Lanner เปิดพื้นที่ให้ทุกคนที่อยากสื่อสาร โดยความคิดเห็นไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ สามารถส่งมาได้ที่ lanner.editor@gmail.com

เรื่อง : มะรอซาลี คาร์เดร์


ในเช้าที่สดใสดวงอาทิตย์สีส้มส่งยิ้มอันอบอุ่นทักทายกับชาวบ้านมะโหรงแห่งนี้ที่กำลังเริ่มต้นชีวิตในวันใหม่  มะลี เปาะเนกำลังสาวท้าวก้าวขายาวๆโย่งเย่งของเขา มือเขาหิ้วกระสอบปุ๋ยเคมีใบใหญ่ ค่อยๆเดินลัดเลาะไปตามแนวพงหญ้าคา ข้ามห้วยด้วยสะพานท่อนไม้เก่าแก่ขนาดเขื่องกว่าเสาโรมันทั่วไป ห้วยที่ครึ้มไปด้วยต้นสาคู เตยหอม ต้นบอน ผ่านป่าละเมาะรกรุงรังหายเข้าใต้ร่มครึ้มหนาแน่นของแมกไม้ใบยางพาราสีเขียวสดชุ่มไปด้วยเม็ดน้ำค้างที่สะท้อนแสงส้มทองระยิบระยับงามตาจากรอยยิ้มของดวงอาทิตย์โดยมีฉากหลังเป็นภูเขาหินปูนลูกโดดเดียวดายทมึนตึงลักษณะรูปทรงโค้งมนของภูเขาคล้ายดวงจันทร์เสี้ยว เสรีชนแทบถิ่นนี้เรียกขานว่าเขาบุหลัน(ดวงจันทร์) เขาตัวสูงโย่งผอมบางพริ้วไหว จังหวะก้าวท้าวของเขาแม้จะโอนเอนเชื่องช้าเงอะงะแต่มั่นคงและหนักแน่น

เมื่อรอยยิ้มอันอบอุ่นของแดดเช้าแปรเปลี่ยนเป็นแดดขรึมแผดเผาร้อนแรงในตอนสาย เขาก็เยื้องย่างขายาวๆของเขาออกมาจากร่มเงาของแมกไม้ มือลากกระสอบปุ๋ยเคมีใส่ขี้ยางลากซิกแซกกิ้งไม้แห้งใบไม้แห้งหญ้าแห้งเสียงดังกรอบแกรบด้วยน้ำหนักที่กดทับลงไปมันเป็นเหมือนเสียงกระซิบกระซาบในหัวใจอันพองโตของเขาต่อผลผลิตแรกจากน้ำพักน้ำแรงที่เขาหมั่นพากเพียรปลูกและเฝ้าดูแลสวนยางพาราในผืนดินติดอันเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ เขาเป็นผู้สืบทอดผืนดินผืนนี้รุ่นที่สามต่อจากพ่อและปู่ของเขา แม้ที่ดินไม่ได้มากมายกว้างขวางเท่าไหร่นัก แต่สำหรับเขาก็เพียงพอแล้วสำหรับการสร้างอนาคตที่สดใสงดงามหยดย้อย

เขาแต่งตัวอย่างชาวบ้านทั่วไปในแถบถิ่นนี้ นุ่งโสร่งลายตารางสีขาวซีดเปรอะเปื้อนชายผ้ายกสูงเกือบถึงเข่าอย่างเอียงกระเท่เร่บานคล้ายกระโปรงสั้นของนักเรียนมัธยมปลาย พันรอบศรีษะด้วยผ้าลือปัสสีเหลืองซีดจนลวดลายดอกชบาเกือบเลือนลางจางหาย(ผ้าขาวม้ามลายู) ใส่เสื้อเชิร์ตตัวล้วมๆสีน้ำตาลอมเขียวซีดไม่ติดกระดุมเผยให้เห็นผิวหนังคล้ำหุ้มซี่โครงผอมแห้ง รองเท้าบูทยางสีดำซีดเกรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดิน ทุกอย่างบนตัวเขาล้วนสีไม่สดใส เม็ดเหงื่อเปียกชุ่มหน้าผากแคบกร้านแดดคล้ำ ใบหน้ายาวเรียวโหนกแก้มตอบเบ้าตาลึกแต่ดั่งโด้งโค้งเป็นสัน ผมเผ้ากระเซิงดำสนิท หนวดเคราแซมอย่างเบาบาง รอยยิ้มที่ผุดพรายบนใบหน้าเผยให้เห็นไรฟันเหลืองจากคราบบุหรี่ใบจากและกัญชา ริมฝีปากคล้ำหนา และตอนนี้ใบจากมวนนึงซึ่งถูกเขาจุดไฟสูบไปแล้วกำลังจุกตัวอยู่ที่มุมริมฝีปากขวาของเขา ท่าทางของเขาดูเหมือนพระเอกหนังฮอลลีวู้ดหลังจากภารกิจสำคัญได้ลุล่วงไปแล้ว

เขานำกระสอบขี้ยางผูกเชือกล่ามไว้กับแคร่จักรยานเสร็จ เขาขึ้นคร่อมอานแล้วทั้งถีบทั้งปั่นจักรยานคันเก่าแก่การันตีด้วยสีสนิมทั้งคัน ถีบออกไปช้าๆเนิบนาบอย่างสบายอารมณ์ เขาทักทายกับทุกผู้คนที่ผ่านพบสวนทางกับเขาเหมือนเป็นญาติสนิทที่ไม่ได้พบเจอกันมานาน จนถึงปลายทางร้านรับซื้อขี้ยาง เขาสนทนากันกับคนรับซื้ออย่างสดใส มองดูตัวเลขที่ตาชั่งอย่างสบอารมณ์ คนรับซื้อส่งมอบเงินค่าขี้ยางให้กับเขา แน่นอนว่าชีวิตของเขาตอนนี้งดงามราวกับลวดลายของธนบัตรสีม่วงในมือ 

“ไตรเต่ตรงนี้หม้ายติดหน้ากูมังน้าา ไตรไม่รู้ ขี้ยางกู หน้าบนเบี้ยนี้ ต้องเป็นหน้ากูมังแหละ ติดหน้าใครก่าหม้ายโร้ว” (แปล:ทำไมตรงธนบัตรใบนี้ไม่มีรูปใบหน้าของฉันบ้างน่ะ ทำไมไม่รู้ ขี้ยางก็ของฉัน เงินนี่ก็ของฉัน แต่รูปของก็ใครไม่รู้)เขาพึมพำตั้งคำถามกับตัวเองอย่างขบขำ

จักรยานคันเก่าเทียบชานชลาแคร่ไม้หน้าเชิงบันไดบ้าน ตัวบ้านเป็นผนังไม้ไผ่สานยกใต้ถุนสูง หลังคาในส่วนของตัวบ้านมุงด้วยสังกะสี มีชานระเบียงจากเศษไม้เก่าออกแบบอย่างเรียบง่ายสวยงาม ในส่วนของครัวมุงด้วยใบสาคูสาน ต้นไม้รอบบ้านครึ้มเขียวขจีด้วยต้นลองกอง ต้นทุเรียน ต้นเงาะ ต้นมะพร้าวที่สูงฉลูดโบกไหวเหนือลังคาสังกะสี และอีกสารพัดไม้ผลกับพืชผักสวนครัว สายลมเย็นในยามบ่ายโบกพัดปะทะยอดตระไคร้อ่อนฉอยสวยงาม โลกของเขากำลังหมุนเคว้งด้วยฤทธิ์จากพันลำ กัญชาตากแห้งจากสวนหลังครัวที่ผลิตเองด้วยวิถีบ้านๆ เขาพิงศรีษะกับเสาบ้านเอนร่างกายสูงโย่งอยู่บนแคร่ด้วยรอยยิ้มที่หวานเจี๊ยบละมุนละไมคลอเคลียไปกับเสียงเพลงจากวิทยุเครื่องเก่า ชีวิตของเขาดำเนินไปอย่างเนิบช้าหมุนเคว้งสุขล้นไปเช่นนั้น

“นายหัวครก นายหัวครก ถูกสาวบางกอกหักอก”เสียงเพลงจากวิทยุของเขาลอยละลิ่วไปกับสายลม(เพลงนายหัวครก แสง ธรรมดา)

ยามบ่ายของวันนึง ณ ที่ประชุมหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านรูปร่างเล็กเตี้ยม่อต้อผิวขาวสะอาดพุงโรหัวเถิกผมบางแวววับในชุดเสื้อคอปก สวมเสื้อกั๊กติดตรากรมการปกครองไว้ตรงด้านหลัง กางเกงยีนส์สีเข้มผูกผ้าแดงตรงสะเอว (ผ้าแดง คือผ้าขาวม้าผืนสีแดงล้วนแบบชาวปักษ์ใต้) กำลังบริการจัดแจงอำนวยความสะดวกกิจกรรมการขึ้นทะเบียนเกษตรกรแก่ชาวบ้าน ผู้คนในที่ประชุมหมู่บ้านจอแจอึงคนึงวุ่นวายอยู่กับการขั้นตอนการขึ้นทะเบียนเกษตกร ข่าวสารแพร่กระจายตั้งแต่เสียงตามสาย จากปากสู่ปาก บ้านต่อบ้าน และผู้คนก็เริ่มรวมตัวแน่นหนาขึ้น รวมทั้งมะลี เปาะเน เขากำลังปั่นจักรยานโบราณคันเก่าขึ้นสนิมปั่นเสียงอี๊ดแอ๊ด เข้ามาช้าๆ ใบหน้าตอบผอมของเขาดูงุนงงและต้องการคำตอบ

“ไตรเหต่ต้องมาหทัมใบหนีหนิ ผู้ใหญ่”(แปล:ทำไมต้องมาทำอะไรกับใบหนังสือนี้ด้วย ผู้ใหญ่)มะลี เปาะเนยิงคำถามแหบแห้งท่าทางประหม่า เงอะงะ ขณะที่นิ้วมือข้างนึงเขี่ยเกาตูดตัวเอง

“เคาแหจงมาหวา ห้ายขึ้นทาเหบียนกะเหสดตะกอน เคาจ้าหด้ายหดูแล่ห้ายหทัวหถึงหนิแหละ เคาหวาหพั่นนั่น” (แปล:เขาแจ้งมาว่า ให้ชาวบ้านขึ้นทะเบียนเกษตรกร เขาจะได้ดูแลให้ทั่วถึงกันเขาว่าอย่างนั้น) ผู้ใหญ่บ้านตอบคำถาม

“ใครหวา” (ใครบอกมา)มะลีเปาะเนสานต่อคำถาม

“การหยางประหสานหม่าแต่หวา”(แปล: การยางประสานมาเมื่อวาน)ผู้ใหญ่บ้านสานต่อคำตอบใบหน้าเรียบเฉย

“แล้วป๋มอีด้ายไหรมังอ่าเติ้ล” (แปล: แล้วผมจะได้อะไรบ้างหรอ)มะลี เปาะเน ยิงสวนคำถามแบบขวยเขิลในคำตอบ

“หด้ายเบี้ย แหละสาวา” (แปล:ได้เงิน)ผู้ใหญ่บ้านยิงสวนคำตอบปลายน้ำเสียงสั่นไหว

“อ้อ พันนั้น เอ่อ ดีแหละเติ้ล” (แปล: อ้อ เป็นอย่างนี้ ก็ดีน่ะ)มะลีเปาะเน ไปถึงบางอ้อ นัยตาเป็นประกาย

“ไหนหทัมพรื่อหนิ” (แปล:แล้วต้องทำยังไงหรอ)มะลี เปาะเน ขอคำแนะนำ

“เหดินไป่เหขียนเช่อตงโต๊ะหนัน ไป่ต่ะ”(แปล:เดินไปเขียนชื่อที่โต๊ะนั้นไป)  ผู้ใหญ่บ้านชี้นิ้วไปยังโต๊ะที่มีทีมงานสาวสวยนั่งเรียงรายให้บริการอยู่

“อ้อ” มะลี เปาะเนถึงบางอ้อครั้งที่สอง

หลังจากการสนทนาทำความเข้าใจจนได้คำตอบและความหวัง นัยตาของมะลีเปาะเนนั้นยิ้มแย้มอยู่ภายในเบ้าตาที่ลึกโหล่แก้มตอบโหนกนูนนั้น เขาจึงเยื้องย่างขายาวๆของเขาไปจับปากกาจากทีมงานที่ผู้ใหญ่บ้านจัดแจงไว้ ลงชื่อรับรอง เขายิ้มแย้ม เหมือนกันกับชาวบ้านหลายคนที่กำลังยิ้มแย้ม เขาปั่นจักรยานอืดอาดคันเก่าออกไปอย่างช้าๆจนหายวับไปสุดมุมถนน  

ในยามสายของวันนึง แดดร้อนไล่ฉโลมให้แซบผิวหน้ามะลี เปาะเนขณะกำลังเยื้องย่างขายาวๆซอกแซกเทน้ำยางพาราสดขาวสะอาดใส่ถัง รอยยิ้มบางเบาผุดพรายเผยอให้เห็นฟังเหลือง ใบจากอยู่ที่มุมปากเช่นเคย เม็ดเหงื่อสะท้อนแสงแดดประกายบนหน้าผากเขา เขากำลังจะมีเงินไปสู่ขอผู้หญิงจากบ้านใกล้เรือนเคียงมาเป็นเมีย ความหวังของเขานั้นงดงาม งดงามพอๆกันกับริมฝีปากบางแดงเรื่อของเจ้าสาวในอนาคตของเขา ห้วงความคิดกำลังจดจ่ออยู่กับจำนวนสินสอดทองหมั้นตามที่ได้ตกลงกันกับพ่อแม่ฝ่ายหญิง และเสียงเพลงจากวิทยุลอยวนเวียนในหัวของเขา “อยากจะขอให้เธอมั่นในคำสัญญา…อีกไม่ช้าเราคงได้พบกัน”(เพลงรักเดียว เอ๋ สันติภาพ)

แต่แล้วเงาทมึนของเมฆฝนขับสายลมยะเยือกพัดผ่านผิวหนังให้เขาชะงัก มีรถกระบะ 4 ประตูคันใหญ่สีดำกำลังขับเข้ามาในสวนยางของเขา เมื่อเสียงรถที่เหยียบย่ำต้นไม้ใบหญ้าและกิ่งไม้ยางแห้งดังเปรี๊ยะประหยุดชะงักลง ผู้ใหญ่บ้านเปิดประตูรถและเดินออกมาสอดส่ายสายตา ตามด้วยชายจกรรย์สี่ห้าคนที่เขาไม่คุ้นหน้าตามหลังผู้ใหญ่บ้าน หน้าตาเคร่งเครียดชี้ไม้ชี้มือโบ้เบ้ ขณะที่บางคนก็ก้มหน้าดูหน้าจอสมาร์ตโฟนสลับกับเงยหน้าขึ้นมองสิ่งแวดล้อมรอบตัว ทุกเหตุการณ์อยู่ในสายตาของ มะลี เปาะเน แล้วอย่างเงียบๆหลังต้นยางที่เพิ่งได้เก็บถ้วยน้ำยางพาราสดเทใส่ถังต้นนึง

“มะลี โหยหม้ายหนิ” (แปล:มะลี อยู่ที่นี่ไหม)ผู้ใหญ่บ้านส่งเสียงดังเรียกหาตัวเขา

“โหยเด้ๆ ปรื่อหล่าวผู้ใหญ่ หม่าหถึงนี้มี่ใครเป็นไหรม้าย”(แปล:อยู่นี่ๆ มีเรื่องอะไรหรอ ผู้ใหญ่) เขาขานรับ และย่างก้าวเท้าเดินเข้าไปหาอย่างเนิบช้าเงอะงะไม่รีบร้อน

 “มาเด้ ยังเหรืองอีแหลงหีด แขบเหดินหม่าต่ะ” (แปล:มานี่ มีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย รีบเดินมาสิ )ผู้ใหญ่บ้านหันไปตามต้นเสียงและออกคำสั่งสีหน้าเคร่งขรึมเมื่อเจอหน้ากัน

“แหล่วใครหนิ  แหล่วเรื่องไหรหนิ เติ้ล”(แล้วนี่ใคร มีเรื่องอะไรหรอครับ)

“หพักหพวกมา คือหว่า หนิ คนหนี้โหลกหบาวนายหัวหิน เหชอหน่องหบาส”(เป็นพรรคพวกกันคือว่า คนนี้ชื่อน้องบาส เป็นลูกชายของนายหัวหิน) ผู้ใหญ่ตอบพร้อมกับชี้มือไปที่ชายหนุ่มรูปร่างใหญ่ผิวคล้ำในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ สวมแว่นดำ ทรงผมมัมวาวย้อนยุคชายหนุ่มโค้งตัวน้อยๆพร้อมส่งยิ้มเป็นการทักทายต่อมะลี เปาะเน

 “เท่แถวหนี่อีโถกทัมเปนโรงโหม่หินของหน่ายหัวหินแล้ว เท่ของมึงนีแหละ เพราะหวาหมึงด้ายล่งเช่อหรับรองห้ายหช้ายเท่ไหปแหล่ว เคาอีเอาหีนแหร่จากเขาบุหลันลูกนี้ไป่หทัมปู๊นหขาย แหล่วคนในบ้านอีด้ายมีฮานหทัม ร่วมหมึงกั๋นโคนนึ่ง หนายหัวหรับหรอง”(แปล:พื้นที่บริเวณนี้จะต้องถูกปรับเปลี่ยนเป็นลานของโรงโม่หิน และคุณได้ลงชื่อยินยอมให้ใช้พื้นที่ตรงนี้ไปแล้ว นายหัวหินจะระเบิดเขาบุหลันลูกนี้เพื่อเอาหินแร่ไปทำปูนขาย และคนในบ้านเราจะได้มีงานทำ รวมทั้งตัวคุณด้วยคนนึง นายหัวหินแกรับรอง) ผู้ใหญ่บ้านพูดอย่างขึงขังจริงจังพร้อมกับชี้มือไปโดยรอบรวมจนถึงเขาบุหลันซึ่งตั้งตระหง่านสูงเด่นสง่าผาเผยข้างสวนยางพารานั้น

ด้วยได้ยินว่าเป็นงานของนายหัวหินผู้มีอิทธิพลขาใหญ่แทบถิ่นนี้ แม้แต่คนที่ไม่สุงสิงประสีประสากับใครอย่างมะลี เปาะเน ก็ยังต้องชะงัก

“อ่ะเอ้า หทึงพรื่อเท่หทัมด้ายอ่า นี่มันเท่ป๊ม หถึงป๊มไหปลงเช่อห้ายตอนไหนแหล่วอ่าผู้ใหญ่”(แปล:อ่ะอ้าว แล้วทำไมถึงทำอย่างงี้ได้ นี่มันที่ของผม) มะลี เปาะเน ยิงคำถามซุ่มเสียงเบาในลำคอราวตกอยู่ในภวังอย่างไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น

“ก่าวันหนันแหลเท่ปราหชุมหมูหบ้าน หนิแลต่ะ จาหอ่านห้ายฟัง”(แปล: ก็ในวันนั้นไง ในที่ประชุมหมู่บ้าน ดูเอกสารนี่สิ ฉันจะอ่านให้ฟังน่ะ)

ผู้ใหญ่กางเอกสารให้ดู พร้อมกับอ่านตัวหนังสือบนเอกสารให้ฟัง พร้อมอธิบายตนสายปลายเหตุทั้งหมด และจบลงที่ นายมะลี เปาะ ได้รับรองให้ใช้พื้นสวนยางพาราเป็นลานสำหรับจัดตั้งโรงโม่หินได้ โดยที่ไม่ต้องมีค่าชดเชยใดๆ

เมฆที่ก่อตัวอึมครึ้มส่งเม็ดฝนโปรยปรายลงมากระทบหลังคาสังกะสีเสียงสนั่น แต่ไม่สามารถหยุดยั้งห้วงความคิดและความไม่เข้าใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เขานั่งเหม่อลอยจ้องมองเมฆฝนอยู่บนชาญบ้านไม้ใต้ถุนสูง ทบทวนซ้ำวนไปมา นี่เขาต้องสูญเสียผืนดินที่เป็นสวนยางพาราจากบรรพบุรุษโดยที่ไม่มีแม้แต่ค่าชดเชยแม้สักบาท และแน่นอนว่าคู่ชีวิตที่เขาหมายปองตบปากรับคำไปแล้วนั้นถึงกาลอวสานในวันนี้ ความฝันของเขาพังครืนราวกับเม็ดฝนที่หยดลงมาจากฟากฟ้าซ้ำกระหน่ำสังกะสีแตกฟองกระจายตกลงพื้นดิน 

“โลกนี้มันของใครกัน ผืนดินนี้ของใครที” เขาพึมพำแววตาอ้างว้างหม่นเศร้า และอาจนับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฤทธิ์ของกัญชาทำให้เขาน้ำตาตกดังเปาะ (ตรงนี้ น้ำตาค่อยหยาดหยดลงจากแก้มตอบๆค่อยๆไหลย้อย หยดแรกตกถึงพื้น ดังเปาะ อย่างสโลโมชั่นช้าๆ )

หลังจากนั้นเขาได้รวบรวมสติพยายามหาช่องทางที่จะหาคำตอบต่อความสับสนความไม่เข้าใจนี้ ด้วยการไปหาเพื่อนบ้านชาวมะโหรงที่ประสบปัญหาเดียวกันพูดคุยหารือแบ่งเบาความเจ็บปวดร่วมกัน เขาพบว่าทุกคนต่างตอบเป็นเสียงเดียวกัน คือกลัวเกินกว่าจะทำอะไรๆได้แม้แต่จะเปล่งเสียงถึงความไม่ชอบธรรมนี้ในที่สาธารณะ ทุกคนต่างจินตนาการถึงภาพอาวุธปืนที่เหน็บเอวของลูกชายนายหัวหิน ในขณะที่กำหนดการเปลี่ยนสภาพสวนยางพาราให้เป็นลานโรงโม่หินใกล้เข้ามาถึง

วันเวลาผ่านไป ดอกฝนกำลังโปรยกระทบกับสังกะสีที่บ้านของเขา มะลี เปาะเน ไร้ซึ่งรอยยิ้มและเสียงเพลงจากวิทยุที่คลอเคล้ามาสักพักแล้ว จักรยานคันเก่าจอดเทียบท่าแคร่ไม้อย่างเดิมมาหลายวัน อาจเพิ่มเติมตรงที่เปียกชุ่มน้ำฝนและไม่ได้ถูกจัดเก็บไว้ใต้ถุนเหมือนอย่างเคย แต่ขณะนี้ดูเหมือนเขากำลังเร่งรีบลงมาจากบ้านก้าวขายาวๆโย่งเย่งมายังจักรยานนั่งคร่อมอานและปั่นออกไปท่ามกลางสายฝนอย่างรวดเร็วไม่เคยมาก่อน เขาปั่นมาถึงคอกวัวแห่งหนึ่งริมถนน เดินเข้าในคอกและจับเชือกจูงจมูกแม่วัวตัวหนึ่งออกมาแล้วเดินโย่งเย่งอย่างรีบร้อนออกไป ทิ้งจักรยานคันเก่าไว้ตรงนั้นนอนคว่ำริมถนนแช่น้ำฝน และเดินโย่งเย่งอย่างรวดเร็วหายลับไปตรงสุดโค้งถนน

ภาพตัดไปชั่วแว๊ป

…………………………………………………………………………………………

(ขอให้ผู้อ่านนึกภาพนักปรัชญาสติเฟื่องทรงผมรุงรังคนนึงกำลังพูดให้ฟังอย่างจริงจัง)

“นักจิตวิทยาร่วมสมัยเชื่อว่า ความสามารถในการจินตนาการถึงความจริงอื่นๆ เกิดขึ้นตั้งแต่อายุแค่สองขวบ การทดลองแสดงให้เห็นว่าในทางสมองทารกมองเห็นถึงความเป็นไปได้อื่นๆ จึงสามารถใช้เครื่องมือใหม่ๆได้ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการลองผิดลองถูกเหมือนอย่างที่ลิงชิมแปนซีทำ”(หน้า 84, Why Grow Up ?, Susan Neiman : เขียน, โตมร ศุขปรีชา : แปล)

……………………………………………………………………………………………

ภาพตัดกลับมา

มะลี เปาะเนในชุดวันเกิดเปลือยร่างอันผอนยาวโย่งล่อนจ่อนเปียกชุ่ม อันที่จริงเขาไม่ได้นุ่งห่มอะไรเลยตั้งแต่รีบออกจากบ้านมาถึงตรงนี้ เขาเป็นดั่งทารกน้อยอายุ 2 ขวบที่สมองเริ่มคิดเชื่อมโยงตั้งคำถามกับโลกใบใหม่อย่างสงสัยเป็นครั้งแรกแม้ว่าทารกน้อยจะไม่ได้เกิดมาเดินย้ำไปบนกลีบดอกบัวทั้ง 7 ในทันทีแต่เขาก็ตรัสรู้เป็นดอกบัวบานในคูน้ำหลังครัวไปแล้วในขณะที่รถไถ่กราดและรถเครื่องจักรหนักหลายคันที่ถูกลำเลียงนำส่งมาถึงสวนยางแห่งนั้น ทุกคนที่กำลังเตรียมการงานปรับพื้นที่ต่างต้องตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า นายหัวหินผู้มีหนวดดกสีขาวแววตาค้างเติ้งงุนงงกับภาพที่เห็นอยู่ไกลๆและเร่งก้าวเท้าเข้าไปให้ใกล้จุดหมายท่ามกลางดอกฝนโปรยปรายที่เป็นดั่งม่านบดบังสายตาให้กระจ่างชัด บรรดาคนงานและลูกหาบนายหัวทยอยกันมามุงดู บางคนในนั้นรีบยกกล้องมือถือถ่ายคลิปที่ตื่นตาตื่นใจนี้ราวกับไม่อยากให้ภาพหายากหลุดลอยหายไปจากความทรงจำ

 “เอฮะ หนักแล้วคนหนี่ บ้าแล้วสา คนไหรถิเห..ดวัว” (แปล : อาการหนักแล้วไอ้คนนี้ คงบ้าไปแล้ว คนอะไรเอากับวัว) นายหัวหินพึมพำปลายน้ำเสียงปนขำ

“เฮ้ย มาแลเด้ มาแล่ไหรเด้ แขบๆต่ะเหวอ 555”(แปล : เฮ้ยทุกคน มาดูอะไรนี่ รีบๆมาเลยเว้ย)ลูกน้องนายหัวหินคนนึงกำลังรวบรวมสติและเริ่มขำก๊ากกับสิ่งที่เห็น

“โคนไหรถิ มันเอาหกับงัวหนิ” เสียงอึงคนึงโหวกเหวกของผู้คนเริ่มกลบเสียงฝน 

เรื่องราวกำลังถูกส่งต่อ รูปถ่ายและคลิปวิดีโอถูกอัปโหลดลงในแพลตฟอร์มโซเชี่ยลมีเดีย บางคนทำท่าเหมือนกับเป็นพิธีกรรายงานข่าวไลฟ์สดผ่านโลกออนไลน์ ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่รับรู้ต่างหลั่งไหลแหกม่านดอกฝนพร้อมเสื้อกันฝนขณะที่บางคนพกเพียงร่มขับมอเตอร์ไซค์เข้ามา ซึ่งเป็นชาวบ้านใกล้เรือนเคียงกับมะลี เปาะเน ต่างมามุงดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตื่นตะลึงสนใจ 

เขามะลี เปาะเน ยิ้มแย้มรับแจ่มใสให้กับทุกสายตาที่จับจ้องมายังกิจกรรมสุดหรรษากลางสวนยางพาราเขียวชอุ่มของเขาตอนนี้ สายฝนโปรยปรายเคล้าบรรยากาศให้ตัวเขาและแม่วัวเปียกโชค เขาหัวเราะ ครางเสียงสั่นกระเซ้า สลับไปมาและในที่สุดเขายิงคำถามออกไปยังฝูงชนที่หนาแน่นแล้วในตอนนี้ที่ต่างพากันมุงดูกิจกรรมพิศดารของเขาด้วยความประหลาดใจ ขบขัน สับสน ตกใจ แม้กระทั้งห่วงใยเขา หลากหลายอารมณ์ความคิดความรู้สึก 

โดยเฉพาะผู้ใหญ่บ้านที่กำลังอำอึ้งกับคำเชื้อเชิญของเขา “มึงทำไหรพันนั้น มะลี มึงมันบ้าแล้วสา หนักแล้วสาพันนี้ แจ้งตำราจพาส่งโรงหบาลบ้าเดี๋ยว มึงหยุดถิ หลบไปเรินนุฮ”(แปล:คุณทำอะไรของเนี่ย คุณมันเสียสติไปแล้วหรือเปล่า อาการคงหนักหนาสาหัสแล้วแบบนี้ จะแจ้งตำรวจจับส่งโรงพยาบาลบ้าน่ะ คุณเดี๋ยวนี้แล้วกลับบ้านไปซ่ะ)

“แล้วบ้าเอาพรื่อหนิ ทีมึงเอาโหม๋เปรตนั้นมาระเบิดเขาเอาหินไปขาย หลอกเอาสวนยางกู มึงได้เบี้ย โหม่เปรตนั้นก่าได้เบี้ย แล้วก่าหลอกกูหลอกลูกบ้านตัวเอง มึงก่าทำได้ แล้วมึงมันหม้ายบ้าไปหวากูเหอ มึงทำได้พรื่อหนิ ไอ้ผู้ใหญ่บ้า แหล่วไหนโต๊ะอิหม่ามไหปไหนหายหัวไหปไหนหม้ายมา กูก่าอยากโหรวหวาเรื่องของหมึงกับเรื่องของกู๋หทำ ของใครมันบ้าหวากัน”(แปล:แล้วมันเรื่องบ้าอะไรกัน ทีคุณเอาพวกเปรตนั้นมาจะระเบิดหินไปขาย หลอกเอาสวนยางฉันไป พวกคนเปรตนั้นได้เงิน คุณก็ได้เงิน แล้วก็หลอกลูกบ้านตัวเอง คุณก็ทำได้ แล้วคุณมันไม่บ้าไปกว่าฉันหรอ ไอ้ผู้ใหญ่บ้ามึงทำได้ยังไง แล้วไหนโต๊ะอิหม่ามไปไหนไม่มาด้วย ฉันก็อยากรู้ว่าเรื่องของมึงกับกูของใครมันบ้ากว่ากัน)มะลี เปาะเนโต้ตอบอย่างเผ็ดร้อน และก็อาจจะนับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาหยาบคายด่าทอเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

“โหม่สูแลหนิ เห็นหม้ายนี่ไหร มาลองแลต่ะหนิ ฮ้ายหรอยมาต่ะ หนิแลกันต่ะ นี่คือไหรหนิ มีผิดมีถูกหม้ายตอบมาทีต่ะเหวอ ไอ้โหม่เปรต ตอบมาต่ะ ทำได้หม้ายพันนี้หา 55555 ใครก่าหด้ายไปต้ามโต๊ะอิหม่ามมาหตอบกูกันถิ”

(แปล : เห็นไหมนี่อะไร มาลองดูกันได้น่ะ อย่างฟินมาก มาสิ นี่ดูไว้ นี่คือการทำอะไร ทำแบบนี้มันผิดมันถูกไหม ตอบหน่อยสิ พวกคุณเปรต ตอบมาสิ ทำอย่างงี้ได้ไหม 55555 ใครก็ได้ช่วยไปตามโต๊ะอิหม่ามมาตอบฉันหน่อยสิ ) 

เสียงของเขาตะเบ่งก้องกังวาลซ้ำซ้ำไปมาตัดกับเสียงฝน ในชีวิตเขาเป็นคนพูดเบาเนิบช้ามาตลอดและนี่อาจเป็นครั้งแรกในชีวิตที่นำ้เสียงของเขาก้องกังวาลโวกเหวกโสดประสาทผู้ได้ยิน แต่ก็ไร้วี่แววของโต๊ะอิหม่าม (โต๊ะอิหม่ามคือผู้นำทางศาสนาของบ้านมะโหรงซึ่งเป็นผู้มีบทบาทหน้าที่ในการตักเตือนตัดสินผิดถูกของลูกบ้านจากศีลธรรมทางศาสนา)

ถ้าหากปรัชญาคือการตั้งคำถาม แน่นอนว่ามะลีเปาะเนกำลังตั้งคำถามที่ต้องการคำตอบ ในแง่นี้ มะลี เปาะเนจึงเป็นนักปรัชญาผู้ปราดเปรี่ยงในการบังคับให้สังคมต้องตอบคำถามสุดหรรษาของเขา 

ภาพตัดไป

……………………………………………………………………………………………

(ขอให้ผู้อ่านนึกภาพนักวิชาการสวมแว่นตาหนามาดขรึมๆท่านหนึ่งกำลังพูดให้ฟังอย่างเป็นทางการ)

“เมื่อมองจากมุมมองทางปรัชญา เราจำเป็นต้องมีอิสรภาพจากศาสนา จึงจะสามารถเริ่มบทสนทนาถกเถียงทางศีลธรรมจากหลากหลายมุมมองมากขึ้น และเข้าใจได้ว่า ในความเป็นไปที่แตกต่างหลากหลายในชีวิตปัจเจกบุคคลและสังคมนั้น ย่อมไม่อาจตัดสินถูกผิดบนเหตุผลแบบศาสนาหรือคุณค่าทางศีลธรรมชุดใดชุดหนึ่งเพียงชุดเดียว ในเชิงศีลธรรมจึงไม่มีใครสูงส่งกว่าใคร ไม่ใช่ชนชั้นปกครองผู้ทรงธรรมหรือนักบวชคือสูงส่งกว่าโสเภณีหรือคนธรรมดาทั่วไป”

(สุรพศ ทวีศักดิ์ : ปรัชญากับปัญหาศีลธรรม,บทความในประชาไท)

.……………………………………………………………………………………………

ภาพตัดกลับมา

เรื่องราวของเขาแพร่กระจายไปในโลกออนไลน์ทุกสำนักข่าวส่งต่อคลิปของเขาว่อนโซเชียลมีเดีย ชาวเน็ตตื่นตาตื่นใจพากันแชร์ไปต่อเรื่อยๆไม่สิ้นสุด มีเสียงคอมเม้นท์วิพากษ์วิจารณ์ ก้นด่าประนาม จนถึงขั้นสาปแช่งเขาว่าเป็นพวกเศษเดนผิดมนุษย์ หนุษย์ลุงมนุษย์ป้าข้างบ้านทั้งหลายเริ่มเคร่งครัดต่อหลักการทางศาสนาขึ้นมาอย่างอัตโนมัติและตัดสินเขาว่าผิดบาปต่อพระผู้เป็นเจ้าแล้ว บางกลุ่มคนลงความเห็นว่าเขาเป็นคนป่วยคนนึงที่ต้องได้รับการรักษาดูแล และดูเหมือนว่าคำถามอย่างนักปรัชญาของเขากำลังได้รับคำตอบมากมายท่วมท้นจากทั่วสารทิศ ไม่ว่าจะผิดหรือถูกต่อศีลธรรมจรรยาอันงดงามของสังคมนี้อย่างไร

รอยยิ้มของเขาผุดพรายบนใบหน้าหลังจากห่างหายไปหลายวัน แววตาของเขาสดใสแวววาว ขณะที่ร่างกายสูงโย่งผอมแห้งของเขากำลังกระเด้าก้นแม่วัวอย่างเมามันส์ แม้แม่วัวจะมีเสียงร้องทัดทานออกมาบ้างแต่ก็ยังคงก้มหน้ากินหญ้าสลับกับเงยหน้ามองฝูงชนต่อไปอย่างไม่ร้อนใจท่ามกลางสายฝน

เขาถูกรวบตัวโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครองในวันนั้น และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลที่คนแถวนั้นเรียกว่าหลังคาแดง เป็นโรงพยาบาลสำหรับคนป่วยทางจิตและประสาททางสมอง หรือบ้านั่นแหละ

แต่เรื่องราวทั้งหมดยังไม่จบ เมื่อเรื่องราวกลายเป็นกระแสมาแรงในวงกว้าง สังคมต่างตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้น มีนักสืบ นักข่าว ทั้งมืออาชีพมือสมัครเล่น นักสืบออนไลน์ นักวิชาการ นักปราชญ์  วัยรุ่นสร้างตัว เน็ตไอดอล อินฟลูเอนเซอร์ ลงพื้นที่บ้านมะโหรงเพื่อสำรวจติดตามสืบสวนโหนกระแสนี้ในหลากหลายมุมมองแม้บางมุมอาจดูไม่เกี่ยวข้องกันก็ตามแต่ เป็นการร่วมกันสังฆกรรมแกะรอยหาคำตอบลงความเห็นสืบสาวราวเรื่องจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ จนข้อมูลเบาะแสของเรื่องราวทั้งหมดมันเชื่อมโยงถึงกันลามขยายสู่ข่าวโครงการเหมืองแร่ของนายหัวหิน สังคมต่างพากันกดดันตั้งคำถามและขับเคลื่อนด้วยการด่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกมารับผิดชอบตั้งคณะกรรมการสอบสวน หลังจากนั้นไม่นานโครงการนี้จึงถูกสั่งระงับไป ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องถูกสอบสวน และบางคนถูกดำเนินคดี หนึ่งในนั้น คือผู้ใหญ่บ้านแห่งบ้านมะโหรง

หากว่ามะลี เปาะเน เป็นนักปรัชญา แน่นอนเขาได้ตั้งคำถามจนได้คำตอบที่เขาต้องการแล้ว  แม้ว่าตอนนี้เขาจะต้องใช้ชีวิตในโรงพยาบาลบ้า แต่ทุกคนที่เดือดร้อนจากโครงการนั้น ต่างได้รับความยุติธรรมคือที่ดินทำกินจากบรรพบุรุษกลับคืนมาอย่างถ้วนหน้า 

แสงแดดยามเย็นทอประกายสะท้อนกับแนวรั่วเหล็ก รอยยยิ้มของเขาผุดปรายบนใบหน้าตาลึกแก้มตอบปากเผยอเผยให้เห็นไรฟันเหลือง เขาในชุดผู้ป่วยกำลังเอนกายสบายอารมณ์อยู่บนม้านั่ง มีเสียงเพลงคลอเคล้าออกมาจากตัวอาคารข้างหลังเขา แววตาสดใสเป็นประกายไม่ว่าคำตอบของสิ่งที่เขากระทำกับแม่วัวนั้นจะเป็นอย่างไร 

“ใช่แล้วคนบ้า ใครก็ว่าบ้า บ้าก็บ้าสิวะ ถึงจะบ้าแต่ว่าไม่โง่งงง”เสียงเพลงล่องลอยละหลิวตามแรงลม (เพลงบ้า คณะคาราบาว)


Lanner เปิดพื้นที่ให้ทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการขยายพื้นที่การสื่อสารสังคมอย่างมีส่วนร่วม เพื่อร่วมกันส่งเสียงของพวกเราให้ดังขึ้น! เปิดรับต้นฉบับงานสื่อสารทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น บทความ ความคิดเห็น บทความวิชาการ สารคดีเชิงข่าว ความเรียง บทบันทึก เรื่องสั้น บทกวี Video Photo-essay และงานสื่อสารอื่นๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวและประเด็นทางสังคมในพื้นที่ภาคเหนือและประเด็นที่เกี่ยวข้อง