เรื่อง : จตุพร สุสวดโม้
ภาพ : ปรัชญา ไชยแก้ว
ชีวิตของ “ออง ปาย อู” พยาบาลอาสาชาวพม่าในแม่ตาวคลินิก
“ออง ปาย อู” (นามสมมติ) หนุ่มพยาบาลอาสาชาวพม่า วัย 28 ปี ในแม่ตาวคลินิก บนเส้นทางที่ทอดยาวผ่านภูเขาเขียวขจีและทิวทัศน์ที่งดงามของอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก มีเรื่องราวของหนุ่มพยาบาลอาสาผู้หนึ่งที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความรักในการช่วยเหลือผู้คน อยู่ในจุดที่ไฟในชีวิตของเขาดับดิ้นอยู่ในใจ เขาเลือกเดินเข้าสู่การทำงานในโรงพยาบาลแม่ตาวคลินิก ชุมชนสุดชายขอบที่ถูกซ่อนเร้นอยู่ภายในชายแดนไทยและเมียนมาผ่านการเดินทางที่ไม่ใช่เพียงแค่การข้ามพรมแดน แต่ยังเป็นการข้ามผ่านอุปสรรคและความท้าทายที่ไม่มีที่สิ้นสุด การทำงานในสถานพยาบาลที่ห่างไกลจากแสงสีและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เมืองใหญ่ มีแต่ความเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้คนที่ทุกข์ร้อนและขาดแคลน
“ตั้งแต่ผมเริ่มทำงานในโรงพยาบาลแห่งนี้ต้องเผชิญกับการขาดแคลนทรัพยากรในการรักษา ผู้คนที่มาหาเราส่วนใหญ่เป็นผู้ลี้ภัย แรงงานชาวพม่าที่ไม่มีทางเลือกอื่น ไม่มีโอกาสเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลรัฐ นอกจากรอคอยความช่วยเหลือจากเรา ผมอยากดูแลคนไข้คนที่ต้องการความช่วยเหลือ แต่บางคนไม่สามารถไปโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลเฉพาะทางได้”
ออง ปาย อู แจกแจงต่อว่า ผมทำงานที่นี่ตั้งแต่ปี 2011 (พ.ศ.2554) รับผิดชอบงานหลักในแผนกฉุกเฉิน มีหน้าที่ดูแลและช่วยเหลือการรักษาผู้ป่วยร่วมกับทีมแพทย์ ในส่วนของการดูแลผู้ป่วยนั้น ผมมีบทบาทในการช่วยแพทย์ในการให้การรักษา เช่น การฉีดยา รวมถึงการช่วยงานในห้องฉุกเฉิน แม้ว่าผมจะไม่ได้ทำการผ่าตัดโดยตรง แต่ผมมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วยที่เข้ามาในห้องฉุกเฉิน และร่วมมือในการให้คำแนะนำหรือการดูแลตามความจำเป็น เพื่อให้การรักษาเป็นไปได้ด้วยดี
“ถ้าพูดถึงในแง่ของจำนวนคนไข้เมื่อเปรียบเทียบกับอดีต จนถึงปัจจุบัน ก็ต้องยอมรับว่าจำนวนคนไข้ที่เข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อก่อนในแต่ละวันจะมีคนไข้ประมาณ 50 คน แต่ตอนนี้ในบางวันจำนวนนั้นก็อาจเพิ่มขึ้นมากกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงจำนวนคนไข้เหล่านี้เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากที่เราต้องรับมือในทุกๆ วัน โดยเฉพาะในช่วงสองปีที่ผ่านมา จำนวนคนไข้ที่มาที่นี่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งมีการเข้ามาในช่วงเวลาที่แตกต่างกันไป ซึ่งทำให้การจัดการและดูแลคนไข้เป็นสิ่งที่ทีมแพทย์ต้องหาทางรับมืออย่างดีที่สุด”
เหตุการณ์การลุกฮือ 8888 และผลกระทบต่อสังคมเมียนมา
ออง ปาย อู ย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ “การลุกฮือ 8888” ในประเทศเมียนมา ซึ่งเกิดขึ้นในปี 1988 (พ.ศ.2531) หลังจากการประท้วงของนักศึกษาในย่างกุ้ง ซึ่งกลายเป็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนจากรัฐบาลทหารที่ปกครองประเทศในขณะนั้น การปฏิวัติและเหตุการณ์การประท้วงนี้ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อความคิดของสังคมและเศรษฐกิจของเมียนมา โดยเฉพาะในกลุ่มประชาชนที่ต้องเผชิญกับการปราบปรามจากรัฐบาลทหารและความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น
หลังจากเหตุการณ์นี้ ปัญหาต่างๆ ในเมียนมายังดำเนินต่อไป รวมถึงความขัดแย้งทางการเมืองและสงครามภายในประเทศที่ยืดเยื้อเป็นเวลาหลายปี ทำให้ประชาชนในหลายพื้นที่ต้องหลบหนีจากการสู้รบและการกดขี่ของรัฐบาลทหาร พวกเขาต้องเดินทางข้ามชายแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อหาที่หลบภัยและเอาชีวิตรอดจากความรุนแรงและความยากลำบากในประเทศบ้านเกิด
ผู้ลี้ภัยเหล่านี้ประสบปัญหาหลายด้าน เช่น ขาดแคลนที่พักพิง การเข้าถึงการรักษาพยาบาล และขาดแคลนทรัพยากรพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต โรงพยาบาลในพื้นที่ชายแดนไม่สามารถให้การรักษาได้ตามสมควร เนื่องจากการขาดแคลนบุคลากรและทรัพยากรทางการแพทย์ และผู้ลี้ภัยเหล่านี้มักจะไม่มีเอกสารหรือสิทธิในการเข้าถึงบริการเหล่านี้อย่างถูกต้องตามกฎหมายเช่นเดียวกัน
ในปัจจุบัน แม้จะยังคงมีข้อจำกัดในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลในบางพื้นที่ แต่เริ่มมีสถานพยาบาลบางแห่งที่เปิดให้บริการแก่ผู้คนในพื้นที่เหล่านี้ ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในการปรับปรุงการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ แม้ว่าการรักษาจะยังจำกัดอยู่ในบางพื้นที่และสำหรับบางกลุ่มคน แต่การพัฒนาเหล่านี้เป็นสัญญาณที่ดีว่าเรากำลังไปในทิศทางที่ถูกต้องในการดูแลผู้ที่ขาดแคลนการเข้าถึงการรักษา
ในบริบทนี้ ดร.ซินเธีย หม่อง (Dr. Cynthia Maung) แพทย์หญิงผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่เปรียบเสมือนรางวัลโนเบลด้านสันติภาพ ได้แสดงบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในเมียนมา โดยเธอได้ก่อตั้ง “คลินิกสุขภาพชายแดน” ซึ่งเป็นสถานพยาบาลที่ให้การรักษาผู้ป่วยจากชายแดนเมียนมาและผู้ลี้ภัยที่หลบหนีจากความรุนแรงในประเทศบ้านเกิดของพวกเขา
“การทำงานของดร.ซินเธีย หม่อง ไม่เพียงแต่ให้การรักษาทางการแพทย์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการจัดหาที่พักพิงให้กับผู้ลี้ภัยที่ได้รับการรักษาแล้ว และการสนับสนุนด้านต่าง ๆ เพื่อให้พวกเขาสามารถฟื้นฟูสุขภาพและดำเนินชีวิตได้ในสภาพแวดล้อมที่จำกัดและยากลำบาก โดยการดูแลในลักษณะนี้ถือเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งและสงครามในพื้นที่ชายแดน ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อการสร้างความหวังและโอกาสใหม่ให้กับผู้คนในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด” ออง ปาย อู กล่าวอย่างภาคภูมิใจ
เขากล่าวต่อว่า ในช่วงที่มีสถานการณ์การปะทะจากสงคราม หลายคนมาจากเมียนมาพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ แต่ในขณะนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถพูดได้หรือสื่อสารได้ชัดเจน เพราะพวกเขาได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ในช่วงเวลานั้นคนไข้ที่มามักจะมีอาการต่างๆ เช่น การติดเชื้อหรือโรคบางอย่างที่เกิดจากการตั้งครรภ์ เช่น อาการของเด็กที่เกิดและปัญหาหลังจากนั้น เช่น การตั้งครรภ์ที่ไม่สมบูรณ์ หรือปัญหาจากการคลอดบุตรและการดูแลหลังคลอด
“มันเป็นการรับมือกับสถานการณ์ที่ต้องให้การดูแลหลายคนในเวลาเดียวกัน ตอนนี้ถ้ามีอาการไข้หรืออาการบาดเจ็บขั้นรุนแรง คนไข้จำเป็นต้องไปที่โรงพยาบาลเพื่อรักษา เพราะแม้ว่าจะมีการทำงานร่วมกับทีมแพทย์และผู้ช่วยแพทย์ (assistant) แต่ก็ไม่สามารถให้การรักษาที่สมบูรณ์แบบได้ในบางกรณี เรากำลังพยายามดูแลคนไข้ให้ดีที่สุด แต่ด้วยจำนวนคนไข้ที่มากขึ้น ทำให้ไม่สามารถให้การดูแลที่ครอบคลุมในทุกกรณีได้ หาถามว่ารัฐบาลไทยและเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาช่วยเหลือบ้างหรือไม่? ก็อาจจะมีบางครั้งได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ ในบางกรณีหากการรักษาไม่สามารถรักษาที่นี่ได้ พวกเราจะมีการส่งต่อหรือขอการช่วยเหลือจากภายนอกเพื่อให้การรักษาเป็นไปได้ดีที่สุด”
ออง ปาย อู เล่าถึงบทบาทชีวิตในขณะที่ทำงานเป็นผู้ช่วยแพทย์ (Assistant) ว่า ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนสำคัญในการทำงานและช่วยเหลือผู้ป่วย แม้ว่าจะต้องทำงานหนักจนถึงขีดสุด แต่ความรู้สึกเบื่อหน่ายหรือลำบากกลับไม่เคยเกิดขึ้นเลย เพราะทุกครั้งที่เห็นผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างเต็มที่และสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ดีกว่าเดิม มันทำให้รู้สึกว่าเราได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือในสิ่งที่มีความหมายมากที่สุด
“สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำงานในบทบาทนี้คือการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่มีความจำเป็น โดยสามารถดูแลได้ตามความต้องการของพวกเขาอย่างเต็มที่ โดยไม่ทำให้ผู้ที่มาช่วยเหลือรู้สึกว่าเป็นภาระมากเกินไป ความพยายามในการให้ความช่วยเหลือทำให้เราสามารถรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ป่วยและครอบครัวของพวกเขาได้ การทำงานในบทบาทนี้ถือเป็นประสบการณ์ที่มีค่า แม้ว่าในบางครั้งจะต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ที่อาจทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า แต่การได้เห็นผลลัพธ์ของความช่วยเหลือและรู้สึกถึงคุณค่าของการช่วยเหลือผู้อื่นนั้นทำให้การทำงานทุกวันเป็นสิ่งที่มีความหมายและเติมเต็มชีวิต”
ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการรักษาพยาบาล ระหว่างเมืองแม่สอดและพื้นที่แคมป์ชายแดน
ออง ปาย อู เปรียบเทียบการเข้ารับบริการสาธารณสุขระหว่างในเมืองแม่สอดและในพื้นที่แคมป์ชายแดนไทยเมียนมาว่า เส้นทางแห่งการเข้าถึงการรักษาพยาบาลไม่เท่าเทียมกันอย่างเห็นได้ชัด ที่สะท้อนความยากลำบากและความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน สำหรับผู้ป่วยที่เดินทางมารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้หรือโรงพยาบาลรัฐในแม่สอด เป็นผู้ที่มีโอกาสได้รับการรักษาที่ดีกว่าเพราะสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้ง่ายกว่าผู้ป่วยในพื้นที่แคมป์ที่มักจะต้องเผชิญกับอุปสรรคทั้งในด้านระยะทางและข้อจำกัดทางการเงิน รวมถึงขาดการสนับสนุนจากรัฐที่เพียงพอ
มีรายงานว่าชาวพม่าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา เช่น แม่สอด เริ่มเข้ามาใช้บริการที่โรงพยาบาลรัฐเพิ่มมากขึ้น สาเหตุหลักมาจากสถานการณ์ความยากจนและการขาดแคลนบริการสาธารณสุขในประเทศเมียนมา โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาในประเทศของตนเองได้ จึงเลือกใช้บริการที่โรงพยาบาลในแม่สอด ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าหรือสามารถรับการรักษาฟรีในบางกรณี ภาพสะท้อนนี้แสดงให้เห็นถึงปัญหาความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงสุขภาพระหว่างประเทศและในพื้นที่ต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนในแถบชายแดน
นอกจากนี้รายงานจาก Benarnews เมื่อเดือนเมษายน 2564 ระบุว่าโรงพยาบาลในจังหวัดตาก เช่น โรงพยาบาลแม่สอด ได้รับผู้ป่วยจากแนวรบชายแดนรัฐกะเหรี่ยงในประเทศเมียนมา จำนวนหลายสิบราย ซึ่งสะท้อนถึงการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของผู้ลี้ภัยจากเมียนมา
“แม้ว่าความต้องการการดูแลรักษาของทั้งสองกลุ่มจะไม่ต่างกัน การเข้าถึงการรักษากลับเต็มไปด้วยความยากลำบาก ในขณะที่ผู้ป่วยจากในเมืองอาจจะมีโอกาสได้รับการดูแลที่รวดเร็วกว่าแต่ผู้ป่วยจากพื้นที่ชายแดนกลับถูกจำกัดสิทธิและโอกาสในการเข้าถึงการรักษาที่ทัดเทียมกัน โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการการรักษาพยาบาลที่ซับซ้อนหรือในสถานการณ์เร่งด่วน ที่ผู้ป่วยบางรายอาจไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้ทันเวลา”
“ปัญหาความไม่ยุติธรรมที่ฝังรากลึกอยู่ในระบบการดูแลสุขภาพที่ยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยทุกคนได้อย่างเท่าเทียมกัน แม้ว่าเราจะพยายามทำดีที่สุดภายใต้ข้อจำกัดที่มีอยู่ แต่คำถามที่ตามมาคือ ความยุติธรรมในการให้บริการทางการแพทย์นั้นอยู่ที่ไหน? มาตรการใดที่จะสามารถขจัดความไม่เท่าเทียมนี้ได้? ในที่สุดการทบทวนและปรับปรุงระบบการให้บริการทางการแพทย์ จึงเป็นสิ่งที่เราต้องทำอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ทุกชีวิตได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียมและมีคุณภาพไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม” เขาบอกเล่าด้วยความสลดและเห็นอกเห็นใจ
เขากล่าวต่อถึงความรันทดอดสู่ต่ออีกว่า การมองจากมุมมองของตัวเองมันยากที่จะพูดออกไปในบางครั้ง เพราะมันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและอาจทำให้เราเองที่รู้สึกไม่ดี แต่ในที่สุดเราก็ต้องทำในสิ่งที่ดีที่สุดตามที่เราทำได้ เพราะถ้าเราทำตามความสามารถของเราแล้ว มันก็เป็นการช่วยเหลือที่ดีที่สุดที่เราจะทำได้ แม้ว่าจะรู้สึกว่าโอกาสที่คนไข้แต่ละคนได้รับอาจไม่เท่ากัน แต่มันก็เป็นเรื่องที่เราต้องยอมรับและพยายามทำให้ดีที่สุด แม้ว่าจะมีข้อจำกัดบางอย่างที่เราไม่สามารถควบคุมได้ บางครั้งการทำงานในสถานการณ์ที่มีการขาดแคลนทรัพยากรหรือการจำกัดก็เป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกเครียด และไม่สามารถให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยได้เต็มที่เท่าที่ควร เช่น การไม่สามารถให้บริการในบางด้าน หรือการมีจำนวนผู้ป่วยที่มากเกินไปสำหรับบุคลากรที่มี
“สำหรับตัวผมเองแล้ว ถ้าไม่สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้ตามที่ควร ก็รู้สึกแย่ และอาจรู้สึกว่าไม่ได้ทำในสิ่งที่ต้องการให้ดีที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในสถานการณ์แบบนี้ การยอมรับในสิ่งที่ทำได้และพยายามทำให้ดีที่สุดนั้นสำคัญ เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้น อาจจะทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีทั้งตัวเราและผู้ที่เราคอยช่วยเหลือบางครั้งเมื่อเผชิญกับความยากลำบากหรือปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ทั้งหมด เราก็ต้องทำให้ดีที่สุดในขอบเขตที่เรามี และพยายามรักษาความเป็นมืออาชีพ เพื่อให้การดูแลที่เราทำมีประโยชน์ที่สุด” ผู้ช่วยพยาบาลรายหนึ่งกล่าวแม้ว่าในจิตใจของเขาไม่อย่าละทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ความท้าทายในฐานะผู้ช่วยพยาบาลข้ามชาติในไทย
เขากล่าวถึงความท้าทายในการทำงานเป็นผู้ช่วยแพทย์ในประเทศไทยว่า การทำงานในตำแหน่งที่ไม่ได้รับการรับรองตามกฎหมายทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะเมื่อมีเหตุการณ์ที่อาจนำไปสู่ความรับผิดชอบทางกฎหมาย ทำให้เขารู้สึกว่าตนไม่มีสถานะที่มั่นคง อย่างไรก็ตาม เขามุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเองโดยหวังว่าจะมีโอกาสศึกษาต่อในคณะแพทยศาสตร์ในประเทศไทย เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในอาชีพและเพิ่มขีดความสามารถในการช่วยเหลือผู้ป่วย
ในขณะที่เขากำลังเผชิญกับความท้าทายในการทำงาน สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในภูมิภาคได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการตัดงบประมาณของสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนมกราคม 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งบริหารที่ระงับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมทั้งหมดเป็นระยะเวลา 90 วัน เพื่อทบทวนและปรับปรุงนโยบาย การตัดสินใจนี้ส่งผลกระทบต่อผู้ลี้ภัยและผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา โดยเฉพาะผู้ที่พึ่งพาการรักษาพยาบาลที่จำเป็น
การระงับความช่วยเหลือดังกล่าวทำให้หลายองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เช่น International Rescue Committee (IRC) ต้องหยุดให้บริการด้านสุขภาพที่สำคัญ แม้ว่าจะมีการยกเว้นบางประการสำหรับความช่วยเหลือด้านชีวิตที่จำเป็น แต่ช่องว่างในการให้บริการยังคงอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลในประเทศไทยและการให้บริการนอกเหนือจากการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐาน
เขาเล่าต่อว่า ตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ทำงานในประเทศไทย เขารู้สึกภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่นี้ แม้จะเผชิญกับความไม่มั่นคงในอาชีพ แต่เขายังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเอง โดยหวังว่าจะได้รับโอกาสในการศึกษาต่อในคณะแพทยศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในอาชีพและเพิ่มขีดความสามารถในการช่วยเหลือผู้ป่วย
การตัดงบประมาณด้านมนุษยธรรมของสหรัฐอเมริกาไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อผู้ลี้ภัยและผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา แต่ยังส่งผลกระทบต่อผู้ที่ทำงานในสายอาชีพด้านสุขภาพข้ามชาติ ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายในการให้บริการและพัฒนาตนเองในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน
ในขณะที่เขาเผชิญกับความท้าทายในการทำงานในฐานะผู้ช่วยพยาบาลข้ามชาติในประเทศไทย เขาก็ยังคงมีความมุ่งมั่นและพยายามที่จะพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีความรู้สึกไม่มั่นคงในอาชีพเนื่องจากสถานะที่ไม่ได้รับการรับรองตามกฎหมาย แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้และยังคงทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ โดยใช้ประสบการณ์ที่มีค่าและการฝึกอบรมที่ได้รับมาเป็นแรงขับเคลื่อนในการพัฒนาทักษะและความสามารถในสายงานสุขภาพ
เขาเชื่อว่า หากมีโอกาสได้ศึกษาต่อในคณะแพทยศาสตร์ที่ประเทศไทย จะเป็นการเปิดโอกาสให้เขาได้เรียนรู้และพัฒนาความสามารถในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในอาชีพและให้เขาสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างเต็มที่การที่เขาทุ่มเทและมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเองในฐานะผู้ช่วยพยาบาลนั้นสะท้อนถึงความเสียสละและความทุ่มเทที่เขามีต่อผู้ป่วย และยังแสดงให้เห็นถึงความหวังที่จะสร้างอนาคตที่ดีขึ้นสำหรับตัวเองและการช่วยเหลือสังคมในอนาคต แม้จะเผชิญกับอุปสรรคมากมาย แต่เขาก็ยังคงเดินหน้าต่อไปเพื่อพัฒนาความรู้และทักษะในการทำงานในสายอาชีพนี้อย่างไม่ย่อท้อ