ผมนึกไปถึงถ้อยคำของครูตี๋ ที่ได้ไปพูดในวงเสวนาระหว่างประเทศเรื่องแม่น้ำและประชาชน ณ มหาวิทยาลัยรัฐพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน กับ วิลเบอร์ สลอคคิช Wilbur Slockish (คลิกคิทัต, ยากามะ), จูเลียน เอฟ. แมทธิวส์ (JULIAN F. MATTHEWS Board Member and Coordinator, Nimiipuu, Nez Perce) และ เดวิด โซแฮปปี้ David Sohappy, Jr. ยากามะ, ซึ่งเป็นลูกหลานปลาแซลมอน อเมริกันพื้นเมืองดั้งเดิม เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา
นิวัฒน์ ร้อยแก้ว เยือนอเมริกาเพื่อเข้ารับรางวัล Chang-Lin Tien Distinguished Leadership Award ประจำปี 2023 จาก The Asia Foundation และเข้าร่วมการเสวนาระหว่างประเทศเรื่องแม่น้ำและประชาชน ณ มหาวิทยาลัยรัฐพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ที่มาภาพ: mekongschool.org/
Lanner Joy มีโอกาสพาทุกคนไปรู้จักกับ โอลินก้า วิสติก้า (Olinka Vištica) และ ดราเซ็น กรูบิซิค (Dražen Grubišić)‘ สองผู้ก่อตั้ง Museum of Broken Relationships แม้จะเดินทางจัดแสดงนิทรรศการมาแล้วทั่วโลก จนพวกเขาได้เลือกเชียงใหม่เป็นบ้านหลังที่สองให้เราได้เยี่ยมชม และเป็นหมุดหมายอันดีที่จะทำความเข้าใจบริบทของวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ที่แฝงเร้นอยู่ในวัตถุแต่ละชิ้น พิพิธภัณฑ์แห่งที่สองนี้ นำทีมโดยภัณฑารักษ์ Charlotte Fuentes และ อีฟ – ปิยธิดา อินตา ออกแบบภายในโดย STA Studio จากฝีมือของ Petra Tikulin และ อัศรินทร์ สงวนวงศ์วาน ด้านเอกลักษณ์ทางภาพและกราฟิกดีไซน์ ได้รับการออกแบบอย่างประณีตโดย นุภาพ อัญญานุภาพ ทาร์ จาก Graphic Design Unit Studio
ทำความรู้จักกับผู้ก่อตั้งทั้งสอง
โอลินก้า วิสติก้า โปรดิวเซอร์ และผู้กำกับงานเทศกาลภาพยนตร์ระดับนานาชาติ และเทศกาลภาพยนตร์แอนิเมชันโลก ANIMAFEST ZAGREB ทำงานเกี่ยวกับโครงการทางวัฒนธรรมในโครเอเชียมานานกว่า 20 ปี ส่วน ดราเซ็น กรูบิซิคศิลปินที่จบการศึกษาจาก Academy of Fine Arts ในซาเกร็บ เขาทำงานศิลปะหลากหลายแขนง รวมถึงที่เกี่ยวข้องกับงานออกแบบ, สื่อโทรทัศน์, ภาพยนตร์ จนถึงการละคร
เรื่องราวความสัมพันธ์ที่แม้จะสิ้นสุดลง แต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นของโปรเจกต์ ‘Museum of Broken Relationships’
ดราเซ็น: จุดเริ่มต้นของเราไม่ได้คิดว่าจะทำพิพิธภัณฑ์มาตั้งแต่แรก เราเริ่มจากโปรเจกต์ที่ได้ทำร่วมกับ Zagreb Salon of Visual Art ในปี 2006 ตอนนั้นผมได้รับเชิญไปร่วมส่งผลงานในฐานะศิลปิน ซึ่งธีมในปีนั้นคือ ‘Synergy’ หลังจากนั้นผมก็นึกถึงสิ่งที่เคยพูดคุยกับโอลินก้าและโทรไปว่า “เธอจำสิ่งที่เราคุยกันไว้ได้ไหม? มันเข้ากับธีมนี้ได้ดีเลย”
Business and Human Rights หนึ่งกลไกที่ช่วยเข้ามาทำให้ภาคธุรกิจคำนึงถึงสิทธิแรงงาน ทั้งค่าตอบแทน ที่อยู่อาศัย สุขภาพและความปลอดภัย ระบบประกันสังคม สิทธิการรักษา การอบรมทักษะอาชีพ ภาษา และกลไกจัดตั้งร้องเรียนของแรงงาน
ทั้งนี้ วีรวัศ มีข้อเสนอ คือต้องการร่วมมือกับทางภาครัฐและภาคธุรกิจในการบูรณาการให้ทุกคนใช้หลักการคือ Business and Human Rights หรือธุรกิจเพื่อสิทธิมนุษยชน ในการทำงาน ซึ่งหากได้มีโอกาสทำงานกับภาครัฐจะทำให้การทำงานเกี่ยวกับสิทธิแรงงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากภาครัฐมีงบประมาณแต่ยังขาดการประสานงานกับแรงงาน
รู้จักธุรกิจเพื่อสิทธิมนุษยชน Business and Human Rights หรือ ‘ธุรกิจเพื่อสิทธิมนุษยชน’ คือการกำหนดแนวทางการดําเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับหลักการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอย่างครอบคลุมตามกฎหมายและหลักการสากล ในการกำหนดกลยุทธ์และแผนในการบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน มีกลไกการคุ้มครองและเยียวยาเมื่อเกิดเหตุ รวมถึงเปิดโอกาสให้ลูกจ้าง ชุมชนโดยรอบและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วมหารือในความร่วมมือและสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นพร้อมกัน
เพื่อเป็นการป้องกันและรับมือกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดจากกิจกรรมทางธุรกิจ เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554 องค์การสหประชาชาติได้ให้ความเห็นชอบในหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (United Nations Guiding Principles on Business and Human Rights (UNGP) เพื่อใช้เป็นแนวทางให้รัฐและองค์กรภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติบนฐานของความสมัครใจ โดยเนื้อหาสำคัญของหลักการชี้แนะมีดังนี้ 1.รัฐมีหน้าที่ในการปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน 2.องค์กรภาคธุรกิจมีหน้าที่เคารพสิทธิมนุษยชนและปฏิบัติตามกฎหมายที่บังคับ และ 3.ในกรณีที่เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่มีที่มาจากองค์กรภาคธุรกิจ ภาครัฐ ภาคเอกชน และกลุ่มธุรกิจ ควรจัดให้มีช่องทางการเยียวยาเหยื่อที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจากองค์กรภาคเอกชน
ในประเทศไทยได้มีการกำหนด National Action Plan on Business and Human Rights หรือ แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน เป็นแผนที่พัฒนาขึ้นโดยรัฐเพื่อคุ้มครองไม่ให้ภาคธุรกิจดําเนินการใดๆ ที่จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิทธิมนุษยชนรวมถึงประชาชนและชุมชนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนส่งเสริมแนวทางการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบและเคารพสิทธิมนุษยชนตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) โดยมุ่งหวังให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ทั้งนี้แผน NAP ในประเทศไทยยังเป็นเพียงแผนยังไม่มีการบังคับใช้เป็นกฎหมายเป็นเพียงแนวทางในการปฏิบัติ