“พลังน้ำบ้านนา – ไฟฟ้าเขื่อนภูมิพล” เปิดมรดกการพัฒนาต้านภัยคอมมิวนิสต์ และชีวิตคนชลประทานรังสรรค์เมกะโปรเจกต์

เรื่อง: สมหมาย ควายธนู

แม่น้ำหลายแห่งในโลกเคยเป็นอิสระจากการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ และมีชนพื้นเมืองเป็นผู้ดูแล รักษา ฟื้นฟูแม่น้ำ

ข้อมูลปัจจุบันในรายงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้บันทึกรายละเอียดของโครงสร้างทางวิศวกรรมที่มีรูปร่างหน้าตาเป็นเขื่อนคอนกรีตรูปทรงโค้ง ซึ่งขวางกั้นแม่น้ำปิงในบริเวณอำเภอสามเงา จังหวัดตากเอาไว้ นั่นก็คือ เขื่อนภูมิพลสามารถจุน้ำได้กว่า 13,462 ล้านลูกบาศก์เมตร และสามารถแปลงพลังงานน้ำในเครื่องกำเนิดเป็นพลังงานไฟฟ้าประมาณการผลิตแล้วกว่าปีละ 1,062 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง 

เริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2493 รัฐบาลไทยได้มอบหมายให้กรมชลประทานก่อสร้างเขื่อนยันฮี (ภูมิพล) และโครงการที่เกี่ยวข้องกับพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด โดยได้รับความร่วมมือจากสหรัฐอเมริกา ทั้งการให้กู้เงินจากธนาคารโลก (World Bank) กระบวนการสำรวจทางธรณีวิทยา และผู้เชี่ยวชาญที่ปรึกษาในการก่อสร้างโครงสร้างทางวิศวกรรมในหลายภาคส่วน 

ก่อนเขื่อนภูมิพลจะได้ผู้รับเหมาเริ่มต้นสร้างจริงใน พ.ศ. 2501 แล้วเสร็จเปิดพิธีไปเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2507 ซึ่งได้เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าที่มีสายส่งแรงสูงไปยังกรุงเทพฯ ศูนย์กลางการใช้ไฟฟ้าในขณะนั้น ก่อนจะส่งต่อไปยังกว่า 36 จังหวัดทั่วประเทศในเวลาต่อมา จะมีให้เห็นเป็นมรดกทางเทคโนโลยีวิศวกรรมที่ยังใช้งานอยู่ และบทบันทึกบาดแผลของชาวบ้านนาใต้ผืนน้ำในเขื่อนภูมิพล

A group of people sitting in a room

Description automatically generated
(จากซ้ายไปขวา) ม.ล. ชูชาติ กำภู อธิบดีกรมชลประทาน, Michael W. Straus กรรมมาธิการด้านชลประทานแห่งสหรัฐอเมริกา ในช่วง พ.ศ. 2488 – 2496, จอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 ในทศวรรษ 2490 – 2500 ภาพจาก หนังสือที่ระลึกงานทำบุญอายุครบ 60 ปี ม.ล.ชูชาติ กำภู 4 มกราคม 2509

จุดยืนไทยต่อการเมืองโลกและผู้เชี่ยวชาญจากอเมริกา 

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สถานการณ์โลกได้เปลี่ยนขั้วอำนาจจากยุโรปที่บอบช้ำจากสงคราม อเมริกาฯ จึงได้พยายามสร้างนโยบายความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ในฐานะมหาอำนาจใหม่

ขณะเดียวกันก็มีความกังวลต่อการขึ้นมาของเหมาเจ๋อตุง และพรรคคอมมิวนิสต์ในจีนที่กำลังแผ่ขยายเข้ามาสู่อุษาคเนย์ อเมริกาจึงปรับเปลี่ยนนโยบายที่สร้างสัมพันธ์ที่มีความเข้มข้นขึ้น 

ไปจนถึงมองเห็นไทยในฐานะปราการการป้องกันคอมมิวนิสต์ จึงได้สร้างจิตวิทยาผ่านสื่อ โฆษณา และภาพยนตร์ต่างๆ ให้เกิดความหวาดกลัวคอมมิวนิสต์ที่จะเป็นภัยคุกคามสถาบันกษัตริย์และเอกราชของประเทศไทย

รัฐบาลไทยสมัยนั้น ภายใต้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้สร้างสัมพันธ์กับอเมริกาในการปรับปรุงยุทโธปกรณ์ต่างๆ ของกองทัพ และการออกพระราชบัญญัติหลายฉบับที่ป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ตลอดจนให้ความร่วมมือในองค์กรระหว่างประเทศและผลักดันโครงการของรัฐบาลไทยไปสู่การกู้เงินจากธนาคารโลก (จะส่งผลเด่นชัดในรัฐบาลต่อมาไม่ว่าสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ฯลฯ)

ในงานด้านชลประทาน ม.ล. ชูชาติ กำภู นายช่างที่มีประสบการณ์ในโครงการด้านพลังงานน้ำและการผลิตไฟฟ้าทั้งในและนอกกรุงเทพฯ พ่วงด้วยตำแหน่งอธิบดีกรมชลประทาน ผู้เคยเจรจาในการกู้เงินธนาคารโลกในโปรเจกต์สร้างเขื่อนเจ้าพระยา ซึ่งรับสนองนโยบายของรัฐบาลไทยได้คิดหาวิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังงานไฟฟ้าที่ถูกลง 

เวลานั้นการเติบโตของกรุงเทพฯ ได้เต็มไปด้วยการขยายตัวอาคารอย่างสถานบันเทิง โรงแรม ธนาคารและโครงสร้างพื้นฐานที่สร้างขึ้นจากปูนซีเมนต์ จึงมีความจำเป็นที่ต้องใช้ไฟฟ้าอย่างมหาศาล

รัฐบาลจึงคาดการณ์ว่าการสร้างเขื่อนในลุ่มน้ำสาขาของแม่น้ำเจ้าพระยาและตามภูมิภาคต่างๆ จะสามารถป้องกันปัญหาน้ำท่วมและกักเก็บน้ำเพื่อเพิ่มพูลผลผลิตของเกษตรกรที่มักประสบปัญหาในฤดูแล้ง พร้อมทั้งรองรับการเจริญเติบโตของจังหวัดต่างๆ ที่ต้องการไฟฟ้าเช่นเดียวกัน 

การก่อสร้างเขื่อนภูมิพล จึงได้ภาคส่วนต่างๆ ของอเมริกามาร่วมมือ ทั้ง U.S. Burreau of Relamation ที่ทำงานด้านการปฏิรูปและสำรวจทางกายภาพของที่ดิน หรือวิศวกรที่ปรึกษาอย่าง Raymond E. Davis ที่มีผลงานจำนวนมากจากการสร้างเขื่อนในอเมริกาและการค้นคว้าเรื่องปูนซีเมนต์และคอนกรีตในการก่อสร้าง Sverdrup & Parcel International,Inc. มาเป็นบริษัทวิศวกรที่ปรึกษา และ Brown & Root, S.A. and Utah International,Inc.เป็นผู้รับเหมาสร้างเขื่อนและโรงไฟฟ้า

A paper with text on it

Description automatically generated

ประกาศสำนักคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขนานนามเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำที่เขายันฮี

เมื่อสถาบันกษัตริย์หลอมรวมเข้ากับเทคโนโลยีภายใต้นโยบายพัฒนา

ในเรื่องของการจัดการทรัพยากรน้ำที่สัมพันธ์กับการรวมศูนย์อำนาจของรัฐไทยที่เป็นผลมาจากประวัติศาสตร์และการปฏิรูปผ่านระบบราชการในนามของกรมชลประทาน ผลงาน “รัฐวิศวกรรม: มองการสร้างรัฐราชการ ผ่านปฏิบัติการเชิงเทคโน” ของนักมานุษยวิทยาอย่าง จักรกริช สังขมณี ได้เปิดมุมมองว่าการลงทุนของรัฐในการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ที่เป็นวิศวกรรมเชิงเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากตะวันตก เพื่อเพิ่มการผลิตข้าวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นนั้น เป็นผลพวงมาจากมรดกของการรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่กษัตริย์ได้เชื่อมโยงความศักดิ์สิทธิ์ในจารีตปรับเข้ากับเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการจัดการน้ำ

เห็นได้จากในพิธีกรรมการวางศิลาฤกษ์ ได้มีการจัดวางพิมพ์เขียวทางวิศวกรรม สัญลักษณ์ทางราชวงศ์ สิ่งสร้างทางโหราศาสตร์มาวางเคียงคู่ไว้ด้วยกัน รวมถึงการนำพระนามมาตั้งชื่อของโครงการทางวิศวกรรมต่างๆ เป็นการช่วยตอกย้ำความศักดิ์สิทธิ์ของอำนาจบารมีของสถาบันกษัตริย์กับความทันสมัยในการจัดการทรัพยากรน้ำในฐานะรัฐนาฏกรรม

A group of men standing next to each other

Description automatically generated

(จากซ้ายไปขวา) ม.ล. ชูชาติ กำภู อธิบดีกรมชลประทาน, รัชกาลที่ 9, นายพลเนวิน  (Ne Win) ผู้นำเผด็จการเมียนมา ที่เขื่อนภูมิพล ในวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2505 ภาพจาก หนังสือที่ระลึกงานทำบุญอายุครบ 60 ปี ม.ล.ชูชาติ กำภู 4 มกราคม 2509

ดูจะสอดคล้องกับการเดินทางเยี่ยมราษฏรและโครงการทางชลประทานต่างๆ ของรัชกาลที่ 9 ที่เชื่อมโยงความใกล้ชิดของสถาบันกษัตริย์กับประชาชนในพื้นที่ชนบท และยังสร้างภาพลักษณ์ความเป็นสากลในต่างประเทศ อันจะมีการเดินทางมากครั้งในภายหลังการเกิดขึ้นของการรัฐประหาร พ.ศ. 2501 ของคณะปฏิวัติที่นำโดยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่มีสัมพันธ์แนบแน่นกับอเมริกา

คนบ้านนาที่ต้องย้ายถิ่นฐานสู่หมู่บ้านจัดสรร (ชลประทานรังสรรค์)

ขณะเดียวกันการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่เพื่อสร้างไฟฟ้าในพื้นที่แม้ว่าจะเป็นป่าเขา แต่ใช่ว่าที่นั่นจะไม่เคยมีคนอาศัยอยู่เลย 

คำตอบด้านหนึ่งของ ชลอ ถนัดวณิชย์ อดีตครูประจำวิชาสังคมฯ โรงเรียนสามเงาวิทยาคม ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านชลประทานรังสรรค์อยู่ห่างจากเขื่อนภูมิพลไม่ถึง 12 กิโลเมตรดี

ถ้าถามว่าอยู่ใกล้เขื่อนขนาดนี้จะได้ใช้พลังงานไฟฟ้าได้โดยตรงเลยหรือเปล่า ?

เธอกล่าวว่า “คนละส่วนกันค่ะ เขื่อนภูมิพลผลิตไฟฟ้าส่งเข้านครหลวงที่เราใช้เป็นการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพราะว่ามันเป็นระบบของการไฟฟ้า เราต้องซื้อต้องจ่ายที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขาต้องส่งจากกรุงเทพฯ ไปที่ตากจึงจะมาที่บ้านจัดสรร”

ชลอ ถนัดวณิชย์

แต่หากย้อนกลับเมื่อกว่า 60 ปีล่วงผ่าน ในช่วงเวลาก่อนการสร้างเขื่อนภูมิพล เธออายุได้เพียง 1 ขวบก็ต้องขึ้นแพย้ายบ้านมากับครอบครัวแล้ว จนขยับมาสู่อาชีพข้าราชการประจำที่สามเงาฯ 

วันหยุดสุดสัปดาห์ ยามว่างในเวลาเย็น เธอมักพานักเรียนโรงเรียนสามเงาฯ เก็บข้อมูลในโครงการที่ชื่อว่า ‘ผู้แก่เล่า ผู้เยาว์เขียน’ เพื่อบันทึกทั้งความเปลี่ยนแปลงจากรัฐที่ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ ความรู้สึก การทำมาหากินวิถีชีวิต ไปจนถึงประวัติศาสตร์ของชุมชนของคนบ้านนาเดิมที่ได้จมอยู่ใต้ผืนน้ำในเขื่อนภูมิพล ก่อนจะรวมข้อมูลทำเป็นนิทรรศการและชุดการแสดงชื่อว่า ‘เสียงร่ำไห้จากขุนเขา’ 

“สมัยนั้น จอมพล ป. เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งไทยเราก็มีการติดต่อกับอเมริกา เขาก็เลยให้ทุนรัฐบาลไทย ทำเขื่อนกั้นแม่น้ำปิง มีวิศวกรมาดูโครงสร้างในการก่อสร้างรับน้ำหนักเขื่อนชุมชนลุ่มน้ำปิง นักสำรวจนักธรณีเขาระบุว่า หมู่บ้านนาที่อยู่ใกล้กับลำน้ำปิงกว่า 8 กิโลฯ เป็นโครงสร้างที่ดีสำหรับการรับน้ำหนักเขื่อน ต้องมีคนย้ายออกจากบ้านนาตามคำสั่ง”

ครูชลอได้เล่าต่อไปว่าแต่เดิมนั้นชาวบ้านนาประกอบอาชีพทำนาทำไร่ มีบ้างที่เก็บของป่าทั้งหนังสัตว์ ชัน ครั่งไปขายกับต่างชุมชน และมีบ้างที่ทำอาชีพถ่อแพรับจ้าง หาปลาในแม่น้ำปิงเลี้ยงชีพด้วยการประมงได้อย่างอิสระวิถีชีวิตคนบ้านนา มีต้นผัก บวบ ถั่วฝักยาว ถึงไม่ใช่ที่ของเราก็เก็บได้ หากิ่งไม้มาทำให้รู้ว่าเป็นตะขอ ให้เจ้าของรู้ว่ามาขอไปแล้ว บางบ้านก็ทำแกงมาคืน”

เมื่อคนบ้านนาพอรู้ว่าทางการสั่งย้าย ความรู้สึกของพวกเขาที่เป็นคนบ้านป่า แม้แต่เสียงลมที่มาจากภูเขาก็เป็นเสียงร้องไห้มาจากปู่ย่าตายาย

“พอชาวบ้านเริ่มรู้ข่าวว่าจะทำเขื่อนในช่วง พ.ศ. 2496 เริ่มกังวลสับสน ผ่านไปสักพักทางการใส่ชุดสีกากีมา คนบ้านนากลัวมาก เขาสั่งอะไรก็ทำ ทำไปด้วยความหวาดกลัว มีคนต่อสู้คัดค้านเหมือนกัน แต่ก็ถูกทางการเรียกตัวไป”

ต่อมารัฐบาลประกาศว่าภายใน พ.ศ. 2503 การผันแม่น้ำปิงมาเพื่อสร้างเขื่อนภูมิพล จะทำให้เกิดน้ำท่วมทั้งหมู่บ้านจึงจะต้องอพยพ ในบันทึกของปราโมช มาลาทองบอกไว้ว่า  ทางชลประทานได้มีการจ่ายค่าทำขวัญและค่ารื้อบ้านเพื่อมาอยู่ในที่แห่งเป็นเงินตามราคาของวัสดุที่ประกอบขึ้นมาเป็นบ้าน เรือนที่มุงกระเบื้องจะได้ค่ารื้อตารางเมตรละ 10 บาท เรือนมุงสังกะสีตารางเมตรละ 8 บาท เรือนมุงแฝกตารางเมตรละ 6 บาท พร้อมทั้งค่าทำขวัญหลังละ 8 บาท และจ้างเรือและแพคนย้ายไปยังบ้านนา

ที่ดินและความเดือนร้อน

ในห้วงเวลานั้นรัฐบาลได้มีโครงการจัดสรรที่ดินของกรมชลประทานเพื่อรองรับการโยกย้ายของชาวบ้านนาในตำบลวังไคร้ อำเภอสามเงา จังหวัดตาก จากพื้นที่ปกครองทั้งหมดที่มี 9 หมู่บ้านของตำบลบ้านนาเดิม แบ่งเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ในหมู่ที่ 3 และหมู่ที่ 4 มาอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรทั้งหมดประมาณ 90% อีก 10% ย้ายกระจายออกไปอยู่ต่างจังหวัด บ้างบ้านก็เปลี่ยนคนบนบกเป็นชาวแพ และบางคนก็ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่เป็นคนทำงานของกรมชลประทาน

โครงการ ‘ผู้แก่เล่า ผู้เยาว์เขียน’ โรงเรียนสามเงาวิทยาคม ภาพจาก คลังข้อมูลชุมชน ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร

ครูชลอเล่าถึงการจัดสรรที่ดินทำกินว่า  “ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน เอากระดาษพิมพ์เขียวให้คนมาลง คนบ้านนาก็มาลงครอบครัวละ 1 ไร่ เป็นที่ดินที่ทางชลประทานจัดสรรไว้ให้ สภาพตอนแรกเป็นป่าดงดิบ มีไม้สัก 3 คนโอบอยู่ในการที่จะทำบ้านต้องถาง แต่ก่อนไม่มีถนนที่เรียบๆ แบบในพิมพ์เขียว”

“เรื่องที่ทำกินสำหรับคนที่ทำไร่ ทำนา ทางชลประทานจัดให้อยู่รอบๆ หมู่บ้าน สมมติมีคนบอกว่าตัวเองมีที่ดิน 5 ไร่ หรือ 10 ไร่จากที่บ้านนา ก็จะมีการจัดสรรกันใหม่ คนที่ได้ที่ดินติดหมู่บ้านจะเป็นคนมีอำนาจบารมีใกล้ชิดผู้ใหญ่บ้านกำนัน บางคนก็ได้ไกลไปประมาณ 20 กิโลฯ”

ในบันทึกของปราโมช มาลาทองเล่าถึงความเดือดร้อนในที่ดินทำกินว่า รัฐบาลหรือกรมชลประทานไม่ได้จัดสรรให้ตามสัญญา จากที่เขียนไว้จำนวน 10 ไร่ก็อาจจะได้รับเพียง 8 – 9 ไร่ แต่ก็มีการเขียนใบครอบครองกรรมสิทธิ์ไว้ทั้งหมด 10 ไร่ จนล่วงเลยไปถึง พ.ศ. 2519 ชาวบ้านนาที่ย้ายมาอยู่หมู่บ้านจัดสรรยังทะเลาะกันเรื่องที่ดินและยังไม่มีหลักฐานแสดงตัวถึงการเป็นเจ้าของที่ดินเหล่านั้นได้เลย

ด้านครูชลอเล่าอีกว่า พอมาอยู่มาได้ 3 – 5 ปี เข้าสู่ พ.ศ. 2508 โจร ขโมยก็ยังมีมาก ปล้นฆ่าเอาทรัพย์สิน แม้แต่หมูและควายในคอกก็ถูกผู้ร้ายชิงปล้น ผู้หญิง ผู้ชาย แม่ค้าพ่อค้า ถ้าเดินคนเดียวก็จะถูกจี้ มีเรื่องเล่าว่าแม้แต่การตัดไม้เพื่อสร้างบ้านหลังใหม่ก็อาจจะถูกป่าไม้จับและต้องเสียค่าปรับ 

‘เขื่อน’ ควรจะปล่อยให้เกิดขึ้นอีกหรือ?

ในปี 2568 นโยบายของรัฐในการแก้ปัญหาน้ำท่วมกับพลังงานไฟฟ้าก็ยังเต็มไปด้วยการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่และการผันแม่น้ำ ที่ยังต้องตั้งคำถามต่อไปถึงผลกระทบของการเคลื่อนย้ายของประชากร การทำลายระบบนิเวศที่เป็นความหลากหลายของแม่น้ำ และภาระค่าไฟที่แพงอึ้ง!

จากคำบอกเล่าถึงสิ่งที่ชาวบ้านต้องพบเจอจากโครงการสร้างเขื่อนนี้ ทำให้เห็นว่า โครงการเขื่อนขนาดใหญ่ที่รัฐบาลพยายามสร้างขึ้นโดยอ้างว่าเป็นการสร้างเพื่อผลประโยชน์ให้แก่ประชาชนนั้น กลับสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนมากกว่าประโยชน์เสียอีก เพราะในกระบวนการสร้างเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำแต่ละแห่ง จะต้องมีชาวบ้านที่ต้องสูญเสียพื้นที่อยู่อาศัย ไปจนถึงที่ดินทำกิน และยังต้องคอยกังวลถึงผลเสียอื่นๆ ที่อาจตามมาในอนาคต หากเป็นเช่นนี้ โครงการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ ยังถือเป็นสิ่งที่ควรจะปล่อยให้เกิดขึ้นแล้วจริงหรือ

รายงาน น้ำท่วม เขื่อนลาว นักลงทุนไทย ค่าไฟแพง : สำรวจเขื่อนผลิตไฟฟ้าในลาวที่ขายไฟให้กับไทย ระบุว่า ในร่างแผน PDP2024 กำหนดพลังงานน้ำจากเขื่อนต่างประเทศไว้ที่ 15% เพิ่มขึ้นจาก 9% ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการสร้างเขื่อนใหม่ในลาวอย่างน้อย 3 แห่ง จำนวน 3,500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2580 เพื่อให้ประเทศไทยมีพลังงานสะอาดเกินกว่าครึ่งหรือ 51% 

มีวาทกรรมของการสร้างให้เขื่อนเป็น ‘พลังงานสะอาด’ แต่การสร้างเขื่อนนั้นกลับทำให้เกิดก๊าซมีเทนจากอ่างเก็บน้ำ ซึ่งทำให้โลกร้อนมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 80 เท่า และยังมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน เช่น การทำลายระบบนิเวศในแม่น้ำและการโยกย้ายประชาชนจากพื้นที่ที่สร้างเขื่อน คำถามสำคัญก็คือ เขื่อนเป็นพลังงานสะอาดจริงหรือ?

นอกจากนี้ การสร้างเขื่อนใหม่ยังไม่สามารถช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ และราคาซื้อไฟจากเขื่อนในลาวก็สูงขึ้น จนอาจจะมีราคาใกล้เคียงกับพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศ ทำให้ไม่สามารถควบคุมต้นทุนไฟฟ้าได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ในแผน PDP2024 จึงสรุปได้ว่า การเพิ่มพลังงานน้ำจากเขื่อนก็ยังไม่สามารถสร้างความมั่นคงทางไฟฟ้าให้กับประเทศได้ แล้วแบบนี้เราจะยังจะต้องมีโครงการสร้างเขื่อนไปทำไมกัน

หมายเหตุเพิ่มเติม 

จุดเริ่มต้นของการค้นคว้าได้มาจาก สมุดบันทึกของปราโมช มาลาทอง ใน “เสียงร้องของคนเหนือเขื่อน” (เมืองโบราณ ฉบับเดือนเมษายน – มิถุนายน 2545)  ยังมี  “รัฐวิศวกรรม: มองการสร้างรัฐราชการ ผ่านปฏิบัติการเชิงเทคโน” ของจักรกริช สังขมณี (ฟ้าเดียวกัน ฉบับเดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2562) และปากคำของชลอ ถนัดวาณิชย์

ข้อมูลที่เกี่ยวกับการชลประทานและการก่อสร้างเขื่อนภูมิพล มาจากหนังสือ ที่ระลึกในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีเปิดเขื่อนภูมิพล 17 พฤษภาคม 2507 ของกรมชลประทาน หน้า 8 – 142, หนังสือที่ระลึกงานทำบุญอายุครบ 60 ปี ม.ล.ชูชาติ กำภู 4 มกราคม 2509 หน้า 60 – 92, 262 – 272 และ หนังสือเขื่อนภูมิพล: กว่าจะเป็นวันนี้ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่ตีพิมพ์ใน พ.ศ. 2557

รวมถึงความเปลี่ยนแปลงในช่วงสงครามเย็นจากหนังสือ กำเนิดประเทศไทย ภายใต้เผด็จการ ของภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ (สำนักพิมพ์มติชน จัดพิมพ์ใน พ.ศ. 2558) หน้า 220 – 230 และบทความ “สถาบันพระมหากษัตริย์กับนโยบายต่างประเทศของไทยในยุคสงครามเย็น” ของสิทธิพล เครือรัฐติกาล (ฟ้าเดียวกัน  ฉบับเดือนตุลาคม – ธันวาคม 2551) หน้า 157 – 174

ข่าวที่เกี่ยวข้อง