที่พรรคการเมือง หรือภาคประชาชนเองได้ออกมาผลักดันกฎหมายเหล่านี้มักจะถูกสื่อมวลชนบางสำนักผลิตข่าวปลอม (Fake News) โจมตีอย่างรุนแรง เสมือนว่าการดิ้นรนเพื่อรักษาอำนาจของกรมอุทยานฯ ในการปกครองพื้นที่และกดขี่ประชาชนไว้ กับการเคลื่อนไหวของสื่อมวลชนบางสำนัก คือขบวนการเดียวกันที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำลายสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการได้รับสิ่งที่พึงได้รับกลับคืน นั่นคือสิทธิของความเป็นมนุษย์ของกลุ่มชาติพันธุ์ และสิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ
เราจึงมีข้อเรียกร้องถึง ‘ผู้จัดการออนไลน์’ ดังนี้
1.ผู้จัดการออนไลน์ ต้องรับฟังความจริงรอบด้าน อย่าตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายหน่วยงานราชการที่คัดค้านกฎหมายที่มุ่งคืนสิทธิในการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติของกลุ่มชาติพันธุ์ ต้องให้ความเป็นธรรมกับกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองและชาติพันธุ์ซึ่งถือเป็นหนึ่งในประชาชนกลุ่มเปราะบางและด้อยโอกาสที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และตามคำแถลงนโยบายของรัฐบาล
2.ผู้จัดการออนไลน์ ต้องแถลงต่อสาธารณะเพื่อแก้ความเข้าใจผิดที่ตนเองได้สร้างไว้ต่อผู้คนในสังคมออนไลน์ โดยการเผยแพร่ข่าวอีกแง่มุมหนึ่งของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกกรมอุทยานฯ ละเมิดสิทธิมนุยชน หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม พีมูฟพร้อมจะร่วมชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องและประสานงานแหล่งข่าวที่เหมาะสมต่อไป
และเราขอส่งเสียงนี้ถึงสื่อมวลชนสำนักอื่นๆ ให้พึงระวังในการนำเสนอข่าว จงยึดมั่นในจรรยาบรรณและปรัชญาสื่อมวลชน ประกอบวิชาชีพโดยสุจริต หยุดบิดเบือนสร้างความเกลียดชังต่อพี่น้องประชาชนด้วยกัน
ทั้งนี้ในวันเดียวกัน เลาฟั้ง ก็ได้ออกมาตอบโต้การรายงานข่าวของ สื่อ MGROnline Live เขาเผยว่าตนเป็นผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. …. เพื่อ “แก้ไขปัญหาที่ดินของราษฎรทับซ้อนกับเขตป่า” จริง แต่การที่ สื่อ MGROnline Live รายงานเนื้อหาว่า “แจกพื้นที่ป่าครอบครัวละ 20 ไร่ให้ต่างด้าว” นั้นเป็นการกล่าวเท็จ ใส่ความและด้อยค่ากฎหมายที่เรากำลังเสนอเพื่อแก้ไขความเดือดร้อนให้ประชาชนคนไทย สำหรับคุณชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร นั้น เคยมาร่วมประชุมกรรมาธิการวิสามัญ พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ครั้งเดียว และไม่ได้พูดแสดงความคิดเห็นอะไร
ที่มาของการเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้คือ เพื่อปลดล็อกปัญหาที่ดินทับซ้อนกับเขตป่าทั่วประเทศ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไม่เกิน 20% เท่านั้น อันเป็นนโยบายสำคัญของพรรคประชาชนที่ต้องการปลดกระดุมเม็ดแรกเพื่อปลดล็อกชนบท ทั้งยังเป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้งของทุกพรรคการเมือง ไม่มีเนื้อหาส่วนใดเลยที่ทำเพื่อแจกที่ดินให้คนต่างด้าว
ความจริงผมในฐานะตัวแทนของพรรคประชาชน ได้เสนอแก้ไขกฎหมายป่าไม้ที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนทั้งหมด 4 ฉบับ ล้วนเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาที่ดินทับซ้อนกับเขตป่าที่มีประชาชนได้รับความเดือดร้อนกว่า 23,841 ชุมชนทั่วประเทศ จำนวนกว่า 5 ล้านคน ประกอบด้วย ร่าง พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. …. ร่าง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. …. ร่าง พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. …. และร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีทวงคืนผืนป่า พ.ศ. ….
ปัญหาที่ดินทับซ้อนกับเขตป่า เป็นความเดือดร้อนของประชาชนทั่วประเทศ ทุกวันที่มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร จะมี ส.ส.ต่างจังหวัดจากทุกพรรคนำปัญหาที่ดินทับซ้อนกับเขตป่า และปัญหาไม่สามารถทำโครงการพัฒนาได้เนื่องจากติดเขตป่า ไปอภิปรายหารือผ่านประธานสภาฯ บ่อยครั้งที่เป็นการตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรี
ถามว่าปัญหาที่ดินทับซ้อนกับเขตป่ามีมากน้อยเพียงใด ปัจจุบันมีที่ดินของราษฎรทับซ้อนกับพื้นที่ป่าอย่างน้อย 16.7 ล้านไร่ มีผู้ได้รับความเดือดร้อนกว่า 23,841 ชุมชน และมีโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ให้สร้างกว่า 130,000 โครงการ นอกจากนี้ช่วงนโยบายทวงคืนผืนป่า มีคนถูกจับกุมดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม 29,190 คดี มีที่ดินทำกินถูกยึดประมาณ 700,000 ไร่ ซึ่งคนเหล่านี้รัฐบาลได้มีนโยบายผ่อนผันให้อยู่แล้ว ความจริงพวกเขาไม่ควรถูกดำเนินตั้งแต่ต้น
ที่ผ่านมารัฐบาลทุกยุคต่างมีนโยบายผ่อนผันและพยายามแก้ไขปัญหาอยู่แล้ว คือ ตามมติ ครม. 30 มิ.ย. 2541 ระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ. 2553 คำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 และล่าสุดคือนโยบายจัดทำ คทช. ตามมติ ครม. วันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งในการเสนอแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับป่าไม้ดังกล่าวข้างต้นนี้ เป็นการนำนโยบายเหล่านี้มาพัฒนาและทำเป็นร่างกฎหมาย เพื่อนำไปสู่การจัดทำเอกสารรับรองและควบคุมการใช้ที่ดิน รวมทั้งอำนวยการให้สามารถทำถนน ไฟฟ้า แหล่งน้ำ อาคารเรียน สถานพยาบาลให้ประชาชนได้เท่านั้น
หลายคนอาจแย้งว่ารัฐบาลนี้มีนโยบายแก้ไขปัญหาโดยทำ คทช. ให้อยู่แล้ว แต่ความจริงคือรัฐบาลไม่สามารถทำได้จริง เพราะผ่านมาแล้ว 6 ปี สามารถจัด คทช. ได้เพียง 85,403 ราย เนื้อที่ 698,142 ไร่ หรือประมาณ 5.5% ของกลุ่มที่เป้าหมายเท่านั้น หากทำแบบนี้ต้องใช้เวลานานถึง 130 ปี ส่วนโครงการพัฒนาที่รอหนังสืออนุญาตค้างอยู่กว่า 130,000 คำขอ แสดงให้เห็นว่ากลไกที่รับผิดชอบอยู่ไม่มีประสิทธิภาพ
ข้อเสนอในร่างกฎหมายที่พรรคประชาชน คือ
1.สร้างหลักประกันให้มีตัวแทนภาคประชาชนเป็นคณะกรรมการในทุกระดับ เช่น คณะกรรมการป่าสงวนแห่งชาติประจำจังหวัด คณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ
2.ปลดล็อกการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของ อปท. โดยกำหนดให้โครงการใหม่ที่ใช้พื้นที่ไม่เกิน 100 ไร่ ให้เป็นอำนาจของผู้ว่าราขการจังหวัด สำหรับโครงการพัฒนาของท้องถิ่นที่เพียงซ่อมแซม บำรุงรักษาให้ทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาต
3.ปลดล็อกปัญหาที่ดินทับซ้อนกับเขตป่าสงวนแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า เฉพาะพื้นที่ที่ได้รับการคุ้มครองนโยบายของรัฐบาล
4.นิรโทษกรรมให้แก่ผู้ที่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายเกี่ยวกับป่าไม้อย่างไม่เป็นธรรม ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2541 จนถึงวันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีนโยบายหรือกฎหมายคุ้มครองให้อยู่แล้ว คือ มติ ครม. 30 มิถุนายน 2541 และคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 ซึ่งคนกลุ่มนี้ไม่ควรถูกดำเนินคดีตั้งแต่ต้น แล้วนำที่ดินพิพาทเข้าสู่กระบวนแก้ไขปัญหาที่ดินตามกฎหมายหรือนโยบายของรัฐบาลตามแต่กรณี
เหตุผลที่ผมคัดค้านพระราชกฤษฎีกากำหนดการใช้ที่ดินตามมาตรา 64 พ.ร.บ.อุทยานฯ พ.ศ. 2562 และ มาตรา 121 พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า เนื่องจากเป็นกฎหมายแย่งยึดที่ดินของชาวบ้านที่เขาอยู่มาก่อน 4,042 ชุมชน เนื้อที่รวมกัน 4.2 ล้านไร่ เพราะเขียนว่าอนุญาตครอบครัวละไม่เกิน 20 ไร่ หากเกินต้องยึดคืน ระยะเวลาไม่เกิน 20 หากครบต้องคืน ไม่สามารถตกทอดทางมรดกให้ลูกหลานได้ ไม่สามารใช้ทำโฮมสเตย์รองรับนักท่องเที่ยวได้ เป็นกฎหมายบังคับให้ชาวบ้านต้องจนและเมื่อครบกำหนดจะถูกยึดคืนทั้งหมด ด้วยเหตุผลเหล่านี้ผมไม่อาจปล่อยให้มีกฎหมายที่ละเมิดสิทธิเช่นนี้ได้
ที่ผ่านมาผมมีบทบาทเป็นตัวแทนของประชาชนขับเคลื่อนผลักดันกฎหมายและนโยบายด้านที่ดินในสภามาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างผลงานของผม คือ
1.เสนอร่างกฎหมาย 5 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ส่งเสริมและคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธ์ พ.ศ. …. ร่าง พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. …. ร่าง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. …. ร่าง พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. …. และร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีทวงคืนผืนป่า
2.ยกร่างกฎหมาย 1 ฉบับ คือ ร่าง พ.ร.บ.พื้นที่ชุ่มน้ำ พ.ศ. …. กำลังพิจารณาจะเสนออีก 2 ฉบับ คือ ร่าง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อม พ.ศ. …. และ ร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. …. (เพิ่มวิธีพิจารณาคดีปกครองด้านสิ่งแวดล้อม)
3.เสนอญัตติ 2 ครั้ง คือ ญัตติปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและโยบายที่ห้ามหรือเป็นอุปสรรคต่อการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินที่อยู่บน พื้นที่สูง ภูเขาและเกาะ ตามกฎกระทรวงที่ 43 (2537) และญัตติส่งเสริมและสนับสนุนการให้บริการของระบบนิเวศน์ในเขตป่าต้นน้ำ
4.อภิปรายงบประมาณวาระ 1 จำนวน 2 ครั้ง เสนอแนวทางจัดสรรงบประมาณแก้ไขปัญหาที่ดินทั้งประเทศ
5. อภิปรายคำแถลงนโยบายของ ครม. 2 ครั้ง เสนอแนะแนวทางการจัดทำนโยบายแก้ไขปัญหาที่ดินทับซ้อนกับเขตป่า และแก้ไขปัญหาสิทธิในที่ดินทั้งระบบ
นอกจากนี้ยังมีงานกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรอีก โดยผมเป็นเลขานุการกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเป็นรองประธานอนุกรรมาธิการแก้ไขปัญหาการอนุญาตให้ท้องถิ่นจัดทำบริการสาธารณะให้ชุมชนในเขตป่า และผมยังได้วางแผนที่จะเป็นประธานอนุกรรมาธิการแก้ไขปัญหาที่ดินของราษฎรทับซ้อนกับที่สาธารณะประโยชน์ของกรมที่ดิน ที่มีประชาชนเดือดร้อนกว่าหลายแสนคนทั่วประเทศ และที่ดินในเขตนิคมอีกไม่ต่ำกว่า 2 ล้านไร่
ทุกวันนี้ เวลาไปประชุมที่สภา จะมี ส.ส.ต่างจังหวัดทั้งจากพรรคประชาชนและพรรคอื่นๆ มาสอบถามและขอคำแนะนำในการแก้ไขปัญหาจากผม พวกเขาต่างชื่นชอบในสิ่งที่ผมทำ ให้การสนับสนุนและให้กำลังใจผมบ่อยๆ แม้กระทั่งอภิปรายสนับสนุนร่างกฎหมายและญัตติของผม เพราะสิ่งที่ผมทำนั้นกำลังจะไปช่วยแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้านจริงๆ
สำหรับเหตุผลที่ว่าทำไมถึงมีการออกมาโจมตีผมและพรรคประชาชนในช่วงเวลานี้ เนื่องจากเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธุ์ที่ผ่านมามีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติให้ความเห็นชอบไปแล้ว และกำลังถูกนำเข้าไปพิจารณาในชั้นวุฒิสภาในวันจันทร์ที่ 17 นี้ หากผ่านไปได้ก็จะถูกบังคับใช้เป็นกฎหมาย ซึ่งฝ่ายกรมป่าไม้และกรมอุทยานไม่พอใจ จึงออกมาโจมตีด้อยค่าและกล่าวหาเพื่อปั่นกระแสในสังคมเท่านั้น เหมือนอย่างที่พวกเขาโจมตีผมในสภาฯ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธุ์ ซึ่งผมก็ได้ชี้แจงตอบทุกข้อซักถามไปหมดแล้ว
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...