เปิดผลการเลือกตั้ง ส.อบจ. 17 จังหวัดภาคเหนือ แน่ใจหรือว่าพรรคการเมืองคุมท้องถิ่นได้?

เรื่อง: ปองภพ ดั่นสมานฉันท์ชัย

สนามเลือกตั้ง นายก อบจ. 2568 ถือเป็นการเลือกตั้งท้องถิ่นที่ร้อนแรงมากครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ เสมือนเวทีชิมลางเลือกตั้ง สส. ที่จะเกิดในปี 2570 อย่างไรก็ตามยังคงมีสนามการเลือกตั้งอีกสนามที่แข่งขันควบคู่นายก อบจ. นั่นคือ “การเลือกตั้ง ส.อบจ.” ซึ่งผู้สมัครบางคนก็ลงสมัครในนามพรรคแดงหรือพรรคส้ม บ้างสมัครในนามอิสระ หรือบางคนมิได้ประกาศว่าลงสมัครส่วนตัวมิได้สังกัดกลุ่มใด

สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) หรือที่เรายังเรียกกันติดปากว่า “สจ.” คือ ฝ่ายนิติบัญญัติขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) มีหน้าที่ในการตราข้อบัญญัติ อบจ. และอนุมัติงบประมาณของ อบจ.

ผศ.ดร.ณัฐกร วิทิตานนท์ อธิบายว่า ตำแหน่ง ส.อบจ. เป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญมากในการเมืองท้องถิ่น เพราะจะช่วยวางรากฐานให้นักการเมืองท้องถิ่นสามารถเติบโตขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นได้ ณัฐกรยกตัวอย่าง ชัย ชิดชอบ ที่เดิมเคยดำรงตำแหน่ง ส.อบจ. จากนั้นจึงได้วางรากฐานในการเมืองท้องถิ่น จนสามารถผลักดันให้คนตระกูลชิดชอบเดินทางไปถึงตำแหน่งรัฐมนตรีได้หลายคน

ในอดีต ส.อบจ. เป็นตัวแทนประชาชนเพียงไม่กี่ตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งและมีอำนาจหน้าที่ครอบคลุมระดับอำเภอ ในขณะที่ตำแหน่งกำนันและผู้ใหญ่บ้านมีอำนาจหน้าทีครอบคลุมพื้นที่น้อยกว่า ส.อบจ. จึงเป็นตำแหน่งที่คอยดูสารทุกข์สุขดิบ เป็นข้อต่อที่เชื่อมระหว่างการเมืองระดับท้องถิ่นกับระดับชาติ ด้วยบทบาทเช่นนี้ จึงเป็นตำแหน่งที่นักการเมืองท้องถิ่นหลายคนสามารถใช้เพื่อสร้างฐานคะแนนเสียงในระดับอำเภอและระดับจังหวัดได้

นอกจากนั้น ยังมีถือครองอำนาจในการผ่านงบประมาณของ อบต. ร่วมกับการทำหน้าประสานงานองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นๆ ส.อบจ. จึงเป็น “หัวใจของ อบจ.” อ้างอิงตามทัศนะของ ผศ.ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ ในรายการ The Politics เผยว่า ส.อบจ. มีความสำคัญและมีบทบาทในการเลือกตั้งนายกอย่างมาก แม้กระแสการเมืองระดับชาติจะหนุนเสริมภาพความแข็งแกร่งของนายก อบจ. บนหน้าสื่อ แต่สำหรับท้องถิ่น ส.อบจ. ต่างหากที่มีบทบาทหนุนเสริมอำนาจ/บารมีของนายก อบจ.

กล่าวคือ ทั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ. ต่างเชื่อมร้อยกันเป็นเครือข่ายในท้องถิ่น จนสามารถดำรงตนอยู่ในฐานะชนชั้นนำประจำจังหวัด โดย ส.อบจ. จะทำหน้าที่ดึงงบประมาณและโครงการพัฒนาจากจังหวัดมาสู่พื้นที่ระดับอำเภอหรือตำบล โดยเฉพาะพื้นที่ชนบท ฉะนั้น สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงเป็นเสมือนจักรกลทางการเมืองในท้องถิ่นระดับจังหวัด

สามารถดู [ชุดข้อมูล] รายชื่อ ส.อบจ. 17 จังหวัดภาคเหนือ ได้ที่ https://www.lannernews.com/26022568-02/

หากมาดูผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการของสนาม ส.อบจ.ใน 17 จังหวัดภาคเหนือปรากฎว่า จำนวนเก้าอี้ ส.อบจ. มีทั้งหมด 492 ที่นั่ง และเป็นแชมป์เก่าเพียง 194 ที่นั่ง หรือคิดเป็น 39% ของจำนวนเก้าอี้ทั้งหมด ซึ่งแตกต่างจากสัดส่วนแชมป์เก่าของนายก อบจ. ที่สามารถรักษาเก้าอี้นายก อบจ. ได้เหมือนเดิมถึง 82.35% และหากจำแนกเป็นรายจังหวัด สามารถจำแนกสัดส่วนแชมป์เก่าในสนาม ส.อบจ. ได้ดังนี้

เชียงใหม่

เชียงใหม่เองเป็นหนึ่งในจังหวัดที่น่าจับตาที่สุดในภาคเหนือ เป็นการแข่งขันระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนทั้งสองสนาม ผลการเลือกตั้ง ส.อบจ. ปรากฏว่า จากจำนวนเก้าอี้ ส.อบจ. ทั้งสิ้น 42 เก้าอี้ กลับเป็นแชมป์เก่าเพียง 11 เก้าอี้ โดยทั้งหมดเป็นผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย  สัดส่วนแชมป์เก่า คือ 26.19%

ขณะที่ ผลการเลือกตั้ง ส.อบจ.เชียงใหม่ทุกเขต พบว่า ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งทั้งหมด 26 ที่นั่ง ขณะที่ผู้สมัครพรรคประชาชนกวาดที่นั่ง ส.อบจ. ไปได้ 15 ที่นั่ง (ส่วน ส.อบจ. อีก 9 คนที่เหลือไม่ปรากฏว่าลงสมัครในนามพรรคใด)

อำเภอเมืองซึ่งเป็นฐานคะแนนของพรรคประชาชน พบว่า ผู้สมัคร ส.อบจ.พรรคประชาชนสามารถชนะการเลือกตั้งทุกเขต ยกเว้นเขต 1 (แพ้ให้กับผู้สมัครพรรคเพื่อไทย) อำเภอสันทรายทั้ง 3 เขต แม่ริมทั้ง 2 เขต แม่แตงทั้ง 2 เขต ฮอต (ทั้งอำเภอ) 1 เขต และอำเภอสารภีและดอยสะเก็ด อำเภอละ 1 เขต ซึ่งเขตการเลือกตั้งทั้งหมดที่ผู้สมัครจากพรรคประชาชนชนะการเลือกตั้ง เป็นพื้นที่อำเภอติดกับอำเภอเมืองเกือบทั้งหมด

ขณะที่ ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย สามารถชนะการเลือกตั้งในอำเภอสันกำแพงทั้ง 2 เขต ฝางทั้ง 2 เขต เชียงดาวทั้ง 2 เขต แม่อายทั้ง 2 เขต และสันป่าตองทั้ง 2 เขต ในส่วนอำเภอเมือง สารภี หางดง ดาวสะเก็ด และจอมทอง ผู้สมัครพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งอำเภอล่ะ 1 เขตเท่ากัน 

ส่วนอำเภอรอบนอกอย่าง อมก๋อย แม่แจ่ม พร้าว ฮอด ไชยปราการ แม่วาง ดอยเต่า ดอยหล่อ สะเมิง แม่ออน เวียงแหง และกัลยาณิวัฒนา ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยสามารถกุมชัยชนะไว้ได้ทั้งหมด

เชียงราย

เชียงรายเป็นจังหวัดที่สร้างสีสันบนหน้าสื่อมากที่สุดจังหวัดหนึ่งในภาคเหนือ ทั้งก่อนจนถึงหลังการเลือกตั้ง สำหรับสนามการเลือกตั้ง ส.อบจ. ผลปรากฎว่า จากจำนวนเก้าอี้ ส.อบจ. 36 เก้าอี้

หากจำแนกตามชุดหาเสียงจะพบว่า ผู้สมัคร ส.อบจ. ที่สวมเสื้อคลุมสีแดงพรรคเพื่อไทยคว้าชัยไปได้ 15 ที่นั่ง และผู้สมัครคู่แข่งที่สวมเสื้อคอปกสีชมพู ทีมนก อทิตาธร ชนะการเลือกตั้ง ส.อบจ. ทั้งสิ้น 16 ที่นั่ง

ในส่วนของแชมป์เก่ายังคงสามารถครองเก้าอี้ได้ 12 เก้าอี้ สัดส่วนแชมป์เก่า คือ 33.33% พบว่า แชมป์เก่าสังกัดทีมนกฯ มีถึง 6 คน ส่วนแชมป์เก่าที่สังกัดเพื่อไทยมีเพียง 3 คนเท่านั้น

ทีมนกฯ ชนะการเลือกตั้ง ส.อบจ. ในทุกเขตการเลือกตั้งของอำเภอเทิง ป่าแดด เวียงแก่น ซึ่งเป็นพื้นที่ฐานคะแนนเดิมของนายกนก อทิตยาธร และตระกูลวันไชยธนวงศ์ 

ส.อบจ. ทีมนกฯ ยังสามารถชนะการเลือกตั้งในเขต 1 อำเภอแม่จันทร์ เขต 3 อำเภอพาน อำเภอแม่ฟ้าหลวงยกเขต ซึ่งเดิมเป็นฐานเสียงของตระกูลติยะไพรัชและเครือข่ายพรรคเพื่อไทย นอกจากนี้ผู้สมัคร ส.อบจ. ทีมนกยังสามารถชนะการเลือกตั้งในอำเภอเมือง 2 เขต และชนะในสนามอำเภอแม่ลาว แม่สรวย และเวียงป่าเป้า อำเภอละ 1 เขต

ขณะที่อำเภอแม่จัน และอำเภอพานซึ่งเป็นฐานคะแนนสำคัญของเครือข่ายพรรคเพื่อไทย (ตระกูลติยะไพรัชและตระกูลเชื้อเมืองพาน) ผู้สมัคร ส.อบจ.ในนามพรรคเพื่อไทยกลับไม่สามารถชนะการเลือกตั้งได้ทั้งอำเภอ แต่ยังสามารถรักษาคะแนนในเขตอำเภอ พญาเม็งราย ขุนตาล เวียงเชียงรุ้ง ดอยหลวง และเชียงแสน 

ท้ายที่สุด แม้ ส.อบจ. ทีมนกฯ จะครองเสียงข้างมากในสภา อบจ. แต่ ส.อบจ. สังกัดพรรคเพื่อไทยก็มีจำนวนน้อยกว่าเพียง 1 คนเท่านั้น จึงเป็นที่น่าจับตาว่าท้ายที่สุดหลังการรับรองผลการเลือกตั้ง ส.อบจ. สังกัดใดจะได้รับเลือกเป็นประธานสภา อบจ. เชียงราย เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่อาศัยเสียงข้างมากของ ส.อบจ. โดย ส.อบจ. ที่ไม่ได้สังกัดทั้งเพื่อไทยและทีมนกมีจำนวนทั้งสิ้น 5 คน ประกอบด้วย ส.อบจ.เมือง เขต 2,3,6 และ 7 และ ส.อบจ.เชียงของ เขต 1 

ลำปาง

จังหวัดลำปางเป็นจังหวัดที่การแข่งขันทั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ. ผลปรากฏว่าผู้สมัครชิงนายก อบจ. ที่สวมเสื้อเพื่อไทย (ตวงรัตน์ โล่ห์สุทร) สามารถชนะการเลือกตั้งไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

ตรงกันข้ามกับสนามการเลือกตั้ง ส.อบจ. ผู้สมัครจากที่ความใกล้ชิดนางสาวตวงรัตน์กลับหาเสียงในนาม “ทีมลำปางทั้งหัวใจ” สามารถกุมชัยชนะ 13 ที่นั่ง จากจำนวนที่นั่งกว่า 30 ที่นั่ง ขณะที่ผู้สมัคร ส.อบจ. ในเสื้อพรรคประชาชนสามารถชนะการเลือกตั้งทั้งสิ้น 4 ที่นั่ง นอกจากนี้ ยังมีผู้สมัคร ส.อบจ. ในนาม กลุ่มพัฒนาเมืองเขลาค์นคร สามารถชนะการเลือกตั้งได้ ส.อบจ. มา 2 ที่นั่ง

ในส่วนของ ส.อบจ. แชมป์เก่า ส.อบจ.ลำปาง สามารถรักษาเก้าไว้ได้ทั้งสิ้น 8 ที่นั่ง คิดเป็น 26.67% ทั้งหมดสังกัดทีมลำปางทั้งหัวใจ

อย่างไรก็ตาม ส.อบจ. หลายคน โดยเฉพาะ ส.อบจ.แชมป์เก่า มีลักษณะการหาเสียงและการประกาศตนเป็นคนหลายสังกัด อาทิ ส.อบจ.เบิร์ด – พิเชษ ทินอยู่ ส.อบจ.เกาะคา เขต 1 ที่ได้รับการสนับสนุนจากตวงรัตน์ในนามทีมลำปางทั้งหัวใจ แต่ ส.อบจ.เบิร์ด ยังหาเสียงใต้สังกัดทีมพลังลำปาง ซึ่งนำโดย ดาชัย เอกปฐพี คนใกล้ชิดและมือทำงานของ ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่พยายามหาเสียงมาต่อเนื่องตั้งแต่การเลือกตั้ง อบจ. เมื่อปี 2563 (แพ้การเลือกตั้งทั้ง 2 ครั้ง) 

หรือกรณีของ ธีรพล ศรีวงษ์ และสมคิด จิตปลื้ม ส.อบจ.งาว เขต 1-2 ตามลำดับ ทั้งคู่มิได้ประกาศตัวในนามทีมใด แต่ก็ปรากฏภาพร่วมลงพื้นที่หาเสียงกับทั้งดาชัยและตวงรัตน์ จึงเป็นเรื่องที่ยากมาก หากพยายามจะจำแนกว่าพวกเขาสังกัดทีมใดกันแน่

ลำพูน

จังหวัดลำพูนเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด หลังการเลือกตั้งนายก อบจ. ผู้สมัครจากพรรคประชาชน (วีระเดช ภู่พิสิฐ) สามารถคว้าชัยมาได้ กลายเป็นนายก อบจ. คนเดียวของพรรคประชาชน

สำหรับ สนาม ส.อบจ. ผู้สมัครในชุดสีส้มของพรรคประชาชนสามารถคว้าเก้าอี้ ส.อบจ. ไปได้มากถึง 15 ที่นั่ง จากจำนวนที่นั่งทั้งสิ้น 24 ที่นั่ง ส่งผลให้ ส.อบจ. พรรคประชาชนกลายเป็นเสียงข้างมากในสภา อบจ.ลำพูน ในขณะที่ผู้สมัครเสื้อคลุมแดงในนามพรรคเพื่อไทยกลับชนะการเลือกตั้ง ส.อบจ. เพียง 4 ที่นั่ง 

ในส่วนของแชมป์เก่าสามารถรักษาเก้าอี้ไว้ได้เพียง 5 ที่นั่ง (คิดเป็นสัดส่วนเพียง 12.5%) โดยลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย 3 คน และพรรคประชาชน 2 คน

พรรคประชาชนในการเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้ นับเป็นการสานต่อความสำเร็จของพรรคส้ม หลังการเลือกตั้ง อบจ. เมื่อปี 2563 ส.อบจ.สังกัดพรรคส้มสามารถชนะการเลือกตั้งได้ 2 คน จากนั้น พรรคจึงค่อยๆ เติบโตในการเมืองท้องถิ่นจังหวัดลำพูน 

ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ผู้สมัคร ส.อบจ. ทุกคนของพรรคประชาชนถือเป็นหน้าใหม่ของพรรค เนื่องจากเป็นทีมการเลือกคนล่ะทีมกับทีมที่ลงสมัครในนามคณะก้าวหน้าเมื่อปี 2563 แต่ผู้สมัครเหล่านี้กลับไม่ใช่หน้าใหม่ในการเมืองท้องถิ่นลำพูนแต่อย่างใด 

ส.อบจ.ลำพูน สังกัดพรรคประชาชนเป็นแชมป์เก่าจากการเลือกตั้งสมัยที่แล้วที่เข้ามาสังกัดพรรคประชาชน ได้แก่ สุริยัน ปัญญา และศิรศักดิ์ ทองยอด ส.อบจ.อำเภอลี้ เขต 1 และ 2 ตามลำดับ นอกจากนั้น ยังพบว่า พิทักษ์ ปันศิลป์ ผู้สมัคร ส.อบจ.บ้านโฮ่ง เขต 2 พรรคประชาชน เป็นอดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านในอำเภอบ้านโฮ่ง (แพ้ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยไปเพียง 163 คะแนน) ซึ่งคุณสมบัติส่วนตัวของผู้สมัครประกอบกับความนิยมพรรคประชาชนในจังหวัดลำพูน ส่งผลให้ท้ายที่สุด พรรคประชาชนสามารถชนะการเลือกตั้งนายก อบจ. ร่วมกับการมี ส.อบจ. เสียงข้างมากในสภา อบจ.

พะเยา

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ในจังหวัดพะเยาเหลือเพียงการเลือกตั้ง ส.อบจ. เพียงสนามเดียว เนื่องจากนายก อบจ. คนเก่าลาออกไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอย่างอัครา พรหมเผ่า น้องชายของธรรมนัส พรหมเผ่า ได้ส่งรองนายก อบจ. ธวัช สุทธวงค์ ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคเพื่อไทยแทนจนชนะการเลือกตั้งเมื่อปลายปี 2567

แต่ในสนามการเลือกตั้ง ส.อบจ. กลับไม่ได้ปรากฏผู้สมัครในนามพรรคเพื่อไทยแม้แต่คนเดียว ในขณะที่อดีตนายก อบจ. ‘อัครา พรหมเผ่า’ และ ธวัช สุทธวงค์ นายก อบจ.คนปัจจุบัน ต่างเลือกสวมเสื้อเพื่อไทยทั้งสิ้น 

ซึ่งหากมาดูที่ผลการเลือกตั้ง ส.อบจ. ปรากฏว่า แชมป์เก่าสามารถรักษาตำแหน่งได้มากถึง 14 ที่นั่ง จากที่นั่งทั้งหมด 24 ที่นั่ง โดย ส.อบจ. แชมป์เก่าทั้งหมดที่ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ต่างสวมเสื้อพื้นเมืองสีแดงของ “กลุ่มฮักพะเยา” และยังสามารถผลักดันสมาชิกของกลุ่มให้เข้าไปเป็น ส.อบจ. หน้าใหม่ได้อีก 10 คน รวมแล้วกลุ่มฮักพะเยาสามารถชนะการเลือกตั้ง ส.อบจ. ได้ทุกที่นั่ง ในสภา อบจ. 

อ. ถิรายุส์ บำบัด อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยพะเยา เปิดเผยผ่าน ThaiPBS ว่ากลุ่มฮักพะเยาคือ กลุ่มการเมืองที่มีสายสัมพันธ์เหนียวแน่กับ ธรรมนัส ชัดเจน สส.พะเยา พรรคกล้าธรรม ซึ่งในสนาม อบจ. รอบปี 2563 เครือข่ายกลุ่มฮักพะเยาของธรรมนัสก็กวาดก้าวอี้ ส.อบจ. ไปได้มากถึง 21 ที่นั่งแล้ว

กลุ่มฮักพะเยา เริ่มต้นวางรากฐานจากอำเภอเมือง จากนั้นค่อยๆ ขยายเครือข่ายไปสู่อำเภออื่นจนสามารถกุมคะแนนการเลือกตั้งพะเยาไว้ได้ โดยในการเลือกตั้ง ส.อบจ. ในครั้งนี้ กลุ่มฮักพะเยาสามารถขยายเครือข่ายไปถึงพื้นที่อำเภอเชียงคำ ซึ่งแต่เดิมไม่ใช่พื้นที่ฐานคะแนนของกลุ่มฮักพะเยาและธรรมนัส แต่หลัง เพชรรัตน์ พรหมเทพ นายก อบต.ร่มเย็น อำเภอเชียงคำหันมาให้การสนับสนุนธรรมนัสและเครือข่าย กลุ่มฮักพะเยาก็สามารถชนะการเลือกตั้ง ส.อบจ. อำเภอเชียงคำ รวมถึงชนะการเลือกตั้ง อบจ.พะเยา อย่างเบ็ดเสร็จ 

แม่ฮ่องสอน

ผลการเลือกตั้ง ส.อบจ. ปรากฏว่า แชมป์เก่าสามารถรักษาเก้าอี้ได้ทั้งหมด 8 ที่นั่ง จากจำนวนเก้าอี้ 24 ที่นั่ง คิดเป็นสัดส่วน 33.33% ไม่พบว่ามีผู้สมัครคนใดประกาศตนเป็นตัวแทนพรรคการเมืองใดๆ กระทั่งพรรคประชาชนเองก็ไม่ได้ส่งผู้สมัคร ส.อบจ. ในจังแม่ฮ่องสอนแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ผู้สมัคร ส.อบจ. บางคนพยายามหาเสียงให้ว่าตนนั้นเป็นทีมเดียวกับ “อัครเดช วันไชยธนวงศ์” ทั้งการใช้สโลแกน ดีต่อเนื่อง หรือ ทำงานต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสโลแกนหาเสียงของอัครเดช แต่ก็ได้ได้ปรากฏภาพอัครเดชร่วมหาเสียงกับ ส.อบจ. คนใด และไม่พบกระทั่งการตั้งทีมเลือกตั้งใดๆ ในสนาม ส.อบจ.

ข้อสังเกตที่น่าสนใจสำหรับสนามการเลือกตั้ง ส.อบจ.แม่ฮ่องสอน เห็นจะเป็นจำนวนผู้สมัครที่มีสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับจังหวัดที่มีเก้าอี้ ส.อบจ. 24 ที่นั่งเท่ากัน แม่ฮ่องสอนถือเป็นจังหวัดที่มีการแข่งขันในสนาม อบจ. เป็นอันดับสอง โดยมีผู้สมัคร ส.อบจ. ทั้งสิ้น 58 คน รองจากจังหวัดลำพูนที่เป็นอันดับ 1 ทั้งหมด 59 คน

แพร่

ในการเลือกตั้ง อบจ. จังหวัดแพร่ พรรคเพื่อไทยมีตัวแทนสมัครทั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ. ครบทุกเขต ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า อนุวัธ วงศ์วรรณ ที่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ยังคงสังกัดพรรคเพื่อไทยสามารถรักษาเก้าอี้นายก อบจ.เอาไว้ได้อีกเป็นสมัยที่ 4

ขณะที่ในสนาม ส.อบจ. ผู้สมัครที่สวมเสื้อแดงพรรคเพื่อไทยลงสมัครครบทุกเขต ผลปรากฏว่า ส.อบจ. พรรคเพื่อไทยสามารถชนะการเลือกตั้งได้ทั้งสิ้น 15 ที่นั่ง จากจำนวนที่นั่งทั้งหมด 24 ที่นั่ง ในขณะที่ผู้สมัครพรรคประชาชนไม่สามารถชนะการเลือกตั้งในเขตใดได้เลย

สำหรับ ส.อบจ.แชมป์เก่าสามารถรักษาตำแหน่งเอาไว้ทั้งสิ้น 8 ที่นั่ง คิดเป็นสัดส่วน 33.33% ซึ่งทั้งหมดเป็นผู้สมัครพรรคเพื่อไทย 

น่าน

น่านเป็นหนึ่งจังหวัดที่มีผู้ท้าชิงตำแหน่งนายก อบจ. ในเสื้อพรรคเพื่อไทย และสามารถชนะการเลือกตั้งไปได้ไม่ยาก ในขณะที่ผลการเลือกตั้ง ส.อบจ. ปรากฏแชมป์เก่ามากถึง 10 ที่นั่งจากทั้งหมด 24 ที่นั่ง แชมป์เก่าคิดเป็นสัดส่วน 41.67% ปรากฎว่าเพียงมี กฤช ยอดหงษ์ ผู้ชนะการเลือกตั้ง ส.อบจ.เมือง เขต 4 เท่านั้นที่แสดงตนในนามพรรคเพื่อไทย ขณะที่ สนาม ส.อบจ. พรรคประชาชนส่งผู้สมัครลงชิงชัยทั้งสิ้น 6 เขต แพ้การเลือกตั้งในทุกเขต 

ส.อบจ. แชมป์เก่าที่ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้จำนวน 7 จาก 10 คน ชนะการเลือกตั้งในเขตอำเมืองและอำเภอติดต่อ (อำเภอเมืองและเวียงสา อำเภอล่ะ 2 เขต สันติสุข ภูเพียง และแม่จริม อำเภอล่ะ 1 เขต) ซึ่งเป็นฐานคะแนนของนพรัตน์ตั้งแต่สมัยเป็น ส.อบจ. และยังเป็นพื้นที่ฐานคะแนนของ ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน เขต 2 ด้วยเช่นกัน 

อุตรดิตถ์

แชมป์เก่าสามารถรักษาเก้าอี้เอาไว้ได้ทั้งสิ้น 11 ที่นั่ง จากจำนวนเก้าอี้ทั้งหมด 24 ที่นั่ง คิดเป็นสัดส่วน 45.83%

ในส่วนของกลุ่มการเมืองที่สามารถครองเก้าอี้ในสภา อบจ.อุตรดิตถ์ จำแนกเป็น ส.อบจ. ที่สวมใส่เสื้อพรรคประชาชนจำนวน 3 ที่นั่ง กลุ่มพลังหนุ่มอุตรดิตถ์ 1 ที่นั่ง และกลุ่มที่ได้จำนวนที่นั่งมากที่สุดคือ  “กลุ่มรักอุตรดิตถ์บ้านเรา” สามารถกวาดที่นั่ง ส.อบจ. ไปได้ถึง 12 ที่นั่ง หากจำแนกแชมป์เก่าตามสังกัดจะพบว่า ส.อบจ.แชมป์เก่าที่สังกัดพรรคประชาชน 1 คน (เขต 2 อำเภอลับแล) และแชมป์เก่าสังกัดกลุ่มรักอุตรดิตถ์บ้านเรา ทั้งสิ้น 10 เขต (เขต 2,4,5 อำเภอเมือง เขต 1,4 อำเภอพิชัย เขต 1-2 อำเภอตรอน เขต 1 อำเภอท่าปลา เขต 3 อำเภอลับแล และเขต 1 บ้านโคก)

ส.อบจ. กลุ่มรักอุตรดิตถ์บ้านเราเป็นกลุ่มการเมืองที่สนับสนุน ชัยศิริ ศุภรักษ์จินดา ในการเลือกตั้งนายก อบจ.อุตรดิตถ์ เมื่อเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ฐานคะแนนของกลุ่มรักอุตรดิตถ์ส่วนมากอยู่ในเขตอำเภอพิชัย ลับแล ตรอน และท่าปลา ซึ่งหากนับรวมกันแล้ว ทั้ง 4 อำเภอจะถือเป็นเขตการเลือกตั้งที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดอุตรดิตถ์ ไม่ว่าจะในสนาม อบจ. หรือสนาม สส. ก็ตาม

ผลการเลือกตั้ง ส.อบจ. ปรากฏว่า ทั้ง 4 อำเภอ คือพื้นที่ที่กลุ่มรักอุตรดิตถ์บ้านเราสามารถชนะการเลือกตั้งได้มากที่สุด รวมแล้วกว่า 8 ที่นั่ง (เขต 1-4 อำเภอพิชัย เขต 1-2 ตรอน เขต 1 ลับแล และเขต 1 ท่าปลา) 

ในขณะที่พรรคประชาชนเองก็มีฐานคะแนนเสียงในทั้ง 4 อำเภอเช่นกัน ประกอบกับฐานคะแนนเสียงในอำเภอเมือง ทำให้ท้ายที่สุดพรรคประชาชนสามารถรักษาเก้าอี้ ส.อบจ.ลับแล เขต 2 (เรวัตร แก้วเบี้ย) เอาไว้ได้ ซ้ำยังสามารถชนะการเลือกเพิ่มขึ้นอีก 2 เขต ได้แก่ เขต 8 อำเภอเมือง (อนุศิษย์ บัวดี) และเขต 2 ท่าปลา (วรนพร คำจร)

ตาก

ผลการเลือกตั้งปรากฎว่า มีจำนวนเก้าอี้ ส.อบจ. ทั้งหมด 30 ที่นั่ง ขณะแชมป์เก่า 6 คนเท่านั้นที่สามารถรักษาเก้าอี้ ส.อบจ. เอาไว้ได้ คิดเป็นสัดส่วน 20%

สนามการเลือกตั้ง ส.อบจ. ครั้งนี้ มีเพียงพรรคประชาชนที่ประกาศลงแข่งขันในนามพรรคการเมือง ขณะที่ ส.อบจ. คนอื่นๆ อีกกว่า 27 คนที่เหลือมิได้ประกาศสังกัดตัวในฐานะตัวแทนพรรคการเมืองแต่อย่างใด

พรรคประชาชน แม้ไม้ได้ส่งผู้สมัครลงชิงชัยสนามนายก อบจ. แต่ในสนาม ส.อบจ. พรรคส้มก็ส่งผู้สมัครลงแข่งขันทั้งสิ้น 14 เขต โดยผลการเลือกตั้งพบว่า ผู้สมัครจากพรรคส้มสามารถชนะการเลือกตั้ง ส.อบจ. ได้ทั้งหมด 4 ที่นั่ง ได้แก่ เขต 1 และเขต 4 อำเภอแม่สอด และเขต 1 และเขต 4 พบพระ ซึ่งอำเภอทั้งสองเป็นที่เดิมที่พรรคประชาชนสามารถชนะการเลือกตั้ง สส. เมื่อปี 2566

แม้สนาม ส.อบจ. รอบนี้จะไม่มีการประกาศหาเสียงร่วมกันในฐานะกลุ่มการเมือง แต่ยังปรากฏผู้สมัคร ส.อบจ. ที่หาเสียงโดยอ้างว่าเป็นทีมเดียวกับ อัจฉรา ทวีเกื้อกูลกิจ นายก อบจ.ตาก อาทิ ณัฐวัฒน์ ชัยสงค์ ส.อบจ.แม่สอด เขต 2 เป็นต้น 

อย่างไรก็ตาม Lanner เคยรายงานหลังการเลือกตั้งนายก อบจ.ตาก แล้วว่า อัจฉรา มีเครือข่ายอยู่ในหลากหลายเขต โดยเฉพาะอำเภอท่าสองยางและอำเภอแม่ระบาด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ สส.เฟิร์ส – ธนัสถ์ ทวีเกื้อกูลกิจ คู่สมรสของอัจฉราชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 นอกจากนั้น แม่สุ่ม – จันทรา อุดมโภชน์ ส.อบจ.วังเจ้า เขต 1 ก็เคยประกาศสนับสนุนอัจฉรามาแล้วเช่นกัน

สุโขทัย

เช่นเดียวกับหลายจังหวัดในภาคเหนือตอนล่าง การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ จังหวัดสุโขทัยเหลือเพียงสนามเลือกตั้ง ส.อบจ. เพียงสนามเดียว

ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า ส.อบจ.สุโขทัย ในการเลือกตั้งรอบนี้เป็นแชมป์เก่าไปแล้ว 11 ที่นั่ง จากจำนวนเก้า ส.อบจ. ทั้งหมด 30 ที่นั่ง (คิดเป็น 36.67% ของจำนวนที่นั่งทั้งหมด)

ในส่วนของผู้สมัคร ไม่พบผู้สวมเสื้อพรรคใดลงหาเสียง นอกจากพรรคประชาชนที่มีผู้สมัครเพียง 2 คนเท่านั้น และทั้งคู่ต่างแพ้การเลือกตั้ง ส.อบจ. ในรอบนี้ สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ 

ส.อบจ. แชมป์เก่าทั้งหมดประกาศหาเสียงในนามอิสระ แต่จะขอสานต่องานที่เคยทำไว้ โดยอำเภอที่ ส.อบจ.แชมป์เก่าสามารถรักษาเก้าอี้ไว้มากที่สุด คือ อำเภอคีรีมาศ แชมป์เก่าสามารถรักษาเก้าอี้ได้ทั้ง 3 เขต (เขต 1 – ชญานนท์ คีรีมาศทอง, เขต 2 – นิรุตติ์ เป้วัด และเขต 3 – ประเสริฐ ปัญญานุกูล) โดยอำเภอคีรีมาศมีตระกูลคีรีมาศทองเป็นชนชั้นนำทางการเมืองในอำเภอ สมาชิกตระกูลคีรีมาศทองดำรงตำแหน่งอยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติหลากหลายหน่วยงานของจังหวัดสุโขทัย ตั้งแต่ ส.อบต. ไปจนถึงตำแหน่ง สส. มี ชูศักดิ์ คีรีมาศทอง เป็น สส.สุโขทัย เขต 2 และยังเป็นเครือข่ายของกลุ่มมัชฌิมาธิปไตย

ภาพ: พรรคเพื่อไทย

กลุ่มมัชฌิมาธิปไตย คือ กลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นจังหวัดสุโขทัย ที่มี สมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นแกนนำและเสมือนเป็นเลขาธิการคอยเจรจากับเครือข่าย ตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมาหรือเกือบๆ 17 ปีที่ผ่านมา กลุ่มการเมืองนี้ย้ายสลับฝั่งไปมาระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคอื่นๆ แต่ยังคงรักษาสถานะความเป็นกลุ่มไว้ได้เสมอมา 

กลุ่มฯ อาศัยเครือข่าย ส.อบจ. และองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นฐานคะแนนสำคัญของกลุ่ม ประกอบด้วย 1) ตระกูลกุลนาถศิริ มีฐานคะแนนในเขตอำเภอเมือง 2) ตระกูลคีรีมาศทอง มีฐานคะแนนอยู่ที่อำเภอคีรีมาศ 3) ตระกูลทองปากน้ำ มีฐานคะแนนอยู่ที่อำเภอศรีสัชนาลัยและศรีสำโรง 4) ตระกูลชัยวิรัตน์นุกูล มีฐานคะแนนอยู่ที่อำเภอสวรรคโลก ซึ่งนามสกุลทั้งหมดนี้ปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้ชนะการเลือกตั้ง ส.อบจ.สุโขทัย ครบทุกนามสกุล

ทั้ง 4 ตระกูลคือตระกูลที่มีฐานคะแนนสูงสุดในจังหวัดสุโขทัย ครอบคลุมทุกเขตการเลือกตั้งในจังหวัดสุโขทัย ส่งผลให้กลุ่มมัชฌิมาธิปไตยมีความได้เปรียบกลุ่มการเมืองอื่นๆ และกลายเป็นรากฐานทางการเมืองที่สำคัญของ สมศักดิ์ เทพสุทิน และกลุ่มสามมิตรในการเจรจากับพรรคการเมืองต้นสังกัด

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีตระกูลการเมืองเก่าที่ปัจจุบันอาจลดบารมีทางการเมืองลง แต่ยังคงสามารถรักษาฐานคะแนนได้อยู่บ้าง จนสามารถผลักดันสมาชิกของตระกูลเข้าสู่ตำแหน่ง ส.อบจ. ได้ คือ ตระกูลลิมปะพันธุ์ ที่มี พิพัฒน์พงษ์ ลิมปะพันธุ์ ผู้ชนะการเลือกตั้ง ส.อบจ.สวรรคโลก เขต 2 และเป็นแชมป์เก่ามาตั้งแต่การเลือกตั้ง อบจ. ตั้งแต่สมัยที่แล้ว ตระกูลลิมปะพันธุ์เคยครองคะแนนเสียงในอำเภอทุ่งเสลี่ยมและสวรรคโลก แต่แล้วก็ค่อยๆ สูญเสียฐานคะแนนให้กับตระกูลชัยวิรัตน์นุกูลไปในที่สุด ในการเลือกตั้ง ส.อบจ. ครั้งนี้ พิพัฒน์พงษ์ ลิมปะพันธุ์ ประกาศสนับสนุน มนู พุกประเสริฐ 

พิษณุโลก

ผลปรากฏว่า 14 ที่นั่งเป็นแชมป์เก่าจากการเลือกตั้งเมื่อรอบที่แล้ว ขณะที่จำนวนที่นั่งทั้งหมดคือ 30 ที่นั่ง แชมป์เก่าคิดเป็นสัดส่วน 46.67%

คณะพลังพิษณุโลก กลุ่มคนรักพิษณุโลก และพรรคประชาชน ลงพื้นที่หาเสียง ในสนาม ส.อบจ. โดยกลุ่มคนรักพิษณุโลกสามารถรักษาตำแหน่ง ส.อบจ.เขต 1 อำเภอชาติตระการเอาไวได้ (1 ที่นั่ง) ในขณะที่ พรรคประชาชนไม่ชนะการเลือกตั้งในเขตใดในจังหวัดพิษณุโลกได้เลย

ผู้สมัครจาก คณะพลังพิษณุโลก คือกลุ่มการเมืองที่กุมชัยชนะได้มากที่สุด โดยผู้สมัครชนะการเลือกตั้ง ส.อบจ. ได้มาถึง 23 ที่นั่ง จำแนกเป็น ส.อบจ.แชมป์เก่าคณะพลังพิษณุโลกจำนวน 13 ที่นั่ง และเป็น ส.อบจ.หน้าใหม่ 10 ที่นั่ง

ภาพ: phitsanulok hotnews

คณะพลังพิษณุโลก ถือเป็นเครือข่ายการเมืองที่สำคัญในจังหวัดพิษณุโลก โดยกระจายเครือข่ายในทุกอำเภอ และยังเป็นกลไกลสำคัญที่ผลักดัน มนต์ชัย วิวัฒน์ธนาฒย์ นายก อบจ.คนปัจจุบันสามารถรักษาเก้าอี้นายก อบจ. ไว้ได้ในการเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อปลายปี 2567 

ฐานคะแนนที่สำคัญของคณะพลังพิษณุโลก คือ พื้นที่เขตอำเภอเมืองโซนนอกเขตเทศบาลนครพิษณุโลก ก่อนจะขยายเครือข่ายออกไปยังอำเภอพรหมพิราม บางกระทุ่ม และเนินมะปราง ซึ่งล้วนเป็นอำเภอติดต่ออำเภอเมืองทั้งสิ้น 

ขณะที่ อำเภอใหญ่อย่าง บางระกำ นครไทย และเนินมะปราง คณะพิษณุโลกยังไม่สามารถสร้างเครือข่ายให้เหนียวแน่นในเขตการเลือกตั้งเหล่านี้ได้ ส.อบจ. แชมป์เก่าจากคณะพิษณุโลกหลายคนแพ้การเลือกตั้งสนาม ส.อบจ. ในครั้งนี้ โดยเฉพาะ อมาณัติ น้อยวงศ์ ลูกชายอดีต สส.พิษณุโลก เขต 3 พลังประชารัฐ (อนุชา น้อยวงศ์ – ปัจจุบันเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย) ที่ครั้งนี้แพ้การเลือกตั้งในสนาม ส.อบจ. เช่นเดียวกับบิดาที่เพิ่งแพ้การเลือกตั้ง สส. ในเขตเดียวกันเมื่อปี 2566

พิจิตร

จังหวัดพิจิตรเป็นหนึ่งในจังหวัดของภาคเหนือที่มีการแข่งขันชนิดหักกันในบ้าน ระหว่างแชมป์เก่า ผู้กำกับกบ – กฤษฎา ภัทรประสิทธิ์ และทีม ส.อบจ. เดิม ปะทะกับ หน้าใหม่ตัวแทนบ้านสีเขียว กฤษฏ์ เพ็ญสุภา

ผู้กำกับแชมป์เก่าดำรงตำแหน่งอยู่จนครบวาระ ด้วยเหตุที่มั่นใจว่า ส.อบจ. กว่า 60% ยังคงสนับสนุนตน แม้จะมีสัญญาณมาตั้งแต่กลางปี 2567 ว่าเกิดรอยร้าวระหว่างคนในตระกูลภัทรประสิทธิ์ จนผู้กำกับกบถูกไล่ออกจากบ้านสีเขียว และต้องนำ ส.อบจ. ทีมผู้กำกับกบ ลงเลือกตั้งสู้ในศึก ส.อบจ. ไปพร้อมกัน

ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ปรากฏว่าทั้งผู้กำกับกบและทีมพ่ายแพ้การเลือกตั้ง อบจ. ทั้งสองสนาม ส.อบจ.แชมป์เก่าสังกัดทีมผู้กำกับกบชนะการเลือกตั้งเพียง 2 เขตเท่านั้น (ตะพานหิน เขต 1 – ดุสิต ยืมบิตุรงค์ และทับคล้อ เขต 2 – รงค์ฤทธิ์ อุบลอ่อน)

ขณะที่ ส.อบจ. แชมป์เก่าที่การเลือกตั้งครั้งนี้สังกัดบ้านสีเขียวจำนวน 11 คน กลับสามารถรักษาเก้าอี้ไว้ได้ทุกคน รวมแล้วในสนาม ส.อบจ.พิจิตร ครั้งนี้ แชมป์เก่าสามารถรักษาเก้าอี้ไว้ได้ทั้งหมด 13 ที่นั่ง จากจำนวนเก้าอี้ ส.อบจ.ทั้งหมด 30 ที่นั่ง ส.อบจ.แชมป์เก่าคิดเป็นสัดส่วน 36.67%

บ้านสีเขียวยังสามารถผลักดัน ส.อบจ. หน้าใหม่ในนามบ้านสีเขียวเข้าสู่ตำแหน่งได้อีก 17 ที่นั่ง รวมแล้วกลุ่มบ้านสีเขียวสามารถยึดกุม ส.อบจ. ได้มากถึง 28 ที่นั่ง จากทั้งหมด 30 ที่นั่ง ตามรายงานของ ThaiPBS  ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ลงแรงขอการสนับสนุนจากเครือข่ายของบ้านสีเขียวด้วยตัวเอง ทำท้ายที่สุด ส.อบจ. แชมป์เก่าในทุกอำเภอรวมสนับสนุนบ้านสีเขียวและกฤษฏ์ เพ็ญสุภา พร้อมดึงแนวร่วมในพื้นที่อำเภอของตนรวมสนับสนุนบ้านสีเขียว จนสามารถส่งผู้สมัครได้ครบทั้ง 30 เขต และชนะการเลือกตั้งแทบทุกเขต

กำแพงเพชร

1 ใน 9 จังหวัดที่จัดการเลือกตั้งไปก่อนหน้าวันที่ 1 กุมภาฯ มีเก้าอี้ ส.อบจ. ทั้งหมดคือ 30 ที่นั่ง ซึ่งผลปรากฏว่าในการเลือกตั้ง ส.อบจ. ที่ผ่านมา เป็นแชมป์เก่าไปถึง 20 ที่นั่ง สัดส่วนแชมป์เก่า คือ 66.67% โดยมี 19 จาก 20 คน สังกัด “กลุ่มกำแพงเพชรสามัคคี”

นอกจากนั้น กลุ่มกำแพงเพชรสามัคคียังสามารถผลักดัน ส.อบจ. หน้าใหม่ให้สามารถชนะการเลือกตั้งได้อีก 4 คน รวมแล้วกลุ่มกำแพงเพชรสามัคคีสามารถครองที่นั่งมากถึง 23 ที่นั่ง 

กลุ่มกำแพงเพชรสามัคคี คือ กลุ่มการเมืองที่สนับสนุน หมอทร – สุนทร รัตนากร ในการเลือกตั้งนายก อบจ. มาตั้งแต่ปี 2563 จวบจนถึงการเลือกตั้งนายก อบจ.กำแพงเพชร ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อช่วงปลายปี 2567

KKP News สื่อท้องถิ่นประจำจังหวัดกำแพงเพชร ระบุว่า กลุ่มกำแพงเพชรสามัคคีเป็นเครือข่ายบ้านใต้ (ครอบคลุมพื้นที่อำเภอคลองลาน, ปางศิลาทอง, คลองขลุง, ขาณุวรลักษบุรี, บึงสามัคคี, ทรายทองวัฒนา และบางส่วนของอำเภอไทรงามและอำเภอเมือง) มีแกนนำกลุ่ม คือ วรเทพ รัตนากร พี่ชายของหมอทร ซึ่งเป็นคนล่ะกลุ่มกับบ้านเหนือ (ครอบคลุมพื้นที่อำเภอเมืองส่วนที่เหลือ, โกสัมพีนคร, พรานกระต่าย, ลานกระบือ และพื้นที่ส่วนใหญ่ของอำเภอไทรงาม) มีแกนนำคนปัจจุบันคือ ไผ่ ลิกค์

วราเทพ รัตนากร แกนนำบ้านใต้ (ซ้าย) และ  ไผ่ ลิกค์ แกนนำบ้านเหนือ (ขวา)

แต่ในการเลือกตั้ง อบจ. รอบนี้ บ้านเหนือไม่ทันได้จัดทัพลงเลือกตั้ง หลังนายก อบจ. ตัวแทนบ้านใต้ชิงความได้เปรียบลาออกจากตำแหน่งไปก่อนหมดวาระ ท้ายที่สุด ส.อบจ. เครือข่ายบ้านเหนือต้องลงสมัครโดยไร้สังกัดเพื่อแข่งขันกับผู้สมัครจากบ้านใต้กลุ่มกำแพงเพชรสามัคคี โดยทั้งสองกลุ่มแข่งขันกันใน 3 เขตการเลือกตั้ง ประกอบด้วย โกสัมภีนคร เขต 1 และพรานกระต่าย เขต 1 และเขต 3 ผลการเลือกตั้งปรากฏว่าผู้สมัครจากบ้านใต้แพ้การเลือกตั้งทั้ง 3 เขต 

ขณะที่ ส.อบจ. เขตบ้านเหนือ 6 เขตที่เหลือ เนื่องจากบ้านเหนือไม่มีการจัดทัพ ส.อบจ. บ้านเหนือทั้ง 6 จึงเลือกสวมเสื้อกำแพงเพชรสามัคคีลงหาเสียงแทน โดยมี อนันต์ เดชศรี ส.อบจ.เมืองกำแพงเพชรเขต 8 และแกนนำ ส.อบจ. บ้านเหนือ ร่วมกับ ชัยยศ ตั้งนิยม ส.อบจ.ครองขลุง เขต 1 ตัวแทนจากบ้านใต้ เพื่อประสานความร่วมมือระหว่าง ส.อบจ. บ้านเหนือกับบ้านใต้ในนามกลุ่มกำแพงเพชรสามัคคี

เท่ากับว่า ในการเลือกตั้ง นายก อบจ. หมอทรได้รับการสนับจาก ส.อบจ. ทั้งสองบ้าน จนสามารถคว้าชัยไปได้ และในส่วนสนาม ส.อบจ. กลุ่มกำแพงเพชรสามัคคีเองก็สามารถกุมเสียงข้างมากในสภา อบจ. เอาไว้ได้

เพชรบูรณ์

จังหวัดเพชรบูรณ์เป็นจังหวัดที่มี ส.อบจ. แชมป์เก่าจากการเลือกตั้งรอบที่แล้ว 15 ที่นั่ง จากจำนวนเก้าอี้ทั้งหมด 30 ที่นั่ง แชมป์เก่าคิดเป็นสัดส่วน 50%

ส.อบจ.แชมป์เก่าทุกคน ในการเลือกตั้งครั้งนี้เลือกสวมเสื้อ ทีมด๊อยซ์ กลุ่มการเมืองที่ร่วมกันหาเสียงภายใต้สโลแกน เข้าใจ รู้จัก รักเพชรบูรณ์บ้านเรา อันเป็นการแสดงตนในฐานะ ส.อบจ.ทีมเดียวกับว่าที่นายก อบจ.เพชรบูรณ์ โดยในสนาม ส.อบจ. รอบนี้ ทีมดอยซ์ชนะการเลือกตั้งในทุกเขต

ภาพ: ข่าวท้องถิ่นเพชรบูรณ์

ทีมด๊อยซ์ เป็นเครือข่ายการเมืองที่สนับสนุน นายกฯ ด๊อยซ์ – อัครเดช ทองใจสด เป็นนายก อบจ. เมื่อปี 2563 และสานต่อตำแหน่งมาจนถึงการเลือกตั้งรอบที่ผ่านมา อัครเดชเป็นผู้ดูแลเครือข่ายการเมืองนี้มาโดยตลอด โดยเริ่มต้นการอำเภอทิศใต้ของจังหวัดเพชรบูรณ์ (อำเภอวิเชียรบุรีและศรีเทพ) ก่อนจะขยายเครือข่ายทางการเมืองจนครอบคลุมพื้นที่ทั้งจังหวัด

เครือข่ายนายกฯด๊อยซ์ ถือเป็นฐานทางการเมืองที่สำคัญของ สันติ พร้อมพัฒน์ ซึ่งจริงๆ แล้วมิได้มีฐานคะแนนใดๆ ในเพชรบูรณ์กระทั่งสันติเองก็มิใช่คนเพชรบูรณ์ด้วยซ้ำ หากแต่อาศัยนายฯด๊อยซ์เป็นผู้บริหารเครือข่ายการเมืองภายในจังหวัด

อย่างไรก็ตาม แม้ในสนาม อบจ. นายกฯด๊อซย์จะสามารถชนะการเลือกตั้งได้ไม่ยาก แต่สำหรับสนาม ส.อบจ. แชมป์เก่าทีมนายกด๊อซย์บางเขตต้องแข่งขันกับผู้สมัครพรรคประชาน (เขต 1 อำเภอเขาค้อ และเขต 1-5 อำเภอเมือง) 

ขณะเดียวกัน ยังมีผู้สมัครเลือกตั้ง ส.อบจ. ที่สวมเสื้อพรรคเพื่อไทยในอำเภอเมือง วังโป่ง ชนแดน และหนองไผ่ ซึ่งเป็นเขตฐานคะแนนของ “ทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์” น้องชาย สส.ดำ (สุรศักดิ์ อนรรฆพันธ์) อดีต สส.เพชรบูรณ์ พรรคเพื่อไทย โดยรายงานข่าวจากกรุงเทพธุรกิจ ระบุว่า เครือข่ายของ สส.ดำ เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ สันติ พร้อมพัฒน์ ไม่อาจย้ายกลับไปซบอกพรรคเพื่อไทยได้ ทั้งที่มีกระแสข่าวว่าสันติอยากขนทัพ สส.เพชรบูรณ์ และเครือข่ายนายกฯด๊อยซ์กลับพรรคเพื่อไทยตั้งแต่กลางปี 2567

ท้ายที่สุด แม้ต้องเผชิญการแข่งขันบ้างในบางเขต ทีมนายกด๊อยซ์ยังคงสามารถชนะการเลือกได้ในทุกเขต กลายเป็นเสียงส่วนใหญ่ในสภา อบจ.เพชรบูรณ์ ต่อไป 

นครสวรรค์

แชมป์เก่าสามารถรักษาเก้าอี้ได้มากถึง 17 ที่นั่ง จากจำนวนเก้าอี้ทั้งหมด 36 ที่นั่ง คิดเป็นสัดส่วน 47.22%

มีเพียงผู้ชนะการเลือกตั้ง ส.อบจ. อำเภอชุมแสงเขต 1 เพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ประกาศตนในนามพรรคประชาชน ขณะที่ผู้ชนะการเลือกตั้งคนอื่นๆ มิได้ประกาศตัวในนามพรรคการเมืองใดทั้งสิ้น

แม้จะมีเพียงพรรคประชาชนที่ส่งผู้สมัคร ส.อบจ. ลงแข่งขัน แต่แชมป์เก่าทั้ง 17 คน ต่างก็มีสถานะเป็นสมาชิกของ “กลุ่มพัฒนานครสวรรค์บ้านเรา” กลุ่มการเมืองที่ก่อตั้งในสมัยการเลือกตั้ง อบจ. ปี 2563 เพื่อสนับสนุน “สมศักดิ์ จันทะพิงค์” เป็นนายก อบจ.

สำหรับการเลือกตั้ง ส.อบจ. รอบนี้ แม้จะปรากฏผู้สมัครที่หาเสียงในนามกลุ่มพัฒนานครสวรรค์บ้านเรา แต่กลับไม่มีการรวมตัวกันหาเสียงในฐานะกลุ่มการเมืองแต่อย่างใด การหาเสียงส่วนใหญ่ดำเนินไปแบบเขตใครเขตมัน จึงทำให้ไม่สามารถระบุได้เลยว่า ส.อบจ. เหล่านี้สังกัดกลุ่มการเมืองใดกันแน่ อาทิ วรรณิศา กลิ่นชัย (ส.อบจ.ยู) ผู้สมัคร ส.อบจ.เมือง เขต 1 ก็อ้างตัวเป็นสมาชิกกลุ่มการเมืองถึง 2 กลุ่ม คือ กลุ่มพัฒนาบ้านเมือง (กลุ่มการเมืองในเขตอำเภอเมือง) และกลุ่มพัฒนาบ้านเมืองนครสวรรค์บ้านเรา แต่ท้ายสุดก็แพ้การเลือกตั้งให้กับ หนึ่ง – พรเทพ แนวพันธ์อัศว ซึ่งหาเสียงในนามตนเอง

หนึ่งใน ส.อบจ. หน้าใหม่สังกัดกลุ่มพัฒนานครสวรรค์บ้านเรา ที่น่าสนใจคือ ชานนท์ ปาทาน ส.อบจ.พยุหะคีรี เขต 1 เป็นหนึ่งในคนใกล้ชิด ชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี ซึ่งอำเภอพยุหะคีรี เป็นเขตอำเภอติดต่อกับจังหวัดอุทัยธานี นอกจากนั้น ผลการเลือกตั้ง ส.อบจ.ไพศาลี เขต 2 ผู้ชนะ คือ ชณัฐศักดิ์ อธินนท์วรกรณ์ (เบิร์ด ยนต์ประดิษฐ์) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก มานพ ศรีผึ้ง สส.นครสวรรค์ เขต 4 สังกัดพรรคภูมิใจไทย โดยสนาม ส.อบจ. เขตนี้ เป็นการแข่งขันระหว่าง ชณัฐศักดิ์ กับ ภาราคร อุดมการณ์เกษตร แชมป์เก่าสังกัดกลุ่มพัฒนาบ้านเมืองนครสวรรค์

อุทัยธานี

หลังผ่านเหตุดราม่าการสมัครนายก อบจ. ไปได้ จังหวัดอุทัยธานีกลับเข้าสู่บรรยากาศการเลือกตั้งที่เงียบสงบตามเดิม ผลการเลือกตั้ง ส.อบจ. ปรากฏว่าแชมป์เก่ายังคงสามารถรักษาเก้าอี้ ส.อบจ. ได้มากถึง 15 ที่นั่ง จากจำนวนเก้าทั้งหมด 24 ที่นั่ง ซึ่งถือเป็นสัดส่วน ส.อบจ.แชมป์เก่าที่สูงที่สุดในภาคเหนือ คิดเป็น 62.5% ของจำนวน ส.อบจ.ทั้งหมด

ในส่วนของพรรคการเมืองไม่ปรากฏว่ามีผู้สมัครคนใดเลือกสวมเสื้อพรรคการเมืองลงหาเสียงในพื้นที่แต่อย่างใด กระทั่งพรรคประชาชนก็มิได้ปรากฏว่ามีผู้ใดลงสมัคร ส.อบจ.อุทัยธานี 

ส.อบจ.อุทัยธานี ส่วนมากเป็นเครือข่ายและคนใกล้ชิดของ เผด็จ นุ้ยปรี นายก อบจ.อุทัยธานี ซึ่งได้วางรากฐานในการเมืองท้องถิ่นอุทัยธานี ในนาม “กลุ่มคุณธรรม” ร่วมกับ ชาดา ไทยเศรษฐ์ หลังทั้งคู่สามารถผนึกกำลังร่วมกันโค่นล้มกลุ่มการเมืองอื่นๆ ในจังหวัดอุทัยธานี ตั้งแต่ปี 2550

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างนายชาดากับกลุ่มคุณธรรมมีลักษณะที่ซับซ้อน ทำให้บางครั้งคนใกล้ชิดหรือเครือข่ายของนายชาดาก็อ้างตัวเป็นตัวแทนกลุ่มคุณธรรม ขณะที่บางครั้งก็ไม่ 

ในการเลือกตั้ง ส.อบจ. รอบนี้คนใกล้ชิดนายชาดาไม่ได้หาเสียงในนามกลุ่มคุณธรรม ส.อบจ.เปี๊ยก – ปภาวิชญ์ บุษวะดี ส.อบจ.เมือง เขต 2 คนใกล้ชิดนายชาดา และ ส.อบจ.ชู๊ – กฤษฎา ซักเช็ค ส.อบจ.เมือง เขต 1 น้องชาย เจเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์ และเป็นหลานชายนายชาดา ทั้งคู่หาเสียงในนามส่วนตัวเพียงอย่างเดียว ซึ่งอำเภอเมืองถือเป็นฐานคะแนนสำคัญของตระกูลไทยเศรษฐ์มาตั้งแต่ปี 2538 ส่งผลให้ผู้สมัคร ส.อบจ. ทั้งคู่อาศัยความใกล้ชิดกับ ชาดา ไทยเศรษฐ์ เพื่อเป็นฐานคะแนนในสนาม ส.อบจ. จนสามารถชนะการเลือกตั้งและรักษาตำแหน่ง ส.อบจ. เอาไว้ได้ต่อไป 

แต่หาก พ้นเขตอำเภอเมือง เขต 2 ไปแล้ว ส.อบจ. แชมป์เก่าและทายาททางการเมืองของ ส.อบจ. เหล่านี้ กลับมีความใกล้ชิดดกับ เผด็จ นุ้ยปรี มากกว่า โดยเครือข่ายของเผด็จครอบคลุมพื้นที่อำเภอเมือง เขต 3 และ 4 และทุกอำเภอ (อำเภอทัพทัน หนองขาหย่าง หนองฉาง สว่างอารมณ์ ห้วยคต ลานสัก และบ้านไร่) 

และในสนาม ส.อบจ. ครั้งนี้ ผู้สมัครซึ่งเป็นเครือข่ายของเผด็จ นุ้ยปรีและกลุ่มคุณธรรม สามารถชนะการเลือกตั้งได้ทั้งสิ้น 20 เขต จำแนกเป็นทุกเขตเลือกตั้งยกเว้น เขต 1-2 อำเภอเมือง และเขต 5 อำเภอบ้านไร่ ซึ่งทั้ง 3 เป็นคนใกล้ชิดชาดามากกว่าเผด็จ และเขต 4 อำเภอลานสัก

อำเภอลานสัก เขต 4 ส.อบจ. ศรัญญา โต๋วสัจจา แชมป์เก่าสามารถรักษาเก้าอี้ไว้ได้ โดยเธอเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มซากุระ กลุ่มการเมืองที่มีฐานคะแนนในตำบลน้ำรอบ อำเภอลานสัก โดยในการเลือกตั้ง สส.อุทัยธานี ปี 2566 กลุ่มซากุระส่ง “อรรถพล โต๋วสัจจา” ในนามพรรคเพื่อไทยเข้าแข่งขันกับนายชาดา (แพ้การเลือกตั้ง) 

อย่างไรก็ตาม จากผลการเลือกตั้ง ส.อบจ.อุทัยธานี ครั้งนี้ กลุ่มคุณธรรมและเครือข่ายยังคงรักษาสถานะเสียงข้างมากในสภา อบจ. ต่อไปอีกสมัย

จากข้อมูลที่ยกมาจะเห็นได้ว่าสนามการเมืองท้องถิ่นอย่างสนามการเลือกตั้ง ส.อบจ. ไม่สามารถแบ่งแยกเป็นพรรคการเมืองหรือถูกแบ่งด้วยเส้นของจังหวัด แต่แบ่งด้วยความสัมพันธ์ทางอำนาจในกลุ่มต่างๆ ที่มีอิทธิพลในท้องถิ่นที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอซึ่งต่างจากการเมืองระดับชาติโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้ในรายงานชิ้นต่อไปจะขอพูดถึงความซับซ้อนบนแผนที่การเลือกตั้งท้องถิ่น 17 จังหวัดภาคเหนือที่ไม่ใช่แค่สมุดระบายสี…

รายการอ้างอิง

ปองภพ ดั่นสมานฉันท์ชัย

เกิดและโตในภาคเหนือตอนล่าง เรียนตรีจิตวิทยา กำลังเรียนโทสังคมศาสตร์ สนใจอ่านสังคมจากการมองประเด็นเล็ก ๆ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง