Home Blog

“ประชาธิปไตยเริ่มต้นที่บ้าน” เปิดมุมมองเลือกตั้งท้องถิ่นผ่านเลนส์พิจิตร

การเลือกตั้งนายก อบจ. ปี 2568 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันนี้ ถือเป็นอีกสถานการณ์สำคัญที่น่าจับตามอง เนื่องจากการเลือกตั้งท้องถิ่นในครั้งนี้สามารถสะท้อนมุมมองของสังคมได้ในหลายด้านและยังทำให้เห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของการเมืองท้องถิ่นในอนาคตได้

‘Lanner’ สัมภาษณ์ ดร.วีระ หวังสัจจะโชค อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ถึงความสำคัญของการเลือกตั้งท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดพิจิตร โดยเขาได้อธิบายว่า การเลือกตั้งท้องถิ่นมีความสำคัญต่อประชาธิปไตย เพราะเป็นรากฐานของการใช้อำนาจของประชาชน ซึ่งสามารถเลือกผู้บริหารและตัวแทนนิติบัญญัติของท้องถิ่นได้โดยตรง ทำให้การตัดสินใจสะท้อนความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างชัดเจน แตกต่างจากการเลือกตั้งระดับชาติที่มีลักษณะคล้าย “กล่องสุ่ม” เพราะประชาชนเลือกเพียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และไม่สามารถทราบล่วงหน้าได้ว่าจะได้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี 

ดร.วีระ หวังสัจจะโชค อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร 

วีระอธิบายอีกว่า การวางรากฐานประเทศและพฤติกรรมของประชาชนในการเลือกตั้งสามารถสะท้อนจากการเลือกตั้งท้องถิ่นได้ชัดเจนกว่าระดับชาติ เนื่องจากการเลือกตั้งระดับชาติในบางครั้งอาจได้รับอิทธิพลจากกระแสหรือโฆษณาโจมตีฝ่ายตรงข้ามในช่วงสุดท้าย ทำให้เกิด “สวิงโหวต” ได้ แต่การเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นการเลือกผู้นำที่ประชาชนในพื้นที่สามารถตัดสินใจได้โดยตรง ซึ่งประชาชนจะมุ่งเน้นไปยังผู้ที่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับพื้นที่นั้นๆ เช่น การนำงบประมาณมาพัฒนา สร้างสิ่งอำนวยความสะดวก หรือแก้ไขปัญหาในพื้นที่ให้กับประชาชนได้

ทั้งนี้ วีระยังมองว่า สื่อกระแสหลัก เช่น ช่อง 3, 5, 7, และ 9 มักให้ความสนใจกับการเลือกตั้งระดับชาติมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นการเลือกตั้งท้องถิ่นในครั้งนี้ ก็ถือว่ามีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีพรรคการเมืองระดับชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น พรรคเพื่อไทยที่ใช้กระแสของทักษิณ และพรรคก้าวไกลที่เน้นอุดมการณ์การเปลี่ยนแปลง สิ่งนี้ทำให้การเลือกตั้งระดับท้องถิ่นมีความสำคัญยิ่งขึ้น เพราะนอกจากจะมีผู้สมัครอิสระแล้ว ยังมีกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองระดับชาติด้วย ซึ่งส่งผลให้การเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้เข้มข้นและมีความสำคัญอย่างมาก

หากต้องการเข้าใจพิจิตร ควรเริ่มจากการเข้าใจภูมิภาคเหนือตอนล่าง

การเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ในจังหวัดพิจิตรครั้งนี้ มีแนวโน้มที่น่าสนใจในเชิงการแข่งขัน แต่ยังคงอยู่ในกรอบของการเมืองแบบเดิม  วีระกล่าวว่า หากต้องการเข้าใจพิจิตร ควรเริ่มจากการเข้าใจภูมิภาคเหนือตอนล่างที่เป็นเพื่อนบ้าน ได้แก่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และกำแพงเพชร พื้นที่เหล่านี้มีลักษณะความผูกพันกับ “บ้านใหญ่” แต่ไม่ได้เป็นการผูกขาดที่ชัดเจน ซึ่งส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ที่บ้านใหญ่หรือกลุ่มการเมืองในพื้นที่เดียวกันสามารถแบ่งออกมาแข่งขันกันเองได้

ตัวอย่างสถานการณ์การเลือกตั้งนายก อบจ. ในพิจิตร ที่สมัยก่อนหน้านี้มีผู้ชนะการเลือกตั้งคือ พ.ต.อ. กฤษฎา ภัทรประสิทธิ์ อดีตนายก อบจ. พิจิตร ตัวแทนจากบ้านใหญ่ตระกูลภัทรประสิทธิ์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากพี่ชายอย่าง นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิจิตร 4 สมัย และยังเคยมีบทบาทร่วมกับพรรคภูมิใจไทย แต่แล้วทั้งคู่ก็มีปัญหาภายในจน พ.ต.อ. กฤษฎา ได้แยกตัวออกไปร่วมกับพรรคอื่นในการเลือกตั้งนายก อบจ. ครั้งนี้แทน และนายประดิษฐ์เองก็ได้หันมาสนับสนุนลูกชายของน้องสาวอย่าง นายกฤษฏ์ เพ็ญสุภา อดีตผู้ช่วยเลขารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพานิชย์ ในการลงสมัครเลือกตั้งนายก อบจ. ครั้งนี้ การแข่งขันนี้แสดงให้เห็นถึงการพยายามครอบครองพื้นที่การเมืองระดับจังหวัดอย่างชัดเจน 

พ.ต.อ. กฤษฎา ภัทรประสิทธิ์ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร (ภาพจาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร
ประสิทธิ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีต รมช.คมนาคม-รมช.คลัง (ภาพจาก ThaiCycling Association)
นายกฤษฏ์ เพ็ญสุภา อดีตผู้ช่วยเลขารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพานิชย์ (ภาพจาก  กฤษฏ์ เพ็ญสุภา – Krit Pensupha)

ทางเลือกที่สาม โอกาสสู่การเมืองท้องถิ่นยุคใหม่

ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง การเลือกตั้งครั้งนี้ยังคงอยู่ภายใต้การเมืองแบบดั้งเดิมที่พึ่งพาการทำงานระดับพื้นที่และการคุมคะแนนเสียงในท้องถิ่น และด้วยสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างผู้เล่นหลักทั้งสองฝ่ายนี้ เป็นที่น่าเสียดายที่ไม่มี “ทางเลือกที่สาม” ให้ประชาชนได้พิจารณาเพิ่มเติม เพราะอาจช่วยเพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้เลือกสิ่งที่แตกต่างจากตัวเลือกเดิมๆ ในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง พอตอนนี้เหลือแค่สองทางเลือก ก็ทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นเดียวกับ จังหวัดกำแพงเพชร ที่มีอัตราการไปใช้สิทธิ์เพียงประมาณ 38-40%  วีระยกตัวอย่างว่า หากเขาเป็นคนพิจิตรที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง แล้วเห็นแคนดิเดตแค่ 2 คนแบบนี้ก็คงไม่กลับแล้วเพราะว่าไม่ว่าได้ใครมาก็คงอีหรอบเดิม

“ความแตกต่างของการเมืองท้องถิ่นในโซนภาคเหนือตอนล่างจะต่างจากเหนือบนตรงที่ เหนือบนเช่น เชียงรายหรือเชียงใหม่ที่มีตระกูลหลักผูกขาด แต่ที่เหนือล่าง กลุ่มบ้านใหญ่มีโอกาสแข่งขันกันเอง และบ้านรองที่พร้อมจะแข่งขันกันด้วย หากพื้นที่ไหนมีบ้านใหญ่บ้านเดียว ก็อาจแตกออกเป็นสองสายเหมือนกรณีพิจิตร ซึ่งทำให้เกิดการแข่งขันในระดับพื้นที่ว่าจะได้ใครเป็นตัวแทน แต่ว่าความเข้มข้นในเชิงอุดมการณ์ก็ยังมีไม่มาก หรือเคยมีแล้วถดถอยลงไป ซึ่งสะท้อนผ่านการไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งท้องถิ่นใน 29 จังหวัดที่จัดการเลือกตั้งไปแล้ว พบว่าแทบไม่มีจังหวัดไหนที่มีผู้มาใช้สิทธิ์เกิน 50% เลย” 

ทั้งนี้วีระยังได้กล่าวถึงประเด็นการเลือกตั้งในระดับต่างๆ โดยเปรียบเทียบพฤติกรรมของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ที่ระบุว่า การเลือกตั้งระดับชาติแม้จะมีผู้มาใช้สิทธิถึง 75% แต่ยังมีผู้ไม่ออกมาใช้สิทธิถึง 25% ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นเพียงการไม่กลับมาเลือกตั้ง แต่ยังรวมถึงคนที่ไม่สนใจออกมาใช้สิทธิด้วย ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากการไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้าเท่านั้น แต่สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างในลักษณะการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ที่มักจะมุ่งเน้นการเลือกตัวบุคคลมากกว่าอุดมการณ์เพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในพื้นที่

การเลือกตั้งระดับชาติ มีเขตเลือกตั้งที่ขนาดเล็กกว่า จากการแบ่งจังหวัดออกเป็นหลายเขต แต่ในการเลือกตั้งท้องถิ่น อย่างการเลือกตั้งนายก อบจ. เขตเลือกตั้งมีขนาดใหญ่มากกว่า ซึ่งทำให้ต้องอาศัยการสร้างพันธมิตรระหว่างกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่ จนเกิดเป็นพันธมิตรชั่วคราวขึ้น การแข่งขันในระดับนี้จึงมีความได้เปรียบสำหรับผู้ที่คร่ำหวอดในวงการการเมืองท้องถิ่นมากกว่าผู้สมัครที่เน้นอุดมการณ์ทางการเมืองเป็นหลัก

“ในการเลือกตั้งท้องถิ่น มีความน่าสนใจตรงที่เวลาเราเลือกผู้นำในท้องถิ่น คนที่ได้มาอาจจะพัฒนาท้องถิ่นหรือสร้างประโยชน์ในพื้นที่ แต่ในเมืองรองที่ไม่มีโรงงาน ไม่มีอุตสาหกรรม หรือโอกาสงานเอกชน คนในพื้นที่เหล่านี้มักจะย้ายไปทำงานในเมืองใหญ่ เช่น ชลบุรี ระยอง หรือกรุงเทพฯ และปริมณฑล พวกเขามองว่า ต่อให้ทะเบียนบ้านอยู่ในต่างจังหวัด การกลับมาเลือกตั้งก็ไม่มีผลกระทบอะไรต่อตัวเขา เพราะสุดท้ายก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ และนักการเมืองที่เขาเลือกก็ยังคงทำงานในพื้นที่ที่เขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว นี่จึงเป็นสาเหตุให้หลายคนเลือกที่จะไม่กลับมาเลือกตั้งท้องถิ่น แต่กลับมาเฉพาะระดับชาติแทน เพราะระดับชาติยังมีผลต่อพวกเขามากกว่า” 

การตัดสินใจเลือกตั้งของคนในแต่ละพื้นที่มักมีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องออกไปทำงานหรือเรียนในพื้นที่อื่น เมื่อเทียบกับคนที่ยังคงอาศัยอยู่ในท้องถิ่น เช่น ผู้สูงอายุ และคนทำงานในภาคเกษตรกรรม กลุ่มคนเหล่านี้มักมีพฤติกรรมการเลือกตั้งที่แตกต่างจากกลุ่มชนชั้นกลางที่ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนหรืองานรับจ้างทั่วไป ทำให้นักการเมืองคนไหนก็ตามที่สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้สูงอายุ และคนทำงานในภาคเกษตรกรรมได้จะมีความได้เปรียบในการเลือกตั้งท้องถิ่นสูง

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการที่ใน 29 จังหวัด หาเสียงโดยใช้นโยบายที่เจาะกลุ่มผู้สูงอายุ เช่น การให้บริการโรงพยาบาลท้องถิ่นหรือสถานพยาบาลที่รองรับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง อย่างการฟอกไตในจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นต้น นโยบายเหล่านี้ดึงดูดผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ได้ย้ายถิ่นฐานไปไหน ต่างจากลูกหลานที่ย้ายออกไปทำงานในเมืองใหญ่ นักการเมืองจึงมุ่งเน้นนโยบายที่ตอบสนองความต้องการของผู้ที่ยังอาศัยอยู่ในพื้นที่ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการเลือกตั้ง

ถึงแม้ว่าหลังการเลือกตั้ง มักมีคำถามจากบางกลุ่มว่าเหตุใดผู้คนจึงไม่เลือกตัวเลือกที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างหรือการพัฒนาใหญ่ๆ คำตอบก็คือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางส่วนไม่มองเห็นประโยชน์ที่จะได้รับจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวในขณะนั้น ทำให้นโยบายที่สอดคล้องกับชีวิตประจำวันของกลุ่มคนในพื้นที่ยังคงเป็นสิ่งที่มีน้ำหนักมากกว่าในการตัดสินใจเลือกตั้ง

“กลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นสามารถจับทางได้ดีในการเจาะกลุ่มผู้สูงอายุและคนทำงานในภาคเกษตรกรรม ซึ่งกลุ่มนี้เป็นฐานหลักของการเลือกตั้งท้องถิ่น คิดเป็นสัดส่วนผู้ใช้สิทธิประมาณ 40% ในแต่ละครั้ง การเลือกตั้งของกลุ่มคนเหล่านี้แตกต่างจากชนชั้นกลางในเมืองที่มักตัดสินใจเลือกตั้งในฐานะปัจเจกบุคคล แต่ในชนบทคนในเครือข่ายจะเลือกตั้งโดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ และการช่วยเหลือในเครือข่ายเป็นหลัก นักการเมืองท้องถิ่นที่มักมุ่งดูแล และสร้างเครือข่ายเหล่านี้ให้แน่นแฟ้น โดยใช้วิธีการที่เรียกว่า จักรกลการเมือง ในการดึงคะแนนเสียง วิธีการนี้ทำให้สามารถคาดการณ์จำนวนคะแนนเสียงจากแต่ละหมู่บ้านและตำบลได้อย่างแม่นยำ รวมถึงวางแผนเจาะกลุ่มคะแนนเสียงจากพื้นที่เป้าหมายได้อย่างเป็นระบบ แม้ว่าลักษณะการเมืองเช่นนี้จะสะท้อนถึงความเป็นการเมืองแบบดั้งเดิมแต่มันไม่ใช่เก่าแบบเดิม” 

อย่างไรก็ตาม การกล่าวโทษว่าการเลือกตั้งในท้องถิ่น ใช้เงินเป็นปัจจัยหลักในการชนะนั้น วีระชี้ว่าถือเป็นการมองปัญหาที่ผิวเผิน เพราะปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ วิธีมองประโยชน์ที่จะได้รับหลังการเลือกตั้งของประชาชน เพราะหากประชาชนมองว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เช่น น้ำประปาสะอาด เป็นสิ่งสำคัญ และมีค่ามากกว่าจำนวนเงินที่ได้รับ ก็จะเลือกตามความคาดหวังนั้น แต่หากสิ่งเหล่านี้มีมูลค่าในสายตาพวกเขาน้อยกว่าเงิน 500, 800 หรือ 1,000 บาท ก็ยากที่จะโทษประชาชนได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงที่ผู้สมัครได้เสนอมานั้น ไม่สามารถตอบโจทย์หรือดึงดูดพวกเขาได้มากพอ

“การมองว่าคนในชนบทหรือผู้สูงอายุเลือกตั้งด้วยเงินนั้นไม่ถูกต้องเสียทีเดียว หรือหากเป็นจริง อย่างน้อยก็ยังมีเหตุผลที่ชัดเจนกว่าการเลือกตั้งในกรุงเทพฯ ที่บางครั้งถูกชี้นำด้วยอารมณ์ และการปลุกกระแส ตัวอย่างเช่น ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. มีกรณีที่การเผาป้ายหาเสียงในช่วงอาทิตย์สุดท้ายส่งผลให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเปลี่ยนใจจากพรรคหนึ่งไปอีกพรรคหนึ่ง โดยไม่มีเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับนโยบายหรือประโยชน์ที่แท้จริง ซึ่งสิ่งนี้อาจแย่กว่าการเลือกตั้งที่มีการใช้เงินด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ประโยชน์ที่จะได้รับหลังการเลือกตั้งเลย”

ปัญหาสุขภาพจิตในที่ทำงาน: อันตรายที่ถูกมองข้าม

รายงานจาก สถาบันแรงงานและเศรษฐกิจที่เป็นธรรม (JUST ECONOMY AND LABOOR INSTITUTE) เรื่องราวคดีความของ ดร.เค็ง กับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงอันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมในสถานที่ทำงานซึ่งเป็นผลมาจากการเจ็บป่วยทางจิต ทำให้เห็นถึงอีกแง่มุมของปัญหาสุขภาพจิตในสังคมไทย

เมื่อเดือนธันวาคมปี 2023 รายการข่าวชื่อดังหลายรายการในประเทศไทยได้ออกอากาศการสัมภาษณ์ “ดร.เค็ง” เกี่ยวกับคดีความของเธอกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ซึ่งเมื่อเผยแพร่ออกไปก็ได้รับความสนใจอย่างมากในโลกออนไลน์ ในการสัมภาษณ์ครั้งนั้น ดร.เค็ง ได้กล่าวถึงแหล่งช่วยเหลือสนับสนุนของเธอในช่วงระยะเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหานานัปการ หนึ่งในนั้นก็คือสถาบันแรงงานและเศรษฐกิจที่เป็นธรรม

คดีความของ ดร.เค็ง นั้นถือเป็นเรื่องราวโดยตรงเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งในประเทศไทยอาจกล่าวได้ว่าเพิ่งจะเป็นที่ยอมรับ และสามารถพูดคุยกันอย่างแพร่หลายเปิดเผยในระยะเวลาไม่นาน ทั้งยังเป็นกรณีตัวอย่างของการถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมในสถานที่ทำงานซึ่งเป็นผลมาจากการเจ็บป่วยทางจิต ดร.เค็ง เล่าว่าปัญหาของเธอนั้นเริ่มต้นมาจากการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมโดยนายจ้าง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสุขภาพจิตและวิถีชีวิตของเธอมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี

ในปี 2008 ดร.เค็ง-ประภากร วินัยสถาพร ได้รับทุนการศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกที่ประเทศอังกฤษจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในระหว่างที่เธอศึกษาอยู่นั้น ได้เริ่มมีอาการของปัญหาสุขภาพจิตจนต้องเข้าพบกับนักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัย อาการของเธอแย่ลงเรื่อยๆ จนกระทั่งต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจิตเวชเป็นเวลากว่า 28 วัน ในปี 2012

เมื่อกลับมาที่มหาวิทยาลัย เธอได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากทั้งคณะและเจ้าหน้าที่ ได้เข้าพบกับจิตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญคือเธอไม่ถูกเลือกปฏิบัตหรือทำให้รู้สึกแปลกแยกจากอาการป่วยของเธอแต่อย่างใด การดูแลเป็นอย่างดีจากมหาวิทยาลัยทำให้ ดร.เค็ง สามารถศึกษาต่อได้จนสำเร็จ แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับประเทศไทยเพื่อทำงานเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงตามเงื่อนไขของทุนการศึกษา ทุกสิ่งทุกอย่างกลับพลิกผัน เธอไม่ได้รับการดูแลปัญหาสุขภาพจิตแต่อย่างใดจากที่ทำงาน

ดร.เค็ง ทำงานโดยต้องต่อสู้กับอาการป่วยทางจิตที่ส่งผลต่อการกระทำและสภาวะการตัดสินใจ ทั้งยังถูกทำให้รู้สึกแปลกแยกจากเพื่อนร่วมงาน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ทำงานที่ไม่ได้ให้ความสนใจหรือช่วยเหลืออย่างเหมาะสมกับอาการป่วยนั้น เธอส่งอีเมล์ถึงอธิการบดีแจ้งว่าเธอไม่ไหวและอยากจะลาออก โดยขอให้ทางมหาวิทยาลัยช่วยตรวจสอบกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน แต่สิ่งที่ต้องพบเจอคือ มหาวิทยาลัยใช้อีเมล์ฉบับนั้นเป็นเหตุผลในการให้เธอออกจากงาน

หลังจากนั้น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงยื่นฟ้อง ดร.เค็ง เป็นเงินมูลค่ากว่า 16 ล้านบาท ด้วยข้อกล่าวหาที่ว่าการลาออกของ ดร.เค็ง เป็นการผิดสัญญาทุนการศึกษา

ดร.เค็ง ที่ยังอยู่ในอาการป่วย ทั้งยังต้องออกจากงานต้องต่อสู้กับคดีความเพียงลำพังเป็นเวลาหลายปีโดยที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ ทั้งปัญหาสุขภาพจิตก็เป็นอุปสรรคต่อการหางานทำในขณะนั้น ต่อมา ภายหลัง จึงได้มีอาจารย์กฎหมายเข้ามาให้คำแนะนำในการเขียนรายงานโต้แย้งต่อศาลและเอกสารอื่นๆ ระหว่างนั้นก็เป็นช่วงที่ ดร.เค็ง ได้พบกับตัวแทนจากมูลนิธิกระจกเงาที่เข้ามาช่วยเหลือและให้กำลังใจ การสนับสนุนนี้มีความสำคัญอย่างมากในการทำให้เธอกลับมามีความหวังและเริ่มต้นหางานใหม่อีกครั้ง

ดร.เค็ง เริ่มต้นงานใหม่หลังจากผ่านการสอบสัมภาษณ์งานกับองค์กรหนึ่ง สถานที่ทำงานใหม่นี้มีความเข้าอกเข้าใจและสนับสนุนกระบวนการรักษาตัวของเธอเป็นอย่างดี ซึ่งในขณะนั้นเรื่องราวของ ดร.เค็ง ได้กลายเป็นประเด็นพูดคุยสาธารณะทางโซเชียลมีเดียไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทำให้เธอเองเกิดความกังวลเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกัน การได้รับการสนับสนุนจากหลายๆ คนก็ช่วยทำให้เธอกลับมามีความมั่นใจได้อีกครั้ง

ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2024 ศาลปกครองเชียงใหม่ได้อ่านคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่ยกฟ้องโดยชี้ว่า ดร.เค็ง ไม่ได้ทำผิดสัญญาทุน

อีเมล์ที่เขียนถึงอธิการบดีนั้นไม่ใช่ใบลาออก เป็นมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบของกระทรวงการคลังและเงื่อนไขในสัญญาทุน โดยไม่ได้ส่งเรื่องเข้าไปปรึกษากระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และกระทรวงการคลังตามระเบียบ เพื่อหารือว่าอาการป่วยทางจิตของ ดร.เค็ง เข้าเงื่อนไขที่ไม่เหมาะสมการรับราชการ และสมควรได้รับการยกเว้นหนี้ทุนให้ โดยศาลปกครองสูงสุดได้ให้ข้อสรุปว่า ดร.เค็ง ไม่ได้ผิดสัญญาทุน และไม่ต้องต้องชดใช้หนี้ทุนและค่าปรับแต่อย่างใด

คดีความนี้ นอกจากจะพรากระยะเวลา 10 กว่าปี และสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพจิตของ ดร.เค็ง แล้ว ยังชี้ให้เห็นถึงระบบที่ไม่มีประสิทธิภาพในการให้การสนับสนุนอย่างเหมาะสมต่อปัญหาสุขภาพจิตในที่ทำงาน การที่ฝ่ายบริหารเลือกปฏิบัติและเพิกเฉยต่อการให้ความช่วยเหลือและดูแลสุขภาพจิตของลูกจ้าง เป็นการละเมิดต่อสิทธิและความคุ้มครองความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของแรงงาน

กรณีของ ดร.เค็ง ยังแสดงให้เห็นถึงความท้าทายทางเพศในที่ทำงาน ซึ่งประเด็นสุขภาพจิตมักจะนำไปสู่จากเลือกปฏิบัติจากการเหมารวมสภาวะทางเพศสภาพ

ลูกจ้างมักเผชิญกับการละเมิดโดยนายจ้างอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ค่าจ้าง หรือแม้แต่ภาระงาน แต่ปัญหาเหล่านี้จะมีการจัดการแก้ไขอย่างจริงจังได้ก็ต่อเมื่อเกิดเป็นหลักฐานการเจ็บป่วยทางร่างกายที่เห็นได้ชัดเจนแล้ว เมื่อเป็นปัญหาสุขภาพจิตแล้วนั้น ก็มักจะถูกมองข้ามหรือมองว่าเป็นหัวข้อต้องห้าม ทั้งๆ ที่ผลกระทบนั้นมีความรุนแรงอย่างมาก คนทำงานจำนวนมากต้องเผชิญกับภาวะเครียด วิตกกังวล และซึมเศร้า ในบางประเทศ การดูแลสุขภาพจิตในที่ทำงานได้รับความสำคัญอย่างมากและถูกบังคับโดยกฎหมาย เช่น ในสหราชอาณาจักร นายจ้างมีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องดูแลสุขภาพจิตของลูกจ้าง การเลือกปฏิบัติต่อลูกจ้างที่มีปัญหาสุขภาพจิตก็เป็นเรื่องต้องห้ามโดยเด็กขาด แต่ในทางกลับกัน ประเทศไทยยังต้องเดินทางอีกยาวไกลในการพัฒนาให้ปัญหาสุขภาพจิตได้รับความสำคัญในที่ทำงานทั้งจากนายจ้างและลูกจ้าง

ในประเทศไทย กฎหมายแรงงานส่วนใหญ่จะเน้นที่การคุ้มครองสุขภาพและความปลอดภัยในที่ทำงาน โดยเฉพาะในแง่ของการป้องกันอุบัติเหตุและความเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายจากการทำงาน แต่ในแง่ของการคุ้มครองสุขภาพจิตโดยเฉพาะนั้น กฎหมายแรงงานยังไม่มีข้อกำหนดที่ชัดเจนหรือเป็นรูปธรรมเท่าไหร่นัก

สิ่งสำคัญคือ รัฐบาลจะต้องผลักดันให้มีการดูแลสุขภาพจิตของลูกจ้างอย่างจริงจังผ่านกรอบทางกฎหมาย กำหนดแนวทางการสนับสนุนสุขภาพจิต ส่งเสริมให้สถานที่ทำงานมีสิทธิประโยชน์ในการดูแลปัญหาสุขภาพจิตของลูกจ้าง และตรวจสอบไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติเมื่อลูกจ้างมีปัญหาสุขภาพจิต

อ่านรายงานฉบับเต็มที่ https://justeconomylabor.org/mental-health-matters-the-overlook-aspect-of-occupational-hazard/?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAAR2urIfxh5cYWJDq4OE0A9E-2V2bpZeagqJ-givqeDTNOWCbXQzdT2QLnOM_aem_5pnfaDvR3GY5FvRL7Pkcnw 

กรีนพีซเปิดจดหมายจาก SCG ถึงข้อประกาศยุติเหมืองถ่านหิน พร้อมปลดระวางถ่านหิน สอดรับนโยบาย Net Zero

วันที่ 11 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา กรีนพีซ ประเทศไทย ประกาศข่าวดีหลังบริษัทปูนซีเมนต์ไทย (ลำปาง) จำกัด หรือ SCG ลำปาง ได้ออกจดหมายชี้แจงการยกเลิกโครงการเหมืองถ่านหินที่อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง พร้อมทั้งยื่นถอนคำขอประทานบัตรต่อหน่วยงานราชการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

กรีนพีซ ประเทศไทย เปิดเผยอีกว่า SCG ยังมีประกาศไม่รับซื้อถ่านหินโครงการอมก๋อย จ.เชียงใหม่ เนื่องจาก บริษัทฯ ได้เร่งดำเนินงานตามแนวทาง ESG (Environment, Social, Governance) โดยทยอยลดการใช้ถ่านหิน และเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงทดแทน แทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เพื่อสอดรับนโยบายลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 อีกด้วย 

ทั้งนี้การชี้แจงของ SCG เป็นผลมาจากการทำงานรณรงค์เพื่อผลักดันให้บริษัทปลดระวางถ่านหินอย่างชัดเจน ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ของชุมชน เครือข่ายยุติเหมืองแร่ องค์กรภาคประชาสังคม และกรีนพีซ ประเทศไทย

พรชิตา ฟ้าประทานไพร เยาวชนนักปกป้องสิทธิทางด้านสิ่งแวดล้อม จากชุมชนกะเบอะดิน อ.อมก๋อย จ. เชียงใหม่ ที่เป็นพื้นที่โครงการเหมืองถ่านหินอมก๋อย  กล่าวว่า การยืนยันของ SCG ที่ว่าจะไม่รับซื้อถ่านหินจากโครงการเหมืองถ่านหินอมก๋อย ถือเป็นชัยชนะอีกขั้นของการต่อสู้กว่า 5 ปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม การที่อมก๋อยยังคงเป็นเขตแหล่งแร่ถ่านหินเพื่อการทำเหมือง ตามแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฉบับที่ 2 อยู่ ทำให้พี่น้องชุมชนกะเบอะดินก็ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ว่าในอนาคตจะไม่มีโครงการเหมืองถ่านหินเกิดขึ้นที่อมก๋อย เพราะใบอนุญาตสัมปทานเหมืองแร่ในพื้นที่ยังคงอยู่ในแผนการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐที่มีอำนาจเปิดสัมปทานให้กับบริษัทฯ ที่ยื่นขอได้อีก

หมุดหมายต่อไปของพี่น้องชุมชนกะเบอะดินคือการที่พื้นที่กะเบอะดินจะต้องถูกถอดออกจากเขตแหล่งแร่ถ่านหิน เพื่อการทำเหมืองตามแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฉบับที่ 2 ด้วย เพื่อเป็นการยุติโครงการเหมืองถ่านหินที่อมก๋อยอย่างแท้จริง

ก๊อนเก๊าเล่าล้านนา: มิชชันนารีอเมริกันกับภารกิจเผยแพร่ศาสนาในล้านนา (1) : จากใจกลางสยามประเทศสู่ข่วงเขตถิ่นบ้านล้านนา

เรื่อง: นวลคำ ขะยอมแดง สุภาพชนคนเมือง

ปฐมบทก่อนการเข้าสู่ล้านนาของมิชชันนารีชาวอเมริกัน

‘วัฒนธรรมตะวันตก’ เป็นสิ่งที่ถูกรับเข้ามาในประเทศไทย เพื่อประกอบการสร้างความเป็นไทยหรือ ‘สยามสมัยใหม่’ นับตั้งแต่ที่สยามได้เข้าสู่การเป็นส่วนหนึ่งของโลกยุคอาณานิคมในช่วงศตวรรษที่ 19 โดยการรับเอาวัฒนธรรม ความรู้ และอัตลักษณ์บางประการของชาวตะวันตกมาปรับใช้ ทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจ ที่ทำให้เกิดการเชื่อมโยงกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศเข้ากับระบบทุนนิยมโลก ซึ่งได้รับจากการลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริงช่วงปลายรัชกาลที่ 4 และการเปลี่ยนแปลงในมิติด้านสังคมวัฒนธรรมในช่วงรัชกาลที่ 5 

กระแสพัดพาสังคมไทยให้กลายเป็นตะวันตก หรือ “Westernization” เกิดขึ้นจากการพยายามเข้ามาติดต่อสัมพันธ์กับสยามของชาติมหาอำนาจในทวีปยุโรป หลายประเทศ ในหลากหลายมิติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรม แต่นั่นไม่ใช่กับ สหรัฐอเมริกา ที่มุ่งเน้นด้าน ‘ภารกิจทางด้านศาสนา’ เป็นสำคัญ

ภาพจาก บุญเสริม สาตราภัย

คณะมิชชันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียน ได้เข้ามาเผยแพร่ศาสนาผ่านการก่อตั้ง ‘มิชชั่นสยาม’ ในไทยตั้งแต่ปีพ.ศ. 2390  มีการขยายงานไปยังภูมิภาคต่างๆ โดยเน้นพันธกิจหลัก 3 ประการ คือ การประกาศศาสนา การแพทย์ และการศึกษา ทำให้มิชชันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียนที่เข้ามาในประเทศไทย เข้ามาพร้อมกับโลกทัศน์ซึ่งเกิดจากวัฒนธรรมและศาสนาของตนเอง ภายใต้หลักการที่ว่า แนวคิดและอุดมการณ์ที่เป็นหัวใจของคริสต์ศาสนาได้พัฒนามาจากรากฐานของความเป็นสมัยใหม่ 

ดังนั้น ‘ความเป็นมิชชันนารีอเมริกัน’ จึงหมายถึง การเป็นคนของพระเจ้าควบคู่ไปกับการเป็นผู้แทนของความทันสมัยแบบอเมริกัน ที่นำความทันสมัยไปเผยแพร่เพื่อสร้างคนที่อ่านออกเขียนได้ ขจัดความโง่เขลางมงายออกไป แล้วสร้างความรู้ และความจริงของคริสต์ศาสนาขึ้นมาแทน

เพื่อให้ภารกิจประสบผลอย่างทั่วถึง คณะมิชชันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียนเลยได้ขยายการเผยแพร่ศาสนาออกมานอกกรุงเทพฯ ในปีพ.ศ. 2404 ด้วยการตั้งสถานีมิชชัน (station) ที่เพชรบุรี โดยมิชชันนารีชุดแรกที่ปฏิบัติพันธกิจที่สถานีมิชชันนี้คือ ครอบครัวของศาสนาจารย์ดาเนียล แมคกิลวารี และครอบครัวของศาสนาจารย์ซามูเอล แมคฟาร์แลนด์  

การปฏิบัติงานที่เพชรบุรี และการทำงานกับเชลยศึกชาวลาวที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นทาสหลวงที่เพชรบุรี ทำให้ดาเนียล แมคกิลวารี ได้เห็นว่า ชาวลาวที่เพชรบุรีเป็นเชื้อสายเดียวกันกับชาวลาวเหนือในล้านนา ที่แม้ว่าล้านนาจะเป็นเมืองประเทศราชของสยาม แต่ก็ยังมีวิถีการดำรงชีวิตในแบบของตัวเอง มีวัฒนธรรม ประเพณี ภาษา มีสิทธิในการปกครองตนเอง และแข็งขืนต่อการครอบงำของวัฒนธรรมสยาม อีกทั้งยังเห็นอีกว่า ชาวลาวนั้นมีความเชื่อเรื่องผีหรืออำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีความสอดคล้องกับความเชื่อของคริสต์ศาสนา ที่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้าอันเป็นสิ่งสูงสุด มากกว่าพุทธศาสนาที่ชาวสยามส่วนใหญ่นับถือ 

ด้วยเหตุนี้ ดาเนียล แมคกิลวารี จึงมีความตั้งใจที่จะขึ้นไปเผยแพร่คริสต์ศาสนา ในถิ่นกำเนิดของชาวลาว หากแต่ลาวในที่นี้ไม่ได้หมายถึงลาวล้านช้างที่อยู่เฉียงเหนือไปในทิศอีสาน แต่เป็นลาวล้านนาที่อยู่เฉียงออกไปในทิศพายัพนั่นเอง

แมคกิลวารี กับการย่างเท้าก้าวเข้ามาของศาสนาคริสต์ในล้านนาเชียงใหม่

ดาเนียล แมคกิลวารี และภรรยา โซเฟีย แมคกิลวารี (โซเฟีย รอยส์ บรัดเลย์) จากซ้ายไปขวา (ภาพจาก A half century among the Siamese and the Lao : an autobiography)

“ดาเนียล แมคกิลวารี” หรือ “พ่อครูหลวง” เป็นมิชชันนารีเพรสไบทีเรียนชาวอเมริกัน ที่มีชื่อเสียงในฐานะผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์ในพระนครเชียงใหม่ เขาได้สมรสกับ โซเฟีย แมคกิลวารี (โซเฟีย รอยส์ บรัดเลย์) ผู้มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานการศึกษาของสตรีในล้านนา ที่เป็นลูกสาวของหมอบรัดเลย์ผู้เป็นบิดาแห่งการพิมพ์และการแพทย์แผนใหม่ ผู้นำวัคซีนรักษาไข้ทรพิษฝีดาษมาเผยแพร่ให้แก่ชาวสยาม สามีภรรยาแมคกิลวารี ถือเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการขยายนิกายโปรเตสแตนต์สู่ดินแดนล้านนา ซึ่งมีสถานะเป็นหัวเมืองของอาณาจักรสยาม แต่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของเชื้อพระวงศ์ทางเหนือ ซึ่งมีอำนาจสิทธิขาดภายในอาณาจักรของตนเอง 

ในช่วงปีพ.ศ. 2406 ดาเนียล แมคกิลวารี และโจนาธัน วิลสัน ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลสยามให้สามารถเดินทางขึ้นไปสำรวจพื้นที่เชียงใหม่เพื่อทำการประกาศพระกิตติคุณ ทว่าการเดินทางมาเยือนเชียงใหม่ในครั้งแรกของพวกเขา กลับไม่ได้พบเจอกับ “พระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงค์” เนื่องจากพระองค์ได้ทรงเสด็จลงไปยังกรุงเทพฯ เพื่อถวายเครื่องราชบรรณาการแก่ราชสำนักสยาม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังได้รับการต้อนรับจาก “เจ้าอุบลวรรณา” พระธิดาองค์เล็กของพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงค์ ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับครอบครัวบรัดเลย์และแมคกิลวารี มาตั้งแต่ที่เคยเสด็จลงไปยังกรุงเทพฯ เป็นอย่างดี โดยในระหว่างที่เขาอยู่ที่นครเชียงใหม่ ก็ได้รับความสนใจจากเพื่อนชาวต่างชาติที่แวะเวียนมาเยี่ยมเขายังที่พำนักอยู่บ่อยๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้ดาเนียล แมคกิลวารี และคณะนั้นเชื่อว่าการเผยแพร่ศาสนาในหัวเมืองล้านนาจะสามารถเกิดขึ้น และเป็นไปได้โดยสะดวกอย่างแน่นอน

ต่อมาในปีพ.ศ. 2410 ดาเนียล แมคกิลวารี พร้อมด้วยภรรยา ได้เดินทางขึ้นมาที่เมืองเชียงใหม่ โดยพักอาศัยในศาลาพักชั่วคราวที่ “ศาลาย่าแสงคำมา” บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปิง ซึ่งอยู่ใกล้กับเส้นทางคมนาคมที่ชาวเมืองส่วนใหญ่ใช้เดินทาง  ทำให้ชาวเชียงใหม่ได้เห็นความเป็นอยู่ของมิชชันนารี และได้สัมผัสกับความเป็นโลกตะวันตก ทั้งด้านความเป็นอยู่ ข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์สำหรับสอนความรู้สมัยใหม่ ไปจนถึงยารักษาโรคของตะวันตก

ภาพคริสตจักรเพรสไบทีเรียนที่หนึ่งในเชียงใหม่ (ภาพจาก ศูนย์มรดกเมืองเทศบาลนครเชียงใหม่ – Chiang Mai City Heritage Centre)

การเข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนาในล้านนาของดาเนียล แมคกิลวารี ทำให้มิชชันนารีอเมริกัน ถือเป็นชาวตะวันตกกลุ่มแรกที่เข้ามาอยู่อาศัยในล้านนา ซึ่งมิชชันนารีเหล่านี้ ล้วนมีสถานะเป็นคนในบังคับชาติมหาอำนาจตะวันตก ทำให้พวกเขามีฐานะแตกต่างจากประชาชนทั่วไป เนื่องจากได้รับความคุ้มครองโดยสนธิสัญญาในข้อที่ว่าด้วยสิทธิสภาพนอกอาณาเขตไม่ต้องขึ้นศาลไทย ทำให้ไม่ต้องอยู่ภายใต้อำนาจของข้าราชการไทย อีกทั้งการมีความรู้ ความสามารถ และการครอบครองเทคโนโลยีสมัยใหม่ ก็เป็นอีกสิ่งทำให้เหล่ามิชชันนารีได้รับการยอมรับทั้งจากเจ้านาย และข้าราชการไทยในล้านนา

การมีบทบาทและอำนาจของมิชชันนารีในล้านนา

แม้ว่าวัตถุประสงค์หลักของมิชชันนารีคือการเผยแพร่ศาสนา แต่ในขณะเดียวกัน มิชชันนารีก็ได้เข้ามาแทรกแซงการบริหารราชการภายในของเหล่าบรรดาเจ้านาย เพราะต้องการช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากการปกครองของเจ้านาย จนเรียกได้ว่า “มิชชันนารีมีความใกล้ชิดกับชาวบ้านและเข้าถึงจิตใจชาวบ้านมากกว่าข้าราชการ” เพราะเมื่อชาวบ้าน โดยเฉพาะคนที่เป็นคริสเตียนเจอเรื่องเดือดร้อนหรือถูกเอาเปรียบจากเจ้านาย ก็มักจะหันไปขอความช่วยเหลือจากมิชชันนารี เพราะมิชชันนารีนั้นถือเป็นที่เกรงใจของเจ้านาย และข้าราชการสยาม 

มิชชันนารีสามารถช่วยได้ตั้งแต่ปัญหาเล็กๆ อย่างการที่บริวารของเจ้าหลวง ลวนลามผู้หญิง หรือปัญหาที่ชาวบ้านลงไปอาบน้ำที่ท่าน้ำปิง ไปจนถึงปัญหาใหญ่  เช่น “กรณีเจ้าหอหน้าขัดขวางการแต่งงานของหนุ่มสาวคริสเตียน” ในปีพ.ศ. 2421 ที่เป็นความขัดแย้งทางขนบประเพณีระหว่างมิชชันนารีกับผู้มีอำนาจปกครองในเมืองเชียงใหม่ โดยเจ้ามูลนายได้อ้างประเพณีความเชื่อเรื่องผีท้องถิ่น และไม่ยอมให้มีการจัดงานแต่งงานจนกว่าจะมีการเสียผี แต่ฝ่ายมิชชันนารีก็ไม่ยอมเพราะถือว่าเป็นพิธีทางคริสต์ศาสนา 

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้มิชชันนารีได้เขียนหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อขอให้มีเสรีภาพทางศาสนา และก็ได้รับพระบรมราชานุญาต จนต่อมาในปีพ.ศ. 2421 รัฐบาลสยามก็ได้ประกาศ “พระบรมราชโองการเสรีภาพทางศาสนา” (Edict of Toleration) ที่เป็นการอนุญาตให้ชาวเมืองเชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง มีเสรีภาพในการนับถือศาสนานับแต่นั้นมา ทำให้เห็นว่าในบางกรณีมิชชันนารีเองก็ได้แสวงหาผลประโยชน์จากความขัดแย้งระหว่างข้าราชการสยามกับเจ้านายสยาม ผ่านการเล่นเกมการเมืองโดยใช้ความเป็นคนต่างชาติที่มีอิทธิพลของมิชชันนารีมาข่มขู่หรือลดอำนาจของเจ้านาย จนสร้างผลกระทบให้กับอำนาจการปกครองของเจ้านายอย่างเห็นได้ชัด

ภาพวันก่อตั้งคริสตจักรเกาะกลาง ปัจจุบัน คือ คริสตจักรสันติธรรม (ภาพจาก ศูนย์มรดกเมืองเทศบาลนครเชียงใหม่ – Chiang Mai City Heritage Centre)

มิชชันนารียังได้มีส่วนในการสร้างชนชั้นกลางในสังคมแอ่งเชียงใหม่-ลำพูน ด้วยการให้การศึกษา และการอบรมแบบสมัยใหม่ ทำให้คนเหล่านี้เปลี่ยนอาชีพจากชาวนาหรือแรงงานมาเป็นพนักงานบริษัท ครู หมอ และพยาบาล นอกจากนั้น มิชชันนารีก็ยังมีความสัมพันธ์อันดีกับข้าราชการสยาม และคอยให้การสนับสนุนนโยบายปฏิรูปการปกครองของสยาม ด้วยการช่วยควบคุมให้ชาวบ้านที่เป็นคริสเตียนปฏิบัติตามนโยบายเป็นอย่างดี  ยกตัวอย่างเช่น การที่ข้าหลวงได้มาขอความคิดเห็นเกี่ยวกับการประกาศใช้ระบบภาษีค่าแรงแทนเกณฑ์ และขอให้มิชชันนารีได้อธิบายให้ชาวคริสเตียนทราบและนำเงินมาเสียภาษี เพื่อเป็นตัวอย่างแก่ชาวบ้านอื่นๆ ตามบันทึกของศาสนาจารย์ ฮิวจ์ เทย์เลอร์ มิชชันนารีอเมริกันในจังหวัดลำปาง 

อย่างไรก็ตาม การที่ชาวพื้นเมืองนั้นเปลี่ยนศาสนาไปเป็นคริสเตียน ก็จำเป็นที่จะต้องละทิ้งความเชื่อ และจารีตปฏิบัติของสังคมล้านนาไปด้วย ด้วยเหตุนี้ทำให้พวกเขาถูกมองว่าต่อต้านขัดขืนระบบอำนาจของพระเจ้ากาวิโลรส จนนำไปสู่การประหารชีวิตชาวคริสเตียน 2 คน ในเดือนกันยายน ปีพ.ศ. 2412 ที่แม้ว่ามิชชันนารีจะอ้างการคุ้มครองชาวอเมริกันและคนในบังคับ ตามสนธิสัญญาแฮริสที่ได้ทำกับสยามไว้เมื่อ พ.ศ. 2399 ก็ไม่เป็นผล 

ต่อมาในเดือนมิถุนายน ปีพ.ศ. 2413 เมื่อเจ้ากาวิโลรสถึงแก่พิราลัย และเจ้าอุปราชอินทวิชยานนท์ขึ้นครองบัลลังก์เจ้าหลวงเชียงใหม่ สถานการณ์ดังกล่าวก็ได้ผ่อนคลายลง เพราะพระองค์มีความเป็นมิตรกับมิชชันนารีอเมริกัน พันธกิจของมิชชันนารีในล้านนาจึงได้เริ่มต้นอีกครั้ง และมีคนพื้นเมืองหันมารับเชื่อคริสต์ศาสนาเพิ่มขึ้น

บทสรุป

ภาพนายแพทย์ เอ็ดวิน ซี. คอร์ท หรือที่ชาวบ้านเรียกขานว่า ‘หมอคอร์ท’ มิชชันนารีที่กำลังทำงานพันธกิจการบำบัดรักษาผู้ป่วย (ภาพจาก ศูนย์มรดกเมืองเทศบาลนครเชียงใหม่ – Chiang Mai City Heritage Centre)

มิชชันนารี มีบทบาทและความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาประเทศไทยให้มีความทันสมัยแบบชาติตะวันตก โดยที่การเข้ามาของมิชชันนารีโปรเตสแตนต์ในสยามส่วนใหญ่มักจะเป็นมิชชันนารีที่เดินทางมาจากอเมริกา ซึ่งกิจกรรมของพวกเขามักจะเป็นสิ่งที่แยกออกจากจุดประสงค์ทางการเมืองและการค้าของชาติ 

ในภายหลังเมื่อการเผยแพร่ศาสนาไม่สามารถใช้การสนับสนุนจากอำนาจทางการเมืองได้เหมือนในอดีต อีกทั้งการไปเผยแพร่ศาสนาในพื้นที่ที่มีคนนับถือศาสนาพุทธอยู่ก่อนแล้วมักจะเป็นไปได้ยาก เพราะพวกเขาอาจไม่เห็นถึงความสำคัญของคริสต์ศาสนา วิธีการที่เหล่ามิชชันนารีใช้ในการเผยแพร่ศาสนา จึงต้องถูกปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากันกับวิถีชีวิตของผู้คนมากขึ้น โดยหันมาใช้วัฒนธรรม และอารยะธรรมตะวันตก เป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแพร่ศาสนาแทน  ไม่ว่าจะเป็นการสอนวิชาความรู้สมัยใหม่ การสร้างโรงเรียน โรงพิมพ์ หรือโรงพยาบาล ซึ่งเป็นการทำภารกิจในลักษณะที่เอาการบริการสังคม มาช่วยในการชักนำผู้คนให้มาเรียนรู้ และรับเชื่อในศาสนาคริสต์  

ด้วยเหตุนี้ การรับรู้ที่ชาวสยามมีต่อมิชชันนารี จึงถูกจดจำเป็นภาพลักษณ์ที่ถือว่าเป็น “หมอ” อันเนื่องมาจากความพยายามเผยแพร่ศาสนา โดยใช้ผลผลิตที่มากับวิทยาการตะวันตก อย่างยารักษาโรค ควบคู่ไปกับการสอนหนังสือ และแจกใบปลิวคำสอนทางศาสนา มิชชันนารีโปรเตสแตนต์ จึงเป็นทั้งหมอรักษาโรค และหมอศาสนาในเวลาเดียวกัน สิ่งเหล่านี้มีบทบาสำคัญอย่างมากในการพัฒนาสังคมของสยามในเวลานั้นให้เข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่มากยิ่งขึ้น

ภาพเด็กน้อยในบริเวณโรงเรียนชั่วคราวที่สอนหนังสือเหล่าโดยมิชชันนารี (ภาพจาก ศูนย์มรดกเมืองเทศบาลนครเชียงใหม่ – Chiang Mai City Heritage Centre)

นอกจากภารกิจในด้านสาธารณสุขแล้ว การบริการสังคมในด้านการศึกษาก็เป็นอีกภารกิจที่มิชชันนารีให้ความสำคัญ เนื่องจากพื้นฐานทางความคิดของศาสนาคริสต์โดยเฉพาะนิกายโปรเตสแตนต์ ถือว่าการจะเข้าถึงความจริงสูงสุดทางศาสนาคือการอ่าน และศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิลโดยตรง นั่นหมายถึงว่า การที่คริสต์ชนจะสามารถรู้จักกับพระเจ้าได้นั้น จะต้องรู้หนังสือ และคนที่เปลี่ยนศาสนาแต่ไม่ได้อ่านพระคัมภีร์ ก็เท่ากับว่ายังไม่ได้มีความเชื่ออย่างแท้จริง นั่นทำให้พื้นที่ที่คนทั่วไปไม่รู้หนังสือถือเป็นอุปสรรคต่อการรับเชื่อในศาสนาคริสต์เป็นอย่างมาก จึงนำไปสู่การพยายามเพิ่มขีดความสามารถให้กับคนในท้องถิ่น ด้วยการใช้การศึกษาเป็นสถาบันในการอบรม และฝึกฝนคนในท้องถิ่นให้อ่านออกเขียนได้ เพื่อเป็นการเตรียมศักยภาพของคนในท้องถิ่นให้พร้อมต่อการถ่ายทอดหรือเผยแพร่ความเชื่อ  และคำสอนของศาสนาคริสต์ต่อไป 

โยชิมิ โฮริอุจิ…ห้องสมุดรังไหม: ผู้จุดประกายรักการอ่าน ให้เด็กๆ ในชนบท 

เรื่องและภาพ: องอาจ เดชา

เมื่อปี 2564  สำนักงานสถิติแห่งชาติ รายงานว่า คนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยเพียง 8 เล่มต่อปี จากนั้นในปี 2567 ผลสำรวจโดยสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) ร่วมกับคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า คนไทยมีพฤติกรรมการอ่านหนังสือเฉลี่ยวันละ 113 นาที หรือเกือบ 2 ชั่วโมงต่อวัน แม้ว่าสถิติการอ่านหนังสือของคนไทยในแต่ละปีจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่สำหรับผู้คนในพื้นที่ห่างไกลหรือในกลุ่มพี่น้องชาติพันธุ์ หนังสือและการอ่านก็ยังคงเป็นเรื่องไกลตัวที่ยากต่อการเข้าถึง

เพื่อให้ผู้คนเข้าถึงการอ่านได้มากขึ้น ‘โยชิมิ โฮริอุจิ’ หญิงสาวชาวญี่ปุ่นพิการทางสายตา ผู้ให้ความสำคัญกับการอ่าน เลยตัดสินใจมาสร้าง ‘ห้องสมุดรังไหม’ ที่อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ จัดทำกิจกรรมคาราวานหนอนหนังสือเพื่อส่งเสริมการรักการอ่านให้กับคนเมืองพร้าว และอำเภอใกล้เคียงมาอย่างต่อเนื่อง นานกว่าสิบปี

โยชิมิ โฮริอุจิ (Yoshimi Horiuchi) ผู้ก่อตั้งห้องสมุดรังไหม และมูลนิธิหนอนหนังสือ

โยชิมิ โฮริอุจิ (Yoshimi Horiuchi) เกิดที่เมืองโคจิ บนเกาะชิโกกุ ซึ่งอยู่ทางใต้ของญี่ปุ่น เธอมีความบกพร่องทางสายตาตั้งแต่กำเนิด แต่เพราะครอบครัวให้ความสำคัญกับการเรียน อีกทั้งสมาชิกในบ้านยังมีนิเวศน์การอ่านที่ดี สิ่งเหล่านี้เลยหล่อหลอมให้เธอหลงใหลในการเรียนและการอ่าน จนทำให้เธอกลายเป็นหนอนหนังสือตัวยงในที่สุด

“เราชอบหนังสือตั้งแต่จำความได้ แม่ ตา และอา จะอ่านนิทานวรรณกรรมเยาวชนให้เราฟัง ก็เลยชอบหนังสือตั้งแต่ตอนนั้นเลย ด้วยความที่เราตาบอดก็จะมีข้อจำกัดเรื่องการทำงานที่มากกว่าคนทั่วไป พ่อแม่ก็เลยมักจะบอกว่าการเรียนเป็นสิ่งสำคัญ และสนับสนุนเรื่องนี้มาตลอด เริ่มต้นด้วยการที่พ่อแม่กับญาติที่บ้าน เขาอ่านหนังสือให้ฟังตั้งแต่อายุได้ 2-3 ขวบ ถึงแม้ว่าพ่อแม่ไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่ว่าเขาก็อ่านหนังสือให้ฟัง เราก็เลยชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็กเลยค่ะ” 

โยชิมิ เล่าว่า การได้อ่านวรรณกรรมตั้งแต่เด็กทำให้เธอมีความสุขไปกับการได้ใช้ จินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ พอได้มาเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศไทย ก็รู้สึกชอบ และอยากทำอะไรที่สร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทยบ้าง 

“เราชอบอ่านหนังสือมากๆ แล้วก็แปลกใจว่า ทำไมประเทศไทยคนถึงอ่านหนังสือกันน้อยมาก ห้องสมุดก็ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ มันมีน้อยมาก เวลาจะอ่านหนังสือก็ต้องเดินทางไปไกลๆ ก็เลยอยากจัดตั้งห้องสมุดเคลื่อนที่สำหรับเด็กและผู้ใหญ่ รวมไปถึงพี่น้องคนพิการที่อยู่ในเขตชนบทของประเทศไทย”

คนไทยอย่างน้อย 1.1 ล้านคนเป็นผู้พิการ และร้อยละ 77 ของพวกเขาอาศัยอยู่ในชนบทของประเทศไทย เมื่ออุปสรรคใหญ่ของการเข้าถึงการอ่านคือความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา   โยชิมิเลยตั้งคำถามกับตัวเองว่า แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยส่งเสริมการอ่านให้ทุกคนได้มีโอกาสในการอ่านที่เท่าเทียมกัน จึงเป็นการจุดประเด็นในการทำห้องสมุดเคลื่อนที่ขึ้นมา     

“เราอยากทํางานด้านสังคม เพราะว่าเราเป็นคนพิการ และมักมีคนคอยเข้ามาช่วยเหลือเราตลอด เราเป็นฝ่ายรับความช่วยเหลือเป็นหลัก พอโตขึ้น เราก็อยากจะช่วยเหลือคนอื่นบ้าง พอกลับมาเมืองไทยเราเลยอยากสร้างห้องสมุดในเมืองไทย เพราะคนไทยไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ แต่เราชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก ก็เลยอยากเป็นส่วนผลักดันให้คนชอบอ่านหนังสือเหมือนกัน เลยตัดสินใจทำห้องสมุดขึ้นมา”

โยชิมิ บอกว่า เธอได้เริ่มทำกิจกรรมห้องสมุดเคลื่อนที่ในกรุงเทพฯ เป็นแห่งแรก เพราะก่อนหน้านั้นเธอเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมีสังคมอยู่ที่นั่น ต่อมาเธอรู้สึกว่าอยากทํางานที่ต่างจังหวัดมากกว่า เพราะมองว่าคนกรุงเทพฯ ก็มีโอกาสมากกว่าที่อื่นอยู่แล้ว เลยตัดสินใจมาทำห้องสมุดรังไหมที่อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่แทน

“เรามีโอกาสได้รู้จักกับอาจารย์คนหนึ่งที่ทํามูลนิธิอุ่นใจ อยู่ที่อําเภอพร้าว ท่านทํางานด้านพัฒนาสังคม และชุมชน แกก็เลยแนะนํามาว่าเมืองพร้าวน่าอยู่นะ คนที่เข้าไม่ถึงหนังสือก็เยอะ แล้วก็มีพี่น้องชาติพันธุ์ มีผู้พิการที่ไม่ค่อยได้เข้าถึงหนังสือก็เยอะ เลยตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่อำเภอพร้าว จากสมาคมคาราวานหนอนหนังสือ (ARC) ก็กลายเป็นมูลนิธิหนอนหนังสือ ตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา”

โยชิมิเล่าว่า การทำห้องสมุดในยุคนี้จะต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยและวิถีชุมชน เลยเน้นการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อเสริมสร้างจินตนาการ และส่งเสริมการอ่านให้ผู้คนในเมืองพร้าว รวมทั้งอำเภอใกล้เคียงอย่าง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย 

สมถวิล บุญเติง บรรณารักษ์ห้องสมุดรังไหม เล่าว่า นอกจากจะเปิดให้บริการภายในห้องสมุดรังไหมแล้ว ยังมีกิจกรรมนำหนังสือใส่ถุงผ้าไปเยี่ยมเยือนให้กับผู้พิการ และคนชราที่ไม่สามารถออกจากบ้านได้ โดยในแต่ละเดือนจะมีการนำหนังสือจำนวน 5 เล่มใส่ถุงผ้าไปเยี่ยมพวกเขาคนละหนึ่งถุงต่อเดือน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำต่อเนื่องมานานหลายปี

“กิจกรรมนี้ ได้ผลตอบรับจากสมาชิกที่ไปเยี่ยมค่อนข้างดีมาก อย่างผู้พิการที่นั่งวีลแชร์ก็สามารถหยิบหนังสือมาเปิดอ่านได้ทุกเวลาที่สะดวก คนป่วยก็ได้อ่านหนังสือสุขภาพที่ช่วยส่งเสริมการดูแลตัวเองที่บ้านได้ ทำให้คนชราได้ใช้เวลาว่างไปกับการอ่านได้คลายเหงา และยังช่วยเสริมสร้างพัฒนาการให้กับเด็กๆ ด้วยหนังสือภาพและหนังสือสัมผัสต่างๆ ได้เป็นอย่างดี”

นอกจากการพาหนังสือไปให้ผู้พิการและคนชราแล้ว การปลูกฝังนิสัยรักการอ่านในกลุ่มเด็กๆ ก็เป็นอีกกิจกรรมที่ห้องสมุดรังไหมให้ความสำคัญเช่นกัน แพรพรรณ ตันติ๊บ ผู้ประสานงานกิจกรรมคาราวานหนอนหนังสือ  มูลนิธิหนอนหนังสือ เล่าให้ฟังว่า ได้ส่งเสริมการอ่านผ่านการทำ ‘คาราวานหนอนหนังสือ’ หรือห้องสมุดเคลื่อนที่ที่คัดสรรหนังสือที่เหมาะสมกับเด็กในแต่ละช่วงวัยไปใส่ไว้บนรถ และขับไปจอดตามจุดต่างๆ ในอำเภอพร้าว โดยแบ่งเป็นศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจำนวน 4 ศูนย์ และโรงเรียนอีก 3 โรงเรียน โดยในหนึ่งเดือนจะนำรถห้องสมุดเคลื่อนที่ไปหาเด็กๆ 1-2 ครั้ง 

“หลักๆ คือไปอ่านหนังสือนิทานให้เด็กๆ ฟัง ให้เด็กๆ ได้เลือกอ่านหนังสือที่มีในรถ บางครั้งจะมีกิจกรรมเสริมที่สอดคล้องกับเนื้อหานิทานที่นำไปเล่า จะเป็นการประดิษฐ์บ้าง วาดรูประบายสีบ้าง ตามโอกาส เวลาที่ใช้ในการทำกิจกรรมประมาณ 1 ชั่วโมง – 1 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งการจัดกิจกรรมนี้ได้ผลตอบรับค่อนข้างดี เด็กๆ ตื่นเต้นที่จะได้ขึ้นรถหนังสือเพื่อไปเลือกหนังสือ แล้วก็ตั้งใจฟังนิทานที่อ่านให้ฟัง” 

พิชชาพา เดชา ผู้ประสานงาน มูลนิธิหนอนหนังสือ ที่เพิ่งทำโครงการฅนเผ่าเล่านิทาน บอกว่า ‘ฅนเผ่าเล่านิทาน’ เป็นโครงการที่ร่วมมือกันระหว่างมูลนิธิหนอนหนังสือกับเมจิก liberry ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่นำหนังสือนิทานของไทยมาเล่าเป็นภาษาชาติพันธุ์ต่างๆ โดยเจ้าของภาษานั้น เช่นภาษาปกากะญอ ภาษาไทใหญ่ ภาษาอาข่า ภาษาคำเมือง เป็นต้น แล้วทำคลิปวีดีโอเผยแพร่ในช่อง YouTube

“เราคัดเลือกหนังสือนิทานที่คิดว่าน่าสนใจจากหลายสำนักพิมพ์ ซึ่งแต่ละสำนักพิมพ์ก็ยินดีให้เรานำนิทานมาใช้ได้ คลิปจะมีทั้งหมด 12 เรื่องค่ะ ตอนนี้ยังเผยแพร่อยู่ในช่อง YouTube ชื่อว่า ฅนเผ่าเล่านิทาน ยังสามารถเข้าไปติดตามรับชมได้นะคะ”

พิชชาพา บอกอีกว่า มูลนิธิหนอนหนังสือ ยังได้ทำกิจกรรม ‘โครงการเล่มเดียวในโลก’ เป็นการเข้าไปทำกิจกรรมส่งเสริมการอ่านให้เด็กในโรงเรียน และส่งเสริมการใช้ภาษาท้องถิ่นของตนเอง โดยมีโรงเรียนที่ร่วมโครงการในอำเภอพร้าว 2 โรงเรียน คือโรงเรียนแม่ปาคีกับโรงเรียนบ้านโป่ง และในอำเภอเชียงดาวอีก 2 โรงเรียน คือโรงเรียนวัดจอมคีรีและโรงเรียนบ้านแม่ป๋าม

“กิจกรรมจะเริ่มตั้งแต่ แนะนำหนังสือนิทาน เล่านิทาน ให้เด็กๆ ได้ฝึกแต่งนิทาน วาดภาพประกอบ จนกระทั่งเย็บเล่มด้วยตนเอง โดยเราจะทำ workshop มีวิทยากรมาให้ความรู้กับเด็กๆ ในแต่ละขั้นตอนด้วย ซึ่งโครงการนี้เราทำ 3 ไตรมาส ตอนนี้อยู่ไตรมาสที่ 3 แล้วเป็นขั้นตอนการวาดภาพประกอบและเย็บเล่มซึ่งเราก็ลุ้นมากว่าผลงานของเด็กๆ จะออกมาเป็นแบบไหน แต่เท่าที่สังเกตเราได้เห็นพัฒนาการความคิดสร้างสรรค์โลกจินตนาการของเด็กๆ ที่ถูกเปิดออกผ่านเนื้อเรื่องนิทาน และตัวละครที่วาดออกมา เท่านี้เราก็รู้สึกตื่นเต้นแล้วก็ดีใจมากแล้วค่ะ”

นอกจากนั้น มูลนิธิหนอนหนังสือ ยังได้สร้างศูนย์การเรียนรู้สำหรับเด็กชาติพันธุ์ในพื้นที่ห่างไกล ได้แก่ศูนย์การเรียนรู้บ้านอมยิ้ม สำหรับเด็กชาติพันธุ์ลีซู  ที่บ้านแม่แวนน้อย อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ และศูนย์การเรียนรู้บ้านพระอาทิตย์ สำหรับเด็กอาข่าและลีซู ที่บ้านอาข่าสิบหลัง ตำบลสันสลี อำเภอเวียงป่าเป้า  จังหวัดเชียงราย  

วันเด็กแห่งชาติ ปี 2568 นี้ มูลนิธิหนอนหนังสือ ก็ได้นำรถห้องสมุดเคลื่อนที่ ไปจอดบริการเด็กๆ ได้ใช้บริการ และร่วมทำกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน ที่เทศบาลตำบลแม่นะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่กันอีกด้วย 

แน่นอนว่าทุกกิจกรรมที่ทางมูลนิธิหนอนหนังสือกำลังทำอยู่นี้ ก็เพื่อจะช่วยแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ส่งเสริมให้เด็กๆ เยาวชน ในพื้นที่ห่างไกล กลุ่มพี่น้องชาติพันธุ์  รวมไปถึงกลุ่มผู้พิการ และคนชราที่ไม่สามารถออกจากบ้านได้ สามารถเข้าถึงการเรียนรู้ และการอ่าน ได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม เหมือนกับที่ โยชิมิ โฮรุจิ ได้บอกย้ำกับเราเอาไว้ว่า การอ่านหนังสือนั้นเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจ เปลี่ยนแปลงสังคมและเปลี่ยนโลกได้ 

และหากท่านใดสนใจร่วมสนับสนุนหรือสมทบทุนเพื่อกิจกรรมส่งเสริมรักการอ่าน ของห้องสมุดรังไหม สามารถติดต่อได้ที่เพจ Rang Mai Library (ห้องสมุดรังไหม) หรือติดต่อโดยตรงที่ คุณโยชิมิ โฮริอุจิ หมายเลขโทรศัพท์  083-5427283

นับถอยหลังเลือกตั้งอบจ. 68 ย้อนรอยการเมืองท้องถิ่น 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน 2547-2563

เรื่อง: ปิยชัย นาคอ่อน

การเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะถึงในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 นี้เป็นการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) จำนวน 47 จังหวัด และ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) จำนวน 76 จังหวัด ด้วยบางส่วนจัดการเลือกตั้งไปแล้ว 29 จังหวัด ทำให้การเลือกตั้งรอบนี้ไม่ครบทั่วทั้งประเทศ นอกจากนี้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นครั้งที่สองหลังจากจัดให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นแรกในปี 2563 ภายหลังการเลือกตั้งท้องถิ่นถูกแช่แข็งไปในปี พ.ศ. 2557 ในช่วงของ คสช. 

หากพูดถึงสถานการณ์การเมืองท้องถิ่นในภาคเหนือตอนบนเป็นพื้นที่ที่น่าจับตามองเนื่องจากกลุ่มบ้านใหญ่ที่ครองฐานเสียงอยู่และการเข้ามามีบทบาทของกลุ่มคณะก้าวหน้า ต้องกล่าวย้อนกลับไปในช่วงปี พ.ศ. 2547 ซึ่งจัดให้มีการเลือกตั้งนายก อบจ. โดยตรงเป็นครั้งแรก จากศึกษาของ อโณทัย วัฒนาพร อดีตอาจารย์ประจำสำนักวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งศึกษาเรื่องการแข่งขันทางการเมืองขององค์การบริหารส่วนจังหวัดใน 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน เสนอว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ. ของแต่ละจังหวัดมักจำกัดอยู่ในแวดวงของชนชั้นนำในพื้นที่นั้นๆ และผู้สมัครมักเป็นผู้สมัครคนเดิมหรือเป็นผู้สมัครกลุ่มเดิมซึ่งต่างกับผู้สมัคร ส.อบจ. ที่เป็นกลุ่มคนชนชั้นกลางแต่เข้าถึงมวลชนได้มาก อโณทัยได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า การแข่งขันในระดับ ส.อบจ. นั้นมีการผูกขาดที่น้อยกว่าในกรณีของนายก อบจ. แต่การเปลี่ยนแปลงผู้สมัครนั้นก็เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนตัวผู้ใต้อุปถัมภ์คนใหม่จากคนเก่านั่นเอง นอกจากนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวการเข้ามาของพรรคการเมืองเริ่มมีนัยยะสำคัญในการขับเคลื่อนการเลือกตั้งท้องถิ่น กล่าวคือพรรคการเมืองมีส่วนทำให้คะแนนนิยมในตัวผู้สมัครนั้นเพิ่มขึ้น แต่ยังมีบางสนามเช่นในจังหวัดลำพูนที่พรรคไม่สามารถมีอิทธิพลในการเลือกตั้งท้องถิ่นได้

ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2564 งานศึกษาของ ณัฐกร วิทิตานนท์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรื่องการแข่งขันทางการเมืองขององค์การบริหารส่วนจังหวัดใน 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบนในรอบทศวรรษ (พ.ศ. 2554-2563)  ได้วิเคราะห์ถึงปัจจัยของการเมืองท้องถิ่นภาคเหนือไว้ว่า การเมืองในกลุ่มจังหวัดล้านนาถูกเปลี่ยนไปเป็นลักษณะพรรคเดียวเด่นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่นายทักษิณ ชินวัตร ได้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย (หรือพรรคในเครือเดียวกัน) นายก อบจ. ต่างมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับพรรค แต่หลังเกิดการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในปี 2557 ก็เกิดการชะงักและแช่แข็งการเลือกตั้งท้องถิ่น เนื่องจากรัฐบาล คสช. พยายามดึงอำนาจกลับไปที่ส่วนกลาง เช่น การให้ปลัดปฏิบัติหน้าที่แทนนายก อบจ. ในกรณีที่ครบวาระ แต่ทำเช่นนี้อยู่ได้ไม่นานก็เหลือเพียงแค่การงดไม่ให้มีการจัดการเลือกตั้งท้องถิ่น จนกระทั้งปลายปี 2563 รัฐบาลมีท่าทีผ่อนคลายลงจึงกำหนดให้มีการเลือกตั้ง อบจ. พร้อมกันทั่วประเทศ 76 จังหวัด ในวันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม โดยต่อจากนี้จะเป็นการหยิบเอางานศึกษาของ ณัฐกร มาแสดงให้เห็นถึงบริบทความเคลื่อนไหวของการเมืองท้องถิ่นภาคเหนือใน 8 จังหวัด

จังหวัดเชียงราย  

การเมืองของจังหวัดเชียงรายนั้นมีลักษณะเป็นสองขั้วจากคนในนามสกุลจงสุทธานามณีซึ่งเป็นการเมืองท้องถิ่น และคนในนามสกุลติยะไพรัชซึ่งเป็นการเมืองระดับชาติ แม้พรรคไทยรักไทยจะได้ที่นั่ง สส.ยกจังหวัด แต่กลับพ่ายแพ้ให้กับการเลือกตั้ง อบจ. ซึ่งเป็นไปได้ว่าชาวเชียงรายแยกแยะระหว่างการเมืองระหว่างประเทศและการเมืองท้องถิ่นออกจากกัน ในปี 2555 การเมืองท้องถิ่นเริ่มเป็นขั้วเดียวกันทั้งภาคเหนือจากที่นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ภรรยาของนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อดีตประธานรัฐสภา และอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และ สส. จังหวัดเชียงราย ขึ้นมาเป็นผู้บริหาร อบจ. เชียงราย แต่เป็นอยู่ได้เพียงแค่ 2 ปี ก็ต้องพ้นตำแหน่งจากคดีเก่าสืบเนื่องในสมัยเลือกตั้งนายก อบจ. ครั้งแรก ปี 2547 ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งซ่อม ชัยชนะก็ยังตกเป็นของตระกูลติยะไพรัช ต่อมาได้ถูก กกต. ตัดสินให้มีการเลือกตั้งใหม่ ด้วยเหตุที่มีการให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้ตำแหน่งเป็นคุณหรือโทษให้แก่ผู้สมัคร 

สลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ภาพ: สลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช

แต่ในช่วงนั้น คสช. ประกาศไม่ให้มีการจัดเลือกตั้งท้องถิ่น จึงทำให้ อบจ. ของเชียงราย ปราศจากนายก อบจ. จนการเลือกตั้งปี 2563 นายกอบจ. คนใหม่คือนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์บุตรสาวของนายสมบูรณ์ วันไชยธนวงศ์ อดีต ส.ส. เชียงรายหลายสมัย ในขณะที่การเลือกตั้ง ส.อบจ. พบว่าการผูกขาดค่อนข้างน้อยและมีตัวเลขที่สูงกว่าจังหวัดอื่นๆ

จังหวัดพะเยา

ตำแหน่งนายก อบจ. ของพะเยานั้นเป็นของนาย ไพรัตน์ ตันบรรจง มาหลายสมัย ด้วยความที่เป็นตระกูลการเมืองที่สำคัญในจังหวัดพะเยามาอย่างยาวนาน จนในปี 2554 นายวรวิทย์ บุรณศิริ น้องชายของนายวิทยา บุรณศิริ ส.ส. อยุธยาและรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นมาเป็นนายก อบจ. แทน และในช่วงปี 2562 การเปลี่ยนแปลงขั้วทางการเมืองก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ พรรคพลังประชารัฐที่นำโดย ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ชนะเลือกตั้ง ส.ส. ถึง 2 ใน 3 ของจังหวัดพะเยา ร้อยเอกธรรมนัส จึงได้ส่ง นายอัครา พรหมเผ่า ลงสมัครนายก อบจ. พะเยาในนามกลุ่มฮักพะเยา และชนะคู่แข่งขาดลอย พะเยาจึงเป็น 1 ใน 2 จังหวัดที่พรรคเพื่อไทยไม่ได้ส่งผู้สมัครของตนลงตามที่ได้กล่าวถึงในบทความ ในขณะที่ ส.อบจ. พะเยามีความเปลี่ยนแปลงน้อยเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่น

อัครา พรหมเผ่า ภาพ: อัครา พรหมเผ่า

โดยปัจจุบันการเลือกตั้งท้องถิ่นล่าสุดของจังหวัดพะเยาได้มีการจัดการเลือกตั้งไปแล้วเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2567 โดยมีผู้ลงสมัคร 2 รายคือ นายชัยประพันธ์ สิงห์ชัย ตัวแทนคณะก้าวหน้าและนายธวัช สุทธวงค์ จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งนายธวัชเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้   

จังหวัดลำปาง

ลำปางเป็นจังหวัดที่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งติดต่อกันหลายสมัย แต่ไม่ได้เป็นพรรคไทยรักไทยเดียวทั้งหมด จากการที่มีบ้านเล็กสองหลัง คือ “สายเหนือ” พื้นที่กลุ่มบ้านสวน และ “สายใต้” พื้นที่กลุ่มดอยเงิน การเลือกตั้ง อบจ. จึงเป็นการแข่งขันของสองบ้านนี้เป็นหลัก ซึ่งกลุ่มของนายไพโรจน์สนับสนุนกลุ่มแม่วังของนางสุนี สมมี ให้ได้เป็นนายก อบจ. อย่างต่อเนื่องถึง 3 ครั้ง ส่วนของ ส.อบจ.นั้นพบว่ามีการผูกขาดมากที่สุด แม้จะเป็น ส.อบจ. หน้าใหม่ ก็ยังเป็นคนในสายสัมพันธ์เดิม

จังหวัดน่าน

นายนรินทร์ เหล่าอารยะ เป็นผู้ครองตำแหน่งนายก อบจ. มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ซึ่งเป็นเวลากว่า 20 ปี และเป็นนายก อบจ. ที่มาจากการเลือกตั้งคนแรก ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด (พ.ศ. 2563) นายนรินทร์ ตัดสินใจไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง จึงเป็นโอกาสของนายนพรัตน์ ถาวงศ์ ให้สามารถขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน ขณะที่ ส.อบจ. นั้นมีความเปลี่ยนแปลงในระดับที่สูงถึงร้อยละ 70 และเป็นจังหวัดที่มี ส.อบจ. เป็นกลุ่มคนข้ามเพศจังหวัดแรก ๆ คือ นายเกริกก้อง สวนยศ นายกสมาคมสตรีข้ามเพศแห่งประเทศไทยได้รับเลือกตั้ง

จังหวัดแพร่ 

จังหวัดแพร่ประกอบด้วยหลายขั้วทางการเมือง แต่ยังคงมีบ้านใหญ่อยู่ 3 บ้านที่โดดเด่น คือ ตระกูลศุภศิริ ตระกูลวงศ์วรรณ และตระกูลเอื้ออภิญญกุล โดยตระกูลวงศ์วรรณกับตระกูลเอื้ออภิญญกุลอยู่ปีกเดียวกับพรรคเพื่อไทย ในขณะที่ตระกูลศุภศิริอยู่ฝั่งพรรคประชาธิปัตย์และได้ถูกลดบทบาทลงจากกรณีลอบสังหาร นายแพทย์ชาญชัย ศิลปอวยชัย กลายเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างสองตระกูลที่มาจากปีกพรรคเพื่อไทย ซึ่งในปี 2563 นายอนุวัธ วงศ์วรรณ ได้รับเลือกเป็นนายก อบจ. ถึง 3 สมัย สำหรับสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนั้นมีแนวโน้มที่ ส.อบจ. คนเก่าจะกลับเข้ามาดำรงค์ตำแหน่งอีกสมัยน้อยลงเรื่อย ๆ เหตุมาจาก ส.อบจ. คนเก่ามีอายุมากขึ้นหรือไม่ลงสมัครเลือกตั้งอีก

อนุวัธ วงศ์วรรณ ภาพ: อบจ.แพร่

จังหวัดลำพูน

ลำพูนเป็นจังหวัดเดียวที่มีการเปลี่ยนตัวนายก อบจ. ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง และมีภาพของความเป็นตัวแทนพรรคการเมืองยังไม่ชัดเจนนัก จนกระทั่งการเลือกตั้งในปี 2563 พรรคเพื่อไทยได้ส่งนายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ ที่เป็นอดีตรัฐมนตรี และอดีต ส.ส. ลำพูน มาลงสมัครในนามพรรค การที่ลำพูนมีประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งมากคิดเป็นร้อยละ 77.86 เป็นลำดับสองของประเทศ ซึ่งเป็นผลให้การผูกขาดตำแหน่งลดน้อยลง

จังหวัดเชียงใหม่

อบจ.เชียงใหม่มีการแข่งขันที่สูงเนื่องจากผู้รับสมัครเลือกตั้งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีตำแหน่งสำคัญมาก่อน นอกจากนี้ปัจจัยทางพรรคการเมืองยังคงมีผลต่อการเลือกตั้งอย่างมีนัยยะ เช่นกรณีของนายธวัชวงศ์ ณ เชียงใหม่ อดีต ส.ส. เชียงใหม่ 4 สมัย ได้เป็นนายก อบจ. สมัยแรก โดยสังกัดพรรคไทยรักไทย ต่อมาตัดสินใจแยกตัวออกมาลงสมัครในนามกลุ่มฅนเจียงใหม่ แต่พ่ายแพ้ให้กับนายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ ในการเลือกตั้ง นายก อบจ. ปี 2551 แสดงให้เห็นว่าการเมืองเชียงใหม่เป็นแบบขั้วเดียวภายใต้พรรคเพื่อไทย (ไทยรักไทย) ไม่ได้ยึดติดกับตัวบุคคล และ ส.อบจ. เองก็มีการผลัดเปลี่ยนการเข้าสู่อำนาจในระดับปานกลาง

จังหวัดแม่ฮ่องสอน

แม่ฮ่องสอนเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีความเปลี่ยนแปลงในด้านบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนายก อบจ. โดยนายอัครเดช วันไชยธนวงศ์ ที่ดำรงตำแหน่ง นายก อบจ.แม่ฮ่องสอนมาแล้วกว่า 3 สมัย แม้ว่าแต่ละครั้งจะมีผู้สมัครหลายรายแข่งกันก็ตามแต่ข้อสังเกตคือ ผู้ที่สมัครลงเลือกตั้งมักไม่ได้มีพื้นเพเป็นคนแม่ฮ่องสอน ต่างกับสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลสูงเป็นอันดับต้นๆ ของภาค ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากการแบ่งเขตการเลือกตั้งใหม่

ภาพรวมการเมืองท้องถิ่นภาคเหนือสู่การเลือกตั้งปี 2568

จากงานศึกษาของ ณัฐกร แสดงให้เห็นถึงประเด็นที่น่าสนใจคือ การแข่งขันของนายก อบจ. 8 จังหวัดภาคเหนือแทบจะถูกผูกขาดโดยพรรคเพื่อไทย (พรรคไทยรักไทยเดิม) ในหลายจังหวัดและเป็นเครือข่ายมายาวนานหลายสิบปี โดยไม่มีพรรคอื่นเข้ามาเป็นคู่แข่งเท่าใดนัก บางจังหวัดแม้จะเป็นเครือข่ายพรรคเพื่อไทยเหมือนกันแต่ก็ยังมีการแข่งขันระหว่างบ้านใหญ่เพื่อชิงอำนาจทางการเมืองให้เห็น เช่น ในจังหวัดแพร่ที่ตระกูลเอื้ออภิญญกุลจะเป็นการเมืองในระดับชาติ และการเมืองท้องถิ่นจะเป็นของตระกูลวงศ์วรรณ ในขณะที่การเลือกตั้ง ส.อบจ. จะเป็นกลุ่มที่มีพลวัตมากกว่า ในบางจังหวัดอย่างจังหวัดน่านและจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่มีอัตราการเปลี่ยนตัวบุคคลสูงนั้น เกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการวางมือของผู้ลงสมัครคนเก่าหรือการเปลี่ยนเอาคนในเครือข่ายขึ้นมาแทนที่สมาชิกคนเดิม

ภาพ: พิชัย เลิศพงศ์อดิศร ว่าที่ผู้สมัครนายกอบจ.เชียงใหม่

การศึกษานี้ทำให้เห็นแนวทางในการเมืองท้องถิ่นปี 2568 ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด การเดินสายของนายทักษิณ ชินวัตร ในจังหวัดต่างๆ ก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ก็แสดงให้เห็นถึงการดึงเอาบุคคลสำคัญเข้ามาช่วยดึงฐานเสียงมวลชนเดิม เมื่อมองถึงสถานการณ์การเลือกตั้งในจังหวัดต่างๆ เริ่มจากจังหวัดเชียงราย นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัครในนามพรรคเพื่อไทยกลับมาลงแข่งกับ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ อดีตนายก อบจ. ในสมัยที่ผ่านมา โดยนายทักษิณ เข้ามาช่วยเหลือในการหาเสียงเป็นจังหวัดแรกๆ อีกด้วย ขณะเดียวกัน นางอธิตาธรที่แม้จะลงสมัครในนามอิสระ ก็ถูกจับตามองว่ามีเครือข่ายสีน้ำเงินคอยหนุนหลังอยู่ และยังคงเป็นการแข่งขันกันของบ้านใหญ่เช่นเดิม

ถัดมาในจังหวัดลำปาง นางตวงรัตน์ โล่ห์สุนทร อดีตนายก อบจ. ลำปางได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งก่อนหมดวาระเพียง 2 วันคือวันที่ 17 ธันวาคม 2567 แต่ไม่ได้มีผลกระทบกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ โดยนางตวงรัตน์จะลงสมัครนายก อบจ. ในนามพรรคเพื่อไทย นอกจากนี้ยังมีผู้ลงสมัครอีก 3 คนคือ นายดาชัย เอกปฐพี นายอธิวัฒน์ ศรีไชยยานุพันธ์ และนางสาวปกิตตา ตั้งชนินทร์ ในขณะที่น่านมีผู้ลงสมัครทั้งสิ้น 4 ราย คือ นายนพรัตน์ ถาวงศ์ ในนามพรรคเพื่อไทย พ.ท. อธิวัฒน์ เตชะบุญ, นายสันติภาพ อินทรพัฒน์ ที่ทั้งสองลงสมัครในนามอิสระ และนายเสนอ เวชสัมพันธ์

จังหวัดแพร่นำโดยนายอนุวัธ วงศ์วรรณ อดีตนายก อบจ.และทีมงานพรรคเพื่อไทย นายวรายุส กาศสนุก คณะทำงานชั่วคราวจากพรรคประชนชนและผู้สมัครอิสระ อบจ.ลำพูน มีนายวีระเดช ภู่พิสิฐ ทายาทอดีตนายก อบจ.ลำพูน นายประเสริฐ ภู่พิสิฐ ในนามพรรคประชาชน กับนายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ นายก อบจ.ลำพูนคนปัจจุบัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน นายอัครเดช วันไชยธนวงศ์ อดีตนายก อบจ. ลงสมัครในนามอิสระ นายดนุภัทร์ เชียงชุม อดีตประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่ลือว่าสังกัดพรรคประชาชน 

และจังหวัดสุดท้ายคือจังหวัดเชียงใหม่ที่นายก อบจ. คนปัจจุบันคือนายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร ซึ่งลาออกก่อนครบวาระ เช่น เดียวกันกับนางตวงรัตน์ อดีตนายก อบจ. ลำปาง ที่มีการคาดการว่าการลาออกของนายพิชัยจะเปิดพื้นที่การแข่งขันระดับท้องถิ่น และนายพิชัยเองก็ลงสมัครนายก อบจ. ด้วยเช่นกัน โดยพรรคประชาชนได้ส่งนายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ลงสมัครเป็นคู่แข่ง

ประเด็นที่น่าจับตามองในการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ การที่พรรคประชาชน (หรือพรรคก้าวไกลเดิม) ขึ้นมาเป็นคู่แข่งทางการเมืองใหม่ในพื้นที่ภาคเหนือจากการชนะการเลือกตั้ง สส. ในปี 2566 ที่ชนะการเลือกตั้งไปทั้งหมด 7 เขต จาก 10 เขต ถึงแม้จังหวัดเชียงใหม่จะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของตระกูลชินวัตรก็ตาม การเดินสายทั้งของนายทักษิณ ชินวัตรและนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในเวลาไล่เลี่ยกันถือเป็นการเดินเกมเพื่อชิงฐานเสียงที่ตนมีภายในจังหวัด ซึ่งทั้งสองพรรคมีฐานเสียงที่แตกต่างกัน ระดับฐานมวลชนที่แตกต่างกัน พรรคเพื่อไทยเป็นตัวแทนของฐานเสียงบ้านใหญ่และกลุ่มคนเสื้อแดง ในขณะที่พรรคประชาชนจะเป็นตัวแทนของกลุ่มคนรุ่นใหม่เสียมากกว่า

ซึ่งการเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้จะเป็นการเมืองที่ผูกขาดโดยพรรคเพื่อไทยหรือจะถูกแทนที่ด้วยพรรคประชาชน ถือเป็นเรื่องที่น่าติดตามกันต่อไป

ที่มา

ภาพฝันที่ถูกล้อม อนาคตข้อท้าทายกระจายอำนาจในภาคเหนือ

เกือบ 2 ปีล่วงผ่าน การอ่าน “ประกาศคณะราษฎร” ในกิจกรรม “แห่ไม้ก้ำประชาธิปไตยปักหมุดกระจายอำนาจ” โดย “คณะก่อการล้านนาใหม่” เมื่อ 24 มิถุนายน 2566 เป็นเหตุให้ยังมีผู้ถูกดำเนินคดีจากการอ่านคำประกาศดังกล่าว

กิจกรรมแห่ไม้ก้ำฯ เริ่มต้นที่หน้าอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนจะเคลื่อนขบวนบรรทุกไม้ค้ำสะหรีซึ่งเป็นประเพณีล้านนาเดิมที่ผู้คนเอาไม้ง่ามไปค้ำที่ต้นโพธิ์ในวัดเพื่อสื่อถึงการค้ำจุนพุทธศาสนา แต่ในครั้งนี้การแห่ไม้ก้ำได้ถูกนำมาสื่อถึงการค้ำจุนประชาธิปไตย ขบวนบรรทุกไม้คำสะหรีและสัญลักษณ์หมุดราษฎร ปี 2563 บนรถกระบะกว่า 10 คัน สลับกับเสียงปราศรัยมีเนื้อหากล่าวถึงความสำคัญของวันอภิวัฒน์สยาม เมื่อปี 2475 และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการกระจายอำนาจจากรัฐส่วนกลาง เพื่อการกำหนดชีวิตด้วยตัวเองไม่ต้องรอคอยอำนาจจากรัฐส่วนกลางหรือกรุงเทพฯ จากนั้นผู้ร่วมกิจกรรมได้เคลื่อนขบวนนำไม้ค้ำพร้อมป้ายข้อความติดตั้งบริเวณกลางลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ มีการตีกลองสะบัดชัย อ่านประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 ก่อนตัวแทนอ่านประกาศข้อเรียกร้องของคณะก่อการล้านนาใหม่ 3 เรื่อง ได้แก่ 1) การแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ 2) กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นเพื่อให้เป็นจังหวัดจัดการตนเอง 3) ผลักดันรัฐสวัสดิการ 

ย้อนไปหนึ่งวันก่อนหน้า (23 มิ.ย.66) มีการจัดกิจกรรม “เสวนา-รัฐธรรมนูญ-กระจายอำนาจ” ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ ซึ่งมีนักวิชาการ ภาคประชาสังคม กลุ่มการเมือง ตัวแทนจากหน่วยงานราชการ รวมไปถึงประชาชนทั้งเห็นพ้องและเห็นต่างเข้าร่วมเวที ซึ่งเดิมทีนั้นมีกำหนดการจัดที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่เนื่องด้วยงานดังกล่าวมีการคัดค้านและการแสดงความกังวลจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมว่ากิจกรรมเวทีดังกล่าวอาจนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดนและสร้างความขัดแย้งต่อสังคม คณบดีนิติศาสตร์ มช. จึงเสนอให้เปลี่ยนสถานที่จัดดังกล่าว แต่ทว่าหลังจากมีการย้ายสถานที่จัดกิจกรรมแล้วนั้น ได้มีเครือข่ายคนไทยรักชาติรักสถาบัน (ภาคเหนือ) รวมตัวตั้งขบวนแสดงออกเชิงสัญลักษณ์คัดค้านกิจกรรมของคณะก่อการล้านนาใหม่ และจับตากิจกรรมที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น

ท้ายที่สุด เหตุการณ์ในครั้งนั้นจบลงด้วยการฟ้องคดี 3 นักศึกษา 1 นักกิจกรรม ตามมาในเดือนพฤศจิกายน 2566 รวม 4 คน ได้แก่ วัชรภัทร ธรรมจักร, ธีราภรณ์ พุดทะสี, เบญจภัทร ธงนันตา และชาติชาย ธรรมโม โดยเจ้าหน้าที่ทหารของมณฑลทหารบกที่ 33 ฟ้องข้อกล่าวหาจากกรณีทำกิจกรรมอ่านคำประกาศคณะราษฏร ฉบับที่ 1 ที่อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2566 ซึ่งจัดขึ้นโดย “คณะก่อการล้านนาใหม่” รวม 6 ข้อกล่าวหา ได้แก่ 

  1. ข้อหา “ยุยงปลุกปั่นฯ” หรือร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใด มิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116
  2. ข้อหาร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (3)
  3. ข้อหาร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุม แต่ไม่แจ้งการชุมนุมสาธารณะ ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 มาตรา 10 ประกอบมาตรา 28
  4. ข้อหาตั้งวางสิ่งของกีดขวางทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 385
  5. ข้อหาใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้า โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493 มาตรา 4 ประกอบมาตรา 9 วรรค 1
  6. ข้อหาตั้งวางหรือกองวัตถุใดๆ เพื่อการชุมนุมสาธารณะ อันเป็นทางสาธารณะ ตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ 

‘วัชรภัทร ธรรมจักร’ ตัวแทนอ่านคำประกาศ เล่าย้อนว่าตั้งแต่เขาทำกิจกรรมนักศึกษาพบว่ามีการจัดกิจกรรมรำลึกเหตุการณ์ 24 มิถุนาเกือบทุกปี และในแต่ละปีก็มักมีคนอ่านประกาศคณะราษฎรมาตลอดแต่ไม่เคยมีใครถูกดำเนินคดีมาก่อน 

“เราแจ้งชุมนุมเรียบร้อยแล้วครับ ผมต้องย้ำว่าทำเป็นประจำทุกปี ปีก่อนผมก็ไป ปีนั้นก็ท่องบทนี้เหมือนกันแต่ไม่มีการดำเนินคดีแต่ปีนี้มี”

วัชรภัทร ธรรมจักร

เวลาผ่านไปเกือบสองปีแต่ทว่าคดีนี้ยังคงไม่สิ้นสุด หลังจากรับทราบข้อกล่าวหาและให้การปฏิเสธแล้ว ผู้ถูกกล่าวหายังต้องไปยื่นคำให้การเพิ่มเติมเป็นลายลักษณ์อักษร โดยพวกเขายืนยันว่าประกาศทั้งสองฉบับไม่ได้เข้าข่ายการกระทำความผิดตามมาตรา 116 เนื่องจากเป็นการใช้เสรีภาพในการแสดงออกซึ่งได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ อีกทั้งประกาศคณะราษฎรก็เป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่มีการเผยแพร่โดยทั่วไปและไม่ได้ถูกห้ามเผยแพร่ 

อย่างไรก็ตาม คดีนี้ยังอยู่ในชั้นของพนักงานสอบสวนและตำรวจยังเรียกกลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ไปสอบสวนเพิ่มเติมอีกในช่วงปลายเดือนเมษายน 2567 และได้มีการจัดให้เจ้าหน้าที่เข้ามาสอบสวนทั้ง 4 คน เพิ่มเติมที่คณะนิติศาสตร์ ในเดือนกรกฎาคม 2567 อีกครั้ง 

“มันเสียเวลาชีวิตมากถ้าสมมติประกอบอาชีพก็เสียรายได้ ถ้าเรียนอยู่ก็ไม่ได้ไปเรียนต้องไปตามหมาย ถ้าไม่ไปตามหมายก็โดนจับ มันยังมีมิติของสภาพจิตใจอีก ช่วงที่มันพีคมากก็ถึงขั้นต้องต้องคุยกับนักจิตฯ รวมไปถึงมันเป็นปัญหาเรื่องครอบครัวซึ่งเขาไม่ได้ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เรากำลังสื่อสารแต่เพราะไม่อยากให้มีคดีก็คือเป็นห่วง ซึ่งผมเคยถึงขั้นไม่คุยกับแม่เลยเป็นปี เวลาโดนคดีเราไม่ได้เครียดคนเดียวที่เครียดมากกว่าอาจจะเป็นพ่อหรือแม่หรือผู้ปกครอง มันเหมือน SLAAP เป็นการฟ้องปิดปากไม่ให้เขาทำแบบนี้อีกถ้ายังกระเหี้ยนกระหือรือกับรัฐอยู่ก็จะโดนแบบนี้ แล้วมึงโดนไม่เท่าไรพ่อแม่มึงล่ะอาชีพมึงล่ะอนาคตมึงล่ะ มันเป็นฟังก์ชันเป็นโซลูชั่นในการดำเนินการกับคนที่เห็นต่างกับรัฐ ถ้าใครจิตไม่แข็งหรือว่าต่อให้จิตแข็งก็จะรู้สึกเหนื่อย ไหนต้องไปรายงานตัวกับตำรวจไหนจะสอบเพิ่มเติมอีก ไหนจะต้องไปนัดอัยการ ไหนจะขึ้นศาล คือมันเสียเวลาไปหมดครับ ผมคิดว่าไม่ควรฟ้อง ม. 116 ด้วย พวกเราเพียงแค่เรียกร้องแก้รัฐธรรมนูญ มันรุนแรงเกินไปและคิดว่าไม่เข้าองค์ประกอบความผิดเลยด้วย” วัชรภัทร กล่าว

ปัจจุบันก้าวเข้าสู่ปี 2568 แล้ว แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่ากระบวนการยุติธรรมในครั้งจะสิ้นสุดลงอย่างไร

การปรากฏตัวของคณะก่อการล้านนาใหม่

“คณะก่อการล้านนาใหม่” ก่อตั้งขึ้นปี 2564 ประกอบไปด้วยสมาชิกหลากหลายในภาคเหนือตอนบน ทั้งนักศึกษา เยาวชนคนรุ่นใหม่ นักกิจกรรมที่คว่ำหวอดในวงการเคลื่อนไหวต่อสู้ปกป้องทรัพยากร เกษตรกร นักวิชาการ สื่อมวลชน ภาคประชาสังคม และกลุ่มชนเผ่าพื้นเมือง ผู้ซึ่งเผชิญกับความไม่เป็นธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นรากฐานของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของตน ทรัพยากรเหล่านี้ถูกควบคุมโดยกลุ่มชนชั้นนำและกีดกันประชาชนในท้องถิ่นในการเลือกพัฒนาชุมชนของตัวเอง สถานการณ์ดังกล่าวผลักดันให้ประชาชนในพื้นที่ลุกขึ้นรวมตัวเพื่อทวงคืนสิทธิและเรียกร้องการออกแบบการจัดการชีวิตของตนเอง 

ก่อนหน้านี้พบว่ามีผู้คนหลายกลุ่มแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางและมีการเรียกร้องให้เกิดการกระจายอำนาจอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้คลื่นกระจายอำนาจละลอกใหม่ที่เรียกตัวเองว่าคณะก่อการล้านนาใหม่ พวกเขาจึงพยายามรวบรวมคนหลากหลายวัยและรวมเอาชนพื้นเมืองที่ดำรงชีพในป่าผู้ซึ่งถูกทำให้เสียงแผ่วเบาโดยเฉพาะเมื่อถูกเบียดขับให้ห่างไกลจากศูนย์กลาง การปรากฏตัวของพวกเขาก็เพื่อส่งเสียงว่าการรวมอำนาจตัดสินใจทางนโยบายหรือการออกกฎหมายจากชนชั้นนำได้ลิดรอนสิทธิตามรัฐธรรมนูญของพวกเขา ท้องถิ่นหลายแห่งโดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลไม่สามารถใช้ทรัพยากรในพื้นที่ของตนอย่างมีประสิทธิภาพ และในบางกรณีเกิดความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาท้องถิ่นระหว่างชนบทและเมืองใหญ่ การกระจายอำนาจของพวกเขาจึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการบริหารจัดการเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับสิทธิและความเป็นธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรของทุกคนด้วย

กิจกรรมเสวนา “รื้อประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์จากชาวเขาสู่ชนเผ่าพื้นเมือง” เนื่องในวันชนเผ่าพื้นเมืองสากล 9 ส.ค. 2566

ภาคเหนือปมขัดแย้งใต้เงารัฐรวมศูนย์

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดถึงปัญหาความขัดแย้งระหว่างนโยบายของรัฐกับสิทธิชุมชนและวิถีชีวิตของชาวบ้านคือนโยบาย “ทวงคืนผืนป่า” ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐไทยที่มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ของประเทศ โดยเฉพาะในภาคเหนือ นโยบายนี้เริ่มดำเนินการอย่างจริงจังในช่วงปี พ.ศ. 2557 ภายใต้คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยเป้าหมายของนโยบายคือเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ของประเทศให้บรรลุเป้าหมาย 40% ของพื้นที่ทั้งประเทศ ตลอด 8 ปีของนโยบายฯ มีคดีความที่เกี่ยวข้องกับการบุกรุกป่าไม่ต่ำกว่า 46,000 คดี 

“แสงเดือน ตินยอด” หญิงวัย 55 ปี ชาวบ้านแม่กวัก อำเภองาว จังหวัดลำปาง เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายทวงคืนผืนป่าที่มีลักษณะรวมศูนย์อำนาจ กรณีนี้เจ้าหน้าที่รัฐในสังกัดกรมป่าไม้และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ จับกุมดำเนินคดีตัดฟันพืชผลและชาวบ้านต้องถูกให้ออกจากพื้นที่ทำกินเดิม เพื่อเป้าหมายเพิ่มพื้นที่ป่า 40% ตามนโยบาย

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อพื้นที่ที่เธออาศัยและทำกินมานานราว 10 ไร่ กลับถูกประกาศเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ต่อมากรมป่าไม้อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าทำประโยชน์และอยู่อาศัยในพื้นที่ โดยออกใบอนุญาตทำกิน (สทก.1) และส่งเสริมให้ปลูกยางพารา ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อมีคำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 หรือ “นโยบายทวงคืนผืนป่า” เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไทและป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่โป่ง สั่งให้แสงเดือนตัดฟันต้นยางพารา 2 ครั้ง ในปี 2556 และ 2558 แสงเดือนถูกดำเนินคดีในปี 2561 ข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติโดยเจตนา ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องเนื่องจากเห็นว่าแสงเดือนทำกินในพื้นที่มาก่อนการประกาศเป็นป่าสงวน และเธอปฏิบัติตามนโยบาย “โฉนดชุมชน” 

แต่เรื่องราวยังไม่จบลงโดยง่าย หน่วยงานรัฐกลับยื่นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาสั่งจำคุกแสงเดือน 1 ปี ไม่รอลงอาญา พร้อมจ่ายค่าเสียหาย 4 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 เปอร์เซ็นต์ นับตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2561 รวมทั้งให้แสงเดือนออกจากพื้นที่และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง กระทั่งจะมีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 28 ก.ย. 2566 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ รอลงอาญา 2 ปี 

ที่มาภาพ: วิศรุต ศรีจันทร์

สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) ลำปางระบุว่าเหตุการณ์นี้เป็นภาพสะท้อนนโยบายใหญ่ที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะนโยบายเพิ่มพื้นที่ป่า ตั้งแต่แผนแม่บทป่าไม้ฯ ที่กำหนดว่าประเทศไทยต้องมีพื้นที่ป่า 40% ของประเทศ รวมถึงนโยบายของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีความพยายามในการส่งเสริมปลูกป่าเพื่อค้าคาร์บอนเครดิต นโยบาย “Net Zero” หรือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ที่จะสัมพันธ์โดยตรงต่อ “การแย่งยึดที่ดินชุมชนท้องถิ่นในพื้นที่เขตป่า” และจะส่งผลต่อการยึดพื้นที่ทำกินของชาวบ้านด้วยมาตรการทางกฎหมายป่าไม้ โดยมีทั้งพื้นที่ที่ถูกดำเนินคดีและกำลังเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดี ซึ่งจะเป็นเป้าหมายหลักในการนำมาดำเนินโครงการปลูกป่า 

แม้ว่าพื้นที่ภาคเหนือจะมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แต่การจัดการทรัพยากรเหล่านี้กลับเต็มไปด้วยปัญหา หลายครั้งการจัดสรรทรัพยากรถูกกำหนดจากส่วนกลางโดยไม่ได้คำนึงถึงความต้องการหรือความเห็นของคนในพื้นที่อย่างเพียงพอ กลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สูงมักได้รับผลกระทบจากนโยบายการจัดการป่าไม้และที่ดิน ซึ่งไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและความเชื่อของพวกเขา รัฐใช้อำนาจผ่านกฎหมายเพื่อกดทับชนเผ่าพื้นเมือง เช่น การขับไล่ออกจากพื้นที่บรรพบุรุษ การประกาศพื้นที่อุทยานที่ทับซ้อนกับที่ทำกินดั้งเดิม หรือแม้กระทั่งการห้ามเผาเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก เจ้าหน้าที่มักกล่าวหาว่าชนเผ่าพื้นเมืองบุกรุกป่า ทั้งที่พื้นที่เหล่านั้นเป็นที่ทำกินและที่อยู่อาศัยที่พวกเขาสืบทอดมาอย่างยาวนาน การจัดสรรทรัพยากรในลักษณะนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของพวกเขา แต่ยังสร้างความขัดแย้งระหว่างชุมชนท้องถิ่นกับภาครัฐ สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงการใช้อำนาจรัฐที่กำหนดชะตาชีวิตของผู้คนที่ดำรงชีวิตพึ่งพิงป่าอย่างลึกซึ้ง คนเหล่านี้ไม่ได้สูญเสียเพียงทรัพย์สิน แต่ยังเผยให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังลึกในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน นั่นคืออคติและความเข้าใจผิดต่อวิถีชีวิตที่ผูกพันกับภูมิปัญญาท้องถิ่นและธรรมชาติ 

จากใต้จรดเหนือบรรยากาศไม่เอื้อกระจายอำนาจ 

จากภาคใต้สู่ภาคเหนือกิจกรรมรณรงค์กระจายอำนาจในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกัน กลายเป็นเรื่องถูกจับตา ส่งต่อ และขยายความบนโลกออนไลน์ รวมทั้งมีการเคลื่อนไหวตรวจสอบของหน่วยงานความมั่นคง

นับตั้งแต่กิจกรรมประชามติจำลองเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566 กลุ่มนักศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้มีการรวมตัวกันในชื่อ “ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ” (Pelajar Bangsa) ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี โดยมีวาระสำคัญคือการเปิดตัวกลุ่มองค์กรนักศึกษาและมีการปาฐกถาประเด็นสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง (Self Determination) กิจกรรมเสวนามีการเชิญตัวแทนพรรคการเมืองเข้าร่วม พร้อมจัดกิจกรรมประชามติจำลองเพื่อสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปแบบการปกครองปาตานี โดยเปิดให้ผู้เข้าร่วมแสดงความเห็นระหว่างลงทะเบียน พวกเขาเห็นว่าการทำประชามติจำลองเป็นการแสดงออกถึงสิทธิการกำหนดชะตากรรมตนเอง หรือ Rights to self-determination (RSD) ผ่านประชามติซึ่งเป็นสิทธิของประชาชน กิจกรรมดังกล่าวกลายเป็นที่จับตาและถูกส่งต่อ รวมถึงขยายความในโลกออนไลน์ จนหน่วยงานความมั่นคงเริ่มมีการตรวจสอบความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด

สำหรับเนื้อหาบนบัตรแสดงความคิดเห็นในประชามติจำลอง มีคำถามระบุว่า “คุณเห็นด้วยกับสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเองหรือไม่ ที่จะให้ประชาชนปาตานีสามารถออกเสียงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชได้อย่างถูกกฎหมาย”

ตัวแทนนักศึกษาที่จัดงานชี้แจงว่าจุดประสงค์ของกิจกรรมนี้คือการเปิดพื้นที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอนาคตของพื้นที่ชายแดนใต้ไม่ใช่การสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน บัตรสอบถามประชามติเป็นการจำลองสอบถามความเห็นสิทธิการกำหนดชะตากรรมตนเอง และยอมรับว่าการใช้คำว่า “เอกราช” หรือ “แบ่งแยกดินแดน” อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและถูกนำไปตีความได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญประเด็นชายแดนใต้มองว่ากิจกรรมนี้เป็นเวทีวิชาการเนื่องจากองค์ประกอบของผู้เข้าร่วมและเนื้อหาการพูดคุยเน้นไปที่การถกเถียงเชิงวิชาการเป็นหลัก

ที่มาภาพ: ประชาไท

กรณีคณะก่อการล้านนาใหม่ มีเครือข่ายคนไทยรักชาติรักสถาบัน (ภาคเหนือ) รวมตัวกันแสดงออกคัดค้านการจัดงานเสวนาวาระรัฐธรรมนูญ-กระจายอำนาจ ซึ่งมีธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้าเป็นผู้ปาฐกถาภาพรวมการกระจายอำนาจ เครือข่ายคนไทยรักชาติฯ ให้เหตุผลว่าไม่เห็นด้วยกับการจัดเสวนาดังกล่าวเพราะเชื่อว่าเสวนาวิชาการครั้งนี้มีการเชิญวิทยากรเฉพาะกลุ่มที่มีแนวคิดไม่หลากหลาย จึงเป็นห่วงว่าอาจเป็นการยุยงปลุกปั่นและแฝงแนวคิดบางอย่างที่ชักนำทำให้ประชาชนและประเทศชาติเกิดความแตกแยก ผู้เข้าร่วมขบวนมีการชูป้ายในทำนองคัดค้านการแบ่งแยกดินแดน นอกจากนั้นสมาชิกเครือข่ายฯ ประกาศว่าจะเดินทางไปร่วมทุกๆ กิจกรรมของคณะก่อการฯ เพื่อปกป้องสถาบันอีกด้วยเนื่องจากเป็นห่วงเรื่องการสร้างความแตกแยกในสังคม การแบ่งแยกดินแดน รวมถึงขบวนการล้างสมองเยาวชน ซึ่งเดิมทีการเสวนาดังกล่าวนี้มีกำหนดจัดขึ้นที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งก่อนหน้านั้นเครือข่ายคนไทยรักชาติรักสถาบันได้ยื่นหนังสือถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยคัดค้านการจัดกิจกรรมดังกล่าวในพื้นที่มหาวิทยาลัย เนื่องจากเชื่อว่ามีลักษณะเข้าข่ายการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยกและแอบแฝงแนวคิดการแบ่งแยกการปกครองโดยมีบางพรรคการเมืองอยู่เบื้องหลัง จนกระทั่งผู้จัดงานมีการย้ายสถานที่เป็นโรงแรมไอบิส

หลังจากนั้น ผู้จัดการสุดสัปดาห์มีการรายงานข่าวในวันที่ 1 กรกฎาคา 2567 โดยพาดหัวข่าวว่า “หอมกลิ่นแยกดินแดน! จาก “ปาตานี” ถึง “ล้านนา” ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม!?” มีเนื้อหาย้ำว่า “สปป.ล้านนา” เป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวเรื่องการแบ่งแยกดินแดนล้านนาออกจากประเทศไทย 

ด้าน “วัชรภัทร” ผู้เข้าร่วมกิจกรรมของคณะก่อการล้านนาใหม่ชี้แจงว่าภาคประชาชนมีการรณรงค์เรื่องกระจายอำนาจในภาคเหนือมาอย่างยาวนานเพื่อแก้ไขปัญหาท้องถิ่นและไม่ได้เป็นพวกเดียวกับพรรคการเมืองใดการเมืองหนึ่ง 

“ผมมองว่าเรามีประเด็นร่วมกันมากกว่า ทุกคนมีความคิดเห็นร่วมกันในประเด็นปัญหานี้จึงมาร่วมกัน วันนั้นผมยืนยันได้ว่าเราเชิญทางภาครัฐแล้วก็คนที่ทั้งเห็นตรงและไม่เห็นตรงมาร่วมถกเถียงแลกเปลี่ยนกันด้วย แต่ประเด็นปัญหาเขาไม่มาอย่างนั้นเลย ก็เลยทําให้กลุ่มการเมืองอีกฝั่งหนึ่งเขาคิดว่ากีดกันฝั่งเขาหรือเปล่า จนมันไปถูกนําเสนอผ่านสื่อต่างๆ มันก็เลยทําให้คนอ่านข่าวเข้าใจว่าเชิญแต่นักวิชาการฝั่งตัวเอง”

“ใครเห็นตรง เห็นไม่ตรงหรือไม่เห็นร่วมสามารถมาร่วมแลกเปลี่ยนกันได้ เพราะมันจะมีช่วงฟรีเวทีเพื่อมาถกกัน ซึ่งแม้แต่คนที่เห็นด้วยกันเห็นร่วมกันว่าจะต้องมีการกระจายอํานาจก็ถกกันนะ คือเราเหมือนได้มาเปิดมิติใหม่เรื่องโครงสร้างอํานาจแบบราชการไทย เราจะเห็นปัญหาที่มันยุ่งเหยิงกันมากเลย อย่างเช่นถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อก็ไม่รู้ว่าหน่วยงานไหนต้องเป็นคนรับผิดชอบ โยนให้กันไปมาจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังบางครั้งไม่มีอำนาจสั่งการ ผมคิดว่าทุกคนพยายามอยากให้มาร่วมเพราะเราจะได้เห็นเลยว่า มิติมุมมองการกระจายอํานาจของเราหรือการคงอยู่ของอีกฝ่ายหนึ่งเนี่ยมันจะเป็นไปในรูปแบบไหน ต่างคนต่างเหตุผลกันไปอย่างไร แล้วสุดท้ายแล้วมันจะไปในทิศทางไหนดี ก็ยังอยากให้เกิดการแลกเปลี่ยนนะครับ”

“อีกอย่างในงานมีการถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กด้วย ตั้งแต่เสวนารวมไปถึงการแห่ขบวนซึ่งมันก็ค่อนข้างชัดว่าเราก็สื่อสารกับสาธารณะด้วย ไม่ได้เป็นเหตุการณ์ต้องปกปิดหรือปิดบัง”

ที่มาภาพ: ผู้จัดการออนไลน์

เหตุการณ์ในครั้งนั้นจบลงด้วยการฟ้องคดีโดยอดีตผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 มอบอำนาจให้นายทหารไปฟ้องที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ ในส่วนของวัชรภัทรถูกระบุว่าเขาเป็นผู้อ่านคำประกาศของคณะราษฎร เมื่อ 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งผู้กล่าวหาอ้างว่าการนำประกาศฉบับดังกล่าวมาอ่านอีกครั้งในปี 2566 ทำให้เข้าใจได้ว่าผู้ต้องหากับพวกมีแนวคิดเชิญชวนบุคคลที่ได้รับฟังเกิดความกระด้างกระเดื่อง ไม่เคารพกฎหมายหรืออาจล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน

อย่างไรก็ดี ในห้วงยามที่มีการรณรงค์เรียกร้องกระจายอำนาจเจ้าหน้าที่รัฐมีการบังคับใช้กฎหมายในการดำเนินคดีความ ใช้กฎหมายเพื่อขัดขวางปิดกั้นและควบคุมกิจกรรมอันเกี่ยวเนื่องกับการใช้สิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เนื่องจากเป็นกฎหมายที่เปิดช่องทางให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินคดีกับใครก็ตามที่วิพากษ์วิจารณ์องค์กรหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ควบคู่ไปกับการใช้กฎหมายอาญามาตรา 116 ในการดำเนินคดีผู้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล นอกจากนั้นสื่อออนไลนที่เผยแพร่เนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลต่างต้องเผชิญกับการถูกปิดกั้น ถูกดำเนินคดี แม้กระทั่งข้อเสนอเรื่องกระจายอำนาจที่มุ่งหวังสร้างสังคมที่เท่าเทียม ก็ถูกต่อต้าน ขัดขวาง รวมไปถึงประชาชนที่แสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์มักถูกคุกคามโดยเจ้าหน้าที่รัฐหรือกลุ่มสนับสนุนรัฐบาลอีกด้วย 

เกือบ 2 ปีแล้ว ที่วัชรภัทรและสมาชิกคณะก่อการล้านนาใหม่ต้องเผชิญกับบรรยากาศที่ไม่เอื้อต่อการพูดประเด็นกระจายอำนาจซ้ำยังต้องใช้เวลาไปกับการต่อสู้คดี แต่วัชรภัทรยังคงยืนยันเคลื่อนไหวเรียกร้องกระจายอำนาจ หนึ่งในแนวทางที่เขาเชื่อว่าจะเป็นทางออกของสังคมที่เขาฝันถึง

“มันเป็นสิ่งที่เราต้องจ่ายทั้งที่ไม่ควรต้องจ่ายในสังคมประชาธิปไตย เราถูกกล่าวหาร้ายแรงนะเรื่องแบ่งแยกดินแดน ผมคิดว่าตัวผมเองก็ยังจะทําต่อครับ ต่อให้ผมไม่ทําต่อผมว่าก็มีคนทําต่อเพราะว่ามันยังเป็นปัญหาที่ไม่ได้ถูกแก้ไข ผมมองว่าสิ่งที่เราทําเราต้องยันในหลักการว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิด ในที่นี้ไม่ได้ผิดทั้งกฎหมายและไม่ได้ผิดทั้งมิติเชิงสังคม ถ้ามีคนมองแบบเราแบบมิติที่เราคิดเยอะมากขึ้นเท่าไรในสังคมปัญหาเหล่านั้นน่าจะถูกได้รับการแก้ไขมากขึ้นเท่านั้น ผมเชื่อลึกๆ ว่ามันจะมีการเปลี่ยนแปลง”

“เขาลบตัวตนชนเผ่าพื้นเมืองในไทยออกไป” ฟังเสียงเยาวชนชาติพันธุ์ หลังมติสภาฯ ปัดตกคำว่า ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’ ใน ร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ 

เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา สภาฯ ได้ลงมติ 252 เสียง ต่อ 153 เสียง ‘ปัดตก’ คำว่า ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’ ในมาตรา 3 ของร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ หรือ พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ อันเป็นข้อเสนอของ กมธ.เสียงข้างน้อย ที่ให้ระบุในมาตรา 3 ว่า ‘กลุ่มชาติพันธุ์ หมายรวมถึงชนเผ่าพื้นเมืองฯ’ โดย สส.บางส่วนให้เหตุผลว่าจะกระทบต่อความมั่นคงของชาติ จนอาจนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดนได้ในอนาคต 

จากกรณีดังกล่าว Lanner ได้พูดคุยกับ สุพรรณษา จันทร์ไทย ผู้ประสานงานเครือข่ายเด็กและเยาวชนต้นกล้าชนเผ่าพื้นเมือง ตัวแทนชนเผ่าพื้นเมืองไททรงดำ ที่เผยว่า เธอรู้สึกผิดหวังกับมติสภาฯ ที่ปัดตกคำว่าชนเผ่าพื้นเมืองในร่าง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ฯ และมองว่าการกระทำนี้เหมือนเป็นการพยายามลบตัวตนของชนเผ่าพื้นเมืองที่มีในไทยออกไป 

สุพรรณษา จันทร์ไทย

“เรามองว่า คำว่า ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’ เป็นคำที่ระบุตัวตนได้ชัดเจนที่สุดว่าเราคือใคร การที่เขาปัดตกคำนี้ออกไป มันกลายเป็นว่าพวกเขากำลังลบตัวตนของคนที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทยออกไปด้วย ทั้งที่เราก็พยายามที่จะรณรงค์ให้เห็นมาโดยตลอดว่าประเทศไทยมีชนเผ่าพื้นเมืองอยู่หลากหลายกลุ่ม”

สุพรรณษาเล่าอีกว่าเธอคาดหวังใน ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ฉบับนี้คือการที่กลุ่มชาติพันธุ์ที่รวมไปถึงชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย ถูกยอมรับ และมีสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองอย่างแท้จริงตามชื่อของตัว พ.ร.บ. เพื่อให้พวกเขาได้มีสิทธิเท่ากันกับประชาชนทั่วไป และไม่ต้องถูกกีดกันหรือกดดันให้ต้องออกห่างจากวิถีชีวิตในแบบของพวกเขาเอง 

“สิ่งที่เราคาดหวังตั้งแต่เริ่มร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ คือ เราหวังให้ทุกคนยอมรับกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองที่อยู่ในประเทศไทย ซึ่งตอนนี้มันได้ถูกปัดตกไปแล้ว แต่หลังจากนี้ ถ้า พ.ร.บ. ตัวนี้มันได้เกิดขึ้นจริงๆ เราอยากให้สามารถช่วยคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองจริงๆ ตามชื่อของมัน ให้คนข้างนอกเกิดการยอมรับจริงๆ และทำให้กลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองได้มีสิทธิเท่าเทียมกับทุกคน โดยไม่เป็นการกดทับหรือบีบบังคับให้กลุ่มชาติพันธุ์ต้องออกห่างจากวิถีชีวิตของตนเอง”

แม้คำว่าชนเผ่าพื้นเมืองจะถูกปัดตกจากมติของสภาฯ ไปแล้ว แต่สุพรรณษา ก็ยังบอกว่าเธอและเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองจะยังคงรณรงค์ให้ใช้คำว่าชนเผ่าพื้นเมืองในการระบุตัวตนต่อไป เพื่อให้เห็นว่าชนเผ่าพื้นเมืองเองก็มีตัวตน เป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย

“สุดท้ายแล้ว การที่ตัว พ.ร.บ. ฉบับนี้ จะไม่มีคำว่าชนเผ่าพื้นเมือง แต่ตัวเราเองรวมถึงเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองทุกคนก็จะยังพยายามรณรงค์ให้ใช้คำว่าชนเผ่าพื้นเมืองภายในกลุ่มของเราเอง และพยายามจะสื่อสารอย่างต่อเนื่องว่าพวกเรายังเป็นกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองที่อยู่ในประเทศไทย ที่มีเอกลักษณ์ มีวิถีชีวิตที่ค่อนข้างชัดเจน เด่นชัด เรายังจะทำต่อเนื่อง ทำต่อไป”

‘กมธ.ทหาร’ เคาะแก้พิพาทที่ทหารทับชุมชน จ.ลำปาง ยึดแผนที่ร่วมกรมป่าไม้ปี 62 หวังเพิกถอนที่ทหาร 4.7 พันไร่

ภาพ: มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ

เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ประธานคณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยชลธี เชื้อน้อย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลำปาง เขต 3, นายอำเภอแม่เมาะ, ผู้บังคับกองร้อยฝึกรบพิเศษที่ 3, ผู้แทนสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 ลำปาง, นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านดง, ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านดง และประชาชนในพื้นที่ ต.บ้านดง ได้ลงพื้นที่และประชุมเพื่อศึกษาข้อเท็จจริงกรณีปัญหาข้อพิพาทในการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ระหว่างราษฎรกับค่ายฝึกรบพิเศษที่ 3 ณ บ้านจำปุย ม.4 ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง และองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านดง

กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากเนื่องด้วยราษฎรในบ้านท่าสี ม.3 และบ้านจำปุย บ้านปงผักหละ บ้านห้วยตาด ม.4 ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง ซึ่งเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ภายหลังได้มีหน่วยงานราชการ ได้แก่ กองทัพบก กระทรวงกลาโหม ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ให้ใช้พื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่เมาะ ในท้องที่ ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง เนื้อที่ 45,156 ไร่ 1 งาน ตั้งแต่ปี 2516 เพื่อกระทำการสร้างค่ายพักและฝึกต่อสู้ปราบปรามผู้ก่อความไม่สงบ โดยมีค่ายฝึกรบพิเศษที่ 3 ประตูผา เป็นผู้ดูแลพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมาราษฎรได้รับผลกระทบจากการขออนุญาตใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติของกองทัพบก กระทรวงกลาโหม ทับซ้อนกับพื้นที่ชุมชน ส่งผลให้เกิดข้อพิพาทระหว่างราษฎรและทหาร สร้างปัญหาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรที่ใช้พื้นที่ดังกล่าว

ภาพ: มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ

พชร คำชำนาญ ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ให้ข้อมูลว่า ชุมชนได้รับผลกระทบจากการทับซ้อนแนวเขตดังกล่าวอย่างน้อย 3 กรณี ได้แก่

1. เมื่อเดือนมีนาคม 2566 ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาตรวจยึดพื้นที่ทำกินของชาวบ้านห้วยตาด ราว 59 แปลง เนื้อที่ราว 359 ไร่ ซึ่งกระทบชาวบ้านอย่างน้อย 40 ครอบครัว โดยการตรวจยึดเจ้าหน้าที่ทหารอ้างว่าชาวบ้านได้บุกรุกพื้นที่หลังปี 2545 ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 30 มิ.ย. 2541 โดยขณะนี้ชาวบ้านที่ถูกตรวจยึดพื้นที่ แม้จะสามารถทำกินได้ในปีที่ผ่านมา แต่ไม่มีหลักประกันว่าในฤดูกาลเพาะปลูกปีนี้จะสามารถทำกินได้ และชาวบ้านเกรงจะจะถูกดำเนินคดี

2. ชาวบ้านไม่สามารถเข้าสู่โครงการจัดที่ทำกินตามนโยบายของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ได้ ซึ่งเป็นการจัดที่ดินตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 26 พ.ย. 2561 โดยกรมป่าไม้ต้องจัดที่ทำกินให้ชุมชนตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว แต่ปัจจุบันชุมชนไม่สามารถเข้าสู่เงื่อนไขการจัดที่ดินดังกล่าวได้ เนื่องจากกองทัพบก กระทรวงกลาโหม ยังไม่ส่งมอบที่ดินคืนกรมป่าไม้ ทำให้ขณะนี้ชาวบ้านต้องอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินอย่างผิดกฎหมายและไม่มีแนวนโยบายของรัฐบาลรองรับ

3. การมีที่ดินทำกินและพื้นที่บางส่วนของป่าชุมชนทับซ้อนกับที่ดินของกองทัพบก สร้างความหวาดระแวงในการใช้ชีวิตตามวิถีของชุมชน อาทิ การเก็บหาของป่าและใช้ประโยชน์จากป่าที่ชุมชนดูแลรักษา นอกจากนั้นการที่แนวเขตทับซ้อนไม่ชัดเจน อาจมีการลาดตระเวนในพื้นที่และการซ้อมรบซึ่งสร้างความหวาดกลัวต่อชุมชนด้วยเช่นกัน

“ชาวบ้านมีประวัติศาสตร์การก่อตั้งชุมชนอยู่มาก่อนเขตป่าสงวนแห่งชาติ และแน่นอนว่าอยู่มาก่อนที่ดินทหาร แต่ขณะนี้ชาวบ้านไม่อาจวางใจได้ว่าจะยังสามารถทำกินได้หรือไม่ในฤดูกาลเพาะปลูกปีนี้ซึ่งกำลังจะมาถึงอีกไม่กี่วันข้างหน้า แม้จะมีคนบุกรุกจริงบ้าง แต่ไม่ควรเหมารวมว่าชาวบ้านทั้งหมดรุกที่ทหารแล้วให้ชาวบ้านเซ็นยินยอมว่าบุกรุก รวมถึงพื้นที่ทหารที่ยังทับซ้อนกับที่ทำกินของชาวบ้านอยู่จนชาวบ้านไร้สิทธิในที่ดิน ก็ต้องตั้งคำถามถึงทั้งกระทรวงกลาโหมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย ว่าหากไม่ดำเนินการแก้ปัญหาแล้วชาวบ้านเสียสิทธิ์ จะรับผิดชอบอย่างไร” พชร คำชำนาญ กล่าว

ขณะที่การประชุมที่จัดโดยคณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ณ องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านดง ได้มีชาวบ้านจากทั้งบ้านท่าสี ม.3 และบ้านจำปุย ปงผักหละ ห้วยตาด ม.4 ประมาณ 200 คน ติดตามถ่ายทอดสดการประชุมอยู่ด้านนอกอาคาร และมีตัวแทนเข้าเจรจาในห้องประชุม ได้แก่ ผู้ใหญ่บ้านบ้านท่าสี ม.3, ผู้ใหญ่บ้านบ้านท่าสี ปงผักหละ ห้วยตาด ม.4 รวมถึงแนวร่วม ได้แก่ ผู้ใหญ่บ้านบ้านกลาง ม.5 และ ผู้ใหญ่บ้านบ้านแม่ส้าน ม.6 ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง รวมถึงตัวแทนสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) และขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) 

ภาพ: มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ

โดยข้อเรียกร้องหลักคือให้ทหารกันพื้นที่ทำกินของชาวบ้านออกจากพื้นที่ทหารขอใช้ประโยชน์จากกรมป่าไม้ โดยการเดินสำรวจแนวเขตเดิมอย่างมีส่วนร่วมระหว่างเจ้าหน้าที่ทหาร ป่าไม้ และประชาชนในพื้นที่ คืนสิทธิ์ในที่ดินทำกินให้ชาวบ้านในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ตามโครงการจัดที่ดินชุมชนของรัฐบาล รวมถึงแนวทางข้อเรียกร้องในด้านการปฏิรูปที่ดินของภาคประชาชน ยุติกระบวนการตรวจยึดพื้นที่และการดำเนินคดีชาวบ้านที่อยู่อาศัยและทำกินมาก่อน ซึ่งได้รับการผ่อนผันตามคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 รวมถึงการดำเนินการใดๆ ในพื้นที่ที่จะสร้างผลกระทบกับประชาชนให้ชะลอไว้ก่อนจนกว่ากระบวนการเดินสำรวจแนวเขตจะแล้วเสร็จ และระหว่างกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ ตรวจสอบข้อเท็จจริง และการแก้ไขปัญหา ให้ชาวบ้านสามารถทำกินในที่ดินของตนเองได้โดยไม่ถูกคุกคาม ตรวจยึด และดำเนินคดี

‘วิโรจน์’ เคาะ 4 แนวแก้พิพาททหาร-ประชาชน ด้านชาวบ้านยังไม่วางใจเหตุแผนที่อาจตกหล่น

หลังการลงพื้นที่และการรับฟังข้อเสนอในที่ประชุม วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ประธานคณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการ แต่ต้องเข้าใจประชาชนเหมือนกัน ซึ่งเชื่อว่ามีผู้บุกรุกอยู่บ้าง แต่ไม่ควรเหมารวมที่ไม่ตรงตามข้อเท็จจริง ทางท่าน ผบ.ค่ายได้ชี้แจงและให้การบ้านใน กมธ. ไว้แล้วว่าการดำเนินการนี้เป็นการป้องปรามเท่านั้น ไม่มีเจตนาที่จะดำเนินการตามกฎหมายใดๆ 

ภาพ: มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ

“ส่วนกรณีแผนที่ควรใช้แนวการสำรวจของกรมป่าไม้เมื่อปี 2562 ในการคลี่คลายปัญหา เราเห็นตรงกันว่าตอนปี 2545 จนถึงตอนนี้ชุมชนขยายไปพอสมควร ฉะนั้นข้อพิพาทจะยังคงอยู่แน่ แต่มีการสำรวจที่ประชาชนยอมรับได้ในปี 2562 ถ้าเราเริ่มสำรวจใหม่เลยอาจใช้เวลามาก เราใช้แผนที่ปี 2562 เลยดีไหม เราจะได้เดินเรื่องเลย” วิโรจน์กล่าว

หลังจากนั้นประธาน กมธ.ทหาร ได้สรุปแนวทางแก้ไขปัญหา โดยคณะกรรมาธิการทหารจะทำหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้บัญชาการทหารบกและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 4 ประเด็น ได้แก่

1. คณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร จะทำหนังสือถึงกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอข้อมูลแผนที่การสำรวจที่ดินทำกินของราษฎรและพื้นที่แนวเขตทับซ้อนที่ดินทหารประมาณ 4,700 ไร่ เพื่อใช้สอบทานกับชุมชนให้สิ้นข้อสงสัย หากยังมีที่ดินแปลงใดตกหล่นให้ทำการสำรวจเพิ่มเติม

2. ในระหว่างการดำเนินการสอบทานข้อมูล ให้กองทัพบกผ่อนปรนให้ชาวบ้านยังสามารถทำกินได้ตามแนวเขตเดิมในฤดูกาลเพาะปลูก ซึ่งจะมีการแผ้วถางและเพาะปลูกตั้งแต่เดือน ม.ค.-มี.ค. 2568 ซึ่งย้ำว่าต้องไม่มีการบุกรุกที่ดินรุกล้ำออกไปนอกแนวเขต

3. เนื่องจาก พ.ต.พิภพ วงค์ษา ผบ.ร้อย ฝรพ.3 ซึ่งมีท่าทีการทำงานอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกับชาวบ้าน กำลังจะเกษียณอายุราชการ หาก ผบ. ท่านใหม่มาปฏิบัติราชการแทน ให้ยึดแนวทางการทำงานแบบเดิมกับประชาชนในพื้นที่

4. แจ้งให้ทราบเบื้องต้นว่าหากสอบทานข้อมูลแผนที่จนแล้วเสร็จ มีข้อยุติร่วมกันแล้ว จะทำหนังสือถึงผู้บัญชาการกองทัพบก และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อีกครั้ง เพื่อเสนอให้กันพื้นที่ทหารออกจากพื้นที่ชุมชนต่อไป

หลังจากนั้นชาวบ้านได้สอบถามว่าจะสามารถดำเนินการทางธุรการเรื่องหนังสือฉบับนี้ได้เร็วสุดเมื่อไร วิโรจน์ย้ำว่าจะดำเนินการโดยการนำเข้าวาระการประชุมเร่งด่วนของ กมธ. ทหารในวันพฤหัสบดี ที่ 9 ม.ค. 2568 เพื่อให้ทันฤดูกาลเพาะปลูก แต่หากล่าช้ากว่านั้นก็จะไม่ให้เกิน 2-3 วัน ซึ่งถือว่าเป็นที่น่าพอใจสำหรับชาวบ้าน 

ด้าน สมชาติ รักษ์สองพลู ผู้ใหญ่บ้านบางกลาง ม.5 ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า สถานการณ์คลี่คลายลงมาก เนื่องจากมีเวทีให้ได้พูดคุยและทำความเข้าใจกันโดยมี กมธ. ทหาร เป็นตัวกลาง แต่ไม่อาจนิ่งนอนใจได้ โดยเฉพาะเรื่องความชัดเจนแนวเขตทหารที่จะนำไปสู่การกันพื้นที่อาจไม่ง่ายขนาดนั้น 

ภาพ: มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ

“ผมมั่นใจว่าการสำรวจแนวเขตเมื่อปี 2562 ของกรมป่าไม้นั้นต้องมีการตกหล่นแน่นอน เพราะชาวบ้านยังไม่เคยเห็นการคืนข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้ แม้ป่าไม้จะอ้างว่าได้เดินสำรวจร่วมกันกับผู้นำชุมชนแล้ว แต่ถ้าไม่มีการคืนข้อมูลให้ชุมชนได้ตรวจสอบร่วมกันจะต้องมีแปลงตกหล่น การต่อสู้ครั้งนี้จึงเป็นการต่อสู้ระยะยาวที่ประชาชนยังต้องเดินหน้าต่อควบคู่ไปด้วย ปล่อยให้เป็นแค่หน้าที่ของ กมธ.ทหารและหน่วยงานรัฐอย่างเดียวไม่ได้” สมชาติย้ำ

มัดรวม 30 ข้อควรรู้ อบจ. ทำอะไรได้บ้าง

ปี 2568 นี้ ประเทศไทยกำลังจะมีการเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งสำคัญ โดยในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 จะมีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) พร้อมกับสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ซึ่งถือเป็นการเลือกตั้งผู้บริหารและฝ่ายนิติบัญญัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยจะมีการเลือกตั้งนายก อบจ. ใน 47 จังหวัด และ ส.อบจ. ใน 76 จังหวัด 

ในโอกาสนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่ประชาชนควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาท อำนาจหน้าที่ และความสำคัญขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกผู้บริหารและผู้แทนที่จะมาทำหน้าที่พัฒนาท้องถิ่น Lanner ได้รวบรวมข้อมูลพื้นฐานทั้งหมด 30 ข้อ ที่ประชาชนควรรู้เกี่ยวกับ อบจ. ในรูปแบบคำถาม-คำตอบที่เข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ใช้สิทธิอย่างมีความรู้ความเข้าใจ และสามารถติดตามตรวจสอบการทำงานของผู้ที่จะเข้ามาบริหาร อบจ. ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

Q1: อบจ. คืออะไร?

A1: องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) คือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีจังหวัดละหนึ่งแห่ง (ยกเว้นกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยาซึ่งเป็นการปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ) มีเขตพื้นที่รับผิดชอบครอบคลุมทั้งจังหวัด

Q2: อบจ. มีโครงสร้างการบริหารอย่างไร?

A2: อบจ. มีโครงสร้างประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก

1. สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ฝ่ายนิติบัญญัติ)

2. นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ฝ่ายบริหาร)

Q3: อบจ. มีอำนาจหน้าที่พื้นฐานอะไรบ้าง?

A3: อำนาจหน้าที่พื้นฐานของ อบจ. ประกอบด้วย

– ตราข้อบัญญัติโดยไม่ขัดหรือแย้งต่อกฎหมาย

– จัดทำแผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนจังหวัด

– ประสานการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัด

– สนับสนุนสภาตำบลและราชการส่วนท้องถิ่นอื่นในการพัฒนาท้องถิ่น

– คุ้มครอง ดูแล และบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

Q4: อบจ. มีอำนาจหน้าที่ด้านการศึกษาอย่างไร?

A4: อบจ. มีอำนาจในการจัดการศึกษา รวมถึง

– จัดการศึกษาในพื้นที่รับผิดชอบ

– สนับสนุนการศึกษาให้แก่สถานศึกษาในพื้นที่

– ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อการศึกษา

Q5: อบจ. มีอำนาจหน้าที่ด้านสาธารณสุขอย่างไร?

A5: อบจ. มีอำนาจในด้านสาธารณสุข ดังนี้

– จัดให้มีโรงพยาบาลจังหวัด

– จัดการรักษาพยาบาล

– การป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ

– ส่งเสริมการสาธารณสุขในพื้นที่

Q6: อบจ. มีอำนาจหน้าที่ด้านสิ่งแวดล้อมอย่างไร?

A6: อบจ. มีอำนาจด้านสิ่งแวดล้อม ดังนี้

– จัดตั้งและดูแลระบบบำบัดน้ำเสียรวม

– การกำจัดมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลรวม

– การจัดการสิ่งแวดล้อมและมลพิษต่างๆ

– คุ้มครอง ดูแล และบำรุงรักษาป่าไม้ ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ

Q7: อบจ. มีอำนาจหน้าที่ด้านการคมนาคมอย่างไร?

A7: อบจ. มีอำนาจด้านการคมนาคม ดังนี้

– จัดการและดูแลสถานีขนส่งทั้งทางบกและทางน้ำ

– สร้างและบำรุงรักษาทางบกและทางน้ำที่เชื่อมต่อระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

– การขนส่งมวลชนและการวิศวกรรมจราจร

Q8: อบจ. มีอำนาจหน้าที่ด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมอย่างไร?

A8: อบจ. มีอำนาจด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม ดังนี้

– ส่งเสริมการท่องเที่ยว

– ส่งเสริมการกีฬา

– อนุรักษ์จารีตประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของท้องถิ่น

– จัดให้มีพิพิธภัณฑ์และหอจดหมายเหตุ

Q9: อบจ. มีอำนาจหน้าที่ด้านเศรษฐกิจอย่างไร?

A9: อบจ. มีอำนาจด้านเศรษฐกิจ ดังนี้

– การพาณิชย์และการส่งเสริมการลงทุน

– จัดตั้งและดูแลตลาดกลาง

– การทำกิจการพาณิชย์ทั้งดำเนินการเองหรือร่วมกับบุคคลอื่น

Q10. อบจ. มีอำนาจหน้าที่ด้านการรักษาความปลอดภัยอย่างไร?

A10: อบจ. มีอำนาจด้านความปลอดภัย ดังนี้

– การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

– จัดให้มีระบบรักษาความสงบเรียบร้อยในจังหวัด

– ประสานงานด้านความปลอดภัยกับหน่วยงานอื่น

Q11: อบจ. มีอำนาจในการออกข้อบัญญัติอย่างไร?

A11: อบจ. สามารถตราข้อบัญญัติได้ในกรณีต่อไปนี้

– เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามหน้าที่ของ อบจ.

– เมื่อมีกฎหมายบัญญัติให้ อบจ. ตราข้อบัญญัติ

– การดำเนินการพาณิชย์ของ อบจ.

Q12: ใครมีสิทธิเสนอร่างข้อบัญญัติ อบจ.?

A12: ผู้มีสิทธิเสนอร่างข้อบัญญัติ ได้แก่

– นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด

– สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด

– ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขต อบจ.

Q13. อบจ. มีอำนาจในการจัดเก็บรายได้อย่างไร?

A13: อบจ. มีอำนาจจัดเก็บรายได้จาก

– การจัดเก็บภาษี เช่น น้ำมัน ยาสูบ รถยนต์

– ค่าธรรมเนียม ค่าปรับ และใบอนุญาต

– รายได้จากทรัพย์สิน เช่น ค่าเช่าบริการ ดอกเบี้ย

– รายได้จากเบ็ดเตล็ด

– รายได้จากทุน เช่น การขายทอดตลาด

Q14: อบจ. สามารถกู้เงินได้หรือไม่?

A14: อบจ. สามารถกู้เงินได้ในรูปแบบ

– พันธบัตรหรือเงินกู้ตามที่มีกฎหมายบัญญัติ

– เงินกู้จากกระทรวง ทบวง กรม องค์การ หรือนิติบุคคลต่างๆ โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี

Q15. อบจ. มีอำนาจในการให้บริการแก่เอกชนอย่างไร?

A15: อบจ. สามารถให้บริการแก่เอกชนได้โดย

– ให้บริการแก่เอกชน ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ

– เรียกเก็บค่าบริการได้โดยตราเป็นข้อบัญญัติ

– มอบให้เอกชนดำเนินกิจการแทนได้โดยความเห็นชอบของสภาและผู้ว่าราชการจังหวัด

Q16: อบจ. มีอำนาจหน้าที่ในการพัฒนาสังคมอย่างไร?

A16: อบจ. มีอำนาจในการพัฒนาสังคม ดังนี้

– การสังคมสงเคราะห์

– การพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก สตรี คนชรา และผู้ด้อยโอกาส

– ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของราษฎรในการพัฒนาท้องถิ่น

– ส่งเสริมประชาธิปไตย ความเสมอภาค และสิทธิเสรีภาพของประชาชน

Q17. อบจ. สามารถทำกิจการนอกเขตได้หรือไม่?

A17: อบจ. สามารถจัดทำกิจการนอกเขตได้ เมื่อ

– ได้รับความยินยอมจากราชการส่วนท้องถิ่นอื่นที่เกี่ยวข้อง

– เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง

Q18: อบจ. มีอำนาจในการทำธุรกิจได้หรือไม่?

A18: อบจ. สามารถดำเนินกิจการที่มีลักษณะเป็นการพาณิชย์ได้ โดย

– ต้องตราเป็นข้อบัญญัติ

– ต้องเป็นไปตามระเบียบที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด

– ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น

Q19: ใครเป็นผู้กำกับดูแล อบจ.?

A19: อบจ. อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ

– รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (ระดับกระทรวง)

– ผู้ว่าราชการจังหวัด (ระดับจังหวัด)

Q20: อบจ. มีข้อจำกัดในการออกข้อบัญญัติอย่างไร?

A20: ข้อจำกัดในการออกข้อบัญญัติของ อบจ. มีดังนี้

– ต้องไม่ขัดหรือแย้งต่อกฎหมาย

– การกำหนดโทษต้องไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท

– ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภา อบจ. และผู้ว่าราชการจังหวัด

Q21: อบจ. สามารถเก็บภาษีอะไรได้บ้าง?

A21: อบจ. สามารถจัดเก็บภาษีได้หลายประเภท ได้แก่

– ภาษีบำรุง อบจ. จากน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล

– ภาษีบำรุง อบจ. จากยาสูบ

– ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บเพิ่มตามประมวลรัษฎากร

– ค่าธรรมเนียมบำรุง อบจ. จากผู้พักในโรงแรม

Q22: อบจ. มีอำนาจหน้าที่ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างไร?

A22: อบจ. มีอำนาจในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ดังนี้

– ส่งเสริมประชาธิปไตย ความเสมอภาค และสิทธิเสรีภาพ

– ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของราษฎรในการพัฒนาท้องถิ่น

– จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน

– เปิดเผยข้อมูลและการดำเนินงานให้ประชาชนตรวจสอบได้

Q23: อบจ. มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการด้านตลาดอย่างไร?

A23: อบจ. มีอำนาจในการจัดการด้านตลาด ดังนี้

– จัดตั้งและดูแลตลาดกลาง

– กำกับดูแลการประกอบการค้าในตลาด

– จัดระเบียบการค้าและการจราจรบริเวณตลาด

– ดูแลด้านสุขอนามัยและความสะอาดของตลาด

Q24. อบจ. มีอำนาจหน้าที่ในการประสานงานกับหน่วยงานอื่นอย่างไร?

A24: อบจ. มีอำนาจในการประสานงาน ดังนี้

– ประสานการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัด

– ประสานความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น

– สนับสนุนหรือช่วยเหลือส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น

– ประสานแผนพัฒนาท้องถิ่นเพื่อไม่ให้งานซ้ำซ้อน

Q25: อบจ. มีข้อจำกัดในการใช้จ่ายงบประมาณอย่างไร?

A25: อบจ. มีข้อจำกัดในการใช้จ่ายงบประมาณ ดังนี้

– ต้องจัดทำข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี

– ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภา อบจ.

– ต้องเป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย

– ต้องมีการตรวจสอบการใช้จ่ายตามระบบการตรวจเงินแผ่นดิน

Q26: อบจ. สามารถออกข้อบัญญัติชั่วคราวได้หรือไม่?

A26: อบจ. สามารถออกข้อบัญญัติชั่วคราวได้ โดย

– ต้องเป็นกรณีฉุกเฉินที่ไม่สามารถเรียกประชุมสภาได้ทันท่วงที

– ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสามัญประจำสภา อบจ.

– ต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของสภา อบจ. ในการประชุมคราวต่อไป

– หากสภาไม่อนุมัติ ข้อบัญญัติชั่วคราวนั้นเป็นอันตกไป

Q27: อบจ. มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการด้านสาธารณูปโภคอย่างไร?

A27: อบจ. มีอำนาจในการจัดการสาธารณูปโภค ดังนี้

– จัดให้มีและบำรุงรักษาทางบกและทางน้ำ

– จัดระบบบำบัดน้ำเสียรวม

– จัดการขนส่งมวลชน

– พัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่เชื่อมต่อระหว่างท้องถิ่น

Q28: อบจ. มีอำนาจในการจัดการรายได้อื่นๆ อย่างไร?

A28: อบจ. สามารถมีรายได้จากแหล่งอื่นๆ ได้แก่

– รายได้จากทรัพย์สินของ อบจ.

– รายได้จากสาธารณูปโภคของ อบจ.

– เงินและทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้

– เงินอุดหนุนจากรัฐบาล

Q29: อบจ. มีข้อจำกัดในการดำเนินกิจการพาณิชย์อย่างไร?

A29: ข้อจำกัดในการดำเนินกิจการพาณิชย์ของ อบจ. มีดังนี้

– ต้องตราเป็นข้อบัญญัติ

– ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภา อบจ.

– ต้องเป็นไปตามระเบียบที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด

– ต้องไม่กระทบต่อการให้บริการสาธารณะแก่ประชาชน

Q30: หากรัฐมนตรีเห็นว่า อบจ. ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ จะดำเนินการอย่างไร?

A30: ในกรณีที่ อบจ. ละเลยการปฏิบัติหน้าที่

– ผู้ว่าราชการจังหวัดจะดำเนินการสอบสวนได้

– ผู้ว่าราชการจังหวัดจะตั้งคณะกรรมการสอบสวน หรือส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. หรือ สตง. ดำเนินการสอบสวน

– ถ้าหากผลการสอบสวนปรากฏว่า นายก อบจ. มีพฤติการณ์เช่นนั้นจริงให้ผู้ว่าฯ เสนอให้รัฐมนตรีสั่งให้นายก อบจ. พันจากตำแหน่ง

เริ่มแล้ว! ภาคประชาชนจับตาเลือกตั้งท้องถิ่น

โดยการเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะมาถึงในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ ได้มีภาคประชาชนหลายส่วนได้เริ่มทำการเดินหน้ารณรงค์เกี่ยวกับการเลือกตั้งเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) พร้อมกับสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ไม่ว่าจะเป็นการ เปิดข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการเลือกตั้ง อบจ. รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ทราบถึงข้อมูลในการเลือกตั้งท้องถิ่นในครั้งนี้

Wevis กลุ่มเทคโนโลยีภาคประชาชนได้เปิดตัวแคมเปญ ‘Local Election ประชาธิปไตยใกล้มือ Road to เลือกตั้ง อบจ. 2568’ ที่เป็นการรวบรวมข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง อบจ. เพื่อให้ประชาชนได้ทำความเข้าใจถึงความสำคัญและส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชน รวมไปถึงการเตรียมพร้อมให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ทำความเข้าใจในระบบเลือกตั้ง สามารถติดตามได้ที่ https://wevis.info/ 

นอกจากนี้ Your Priorities ได้เปิดตัวเว็บไซต์ CEO บ้านฉัน ที่เป็นข้อมูลพื้นฐานของ นายก อบจ. แต่ละจังหวัด ที่เผยถึง ผลการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด ,งบประมาณของแต่ละจังหวัด รวมไปถึงสิ่งที่ประชาชนอยากเห็นในแต่ละจังหวัด

โดยตั้งแต่วันนี้จนถึงวันเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) พร้อมกับสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 Lanner จะติดตามความเคลื่อนไหว ชำแหละข้อมูล และวิเคราะห์สถานการณ์ในพื้นที่ที่มีการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งหมด 17 จังหวัดภาคเหนือ ที่ถือว่าเป็นการเลือกตั้งที่ใกล้ชิดกับชีวิตประชาชนเป็นอย่างยิ่ง อย่าลืมร่วมกันติดตามไปพร้อมกันกับพวกเรา