Tags : กวีเน้อ

สู่นิรันดร์

เล่ากันว่า ณ อดีตอันไกลโพ้น เมื่อลมหายใจของใครคนหนึ่งหยุดลง ผู้มีชีวิตอยู่ได้นำร่างของเขาไปฝัง แต่ที่นี่..บนแผ่นดินริมสายน้ำ บ้านเกิดของทหารพระเจ้าตากสิน พ่อค้าวัวต่าง-ม้าต่าง, ผู้เดินทางไกล แรงงานเร่ร่อนบนแพซุงจากล้านนา ชาวนา ชาวไร่  ชาวสวน แม่ค้าหมู และฉัน, ผู้เติบใหญ่ ไม่มีใครเคยเห็นอะไรเช่นนั้น ปู่ ย่า...

ชายแดนที่(ถูกทำ)ให้เงียบงัน

ชายแดนแห่งนี้มีเรื่องเล่าของตัวเองไหมความฝันงอกงามอยู่ที่ใดบ้างเด็ก ๆ พูดจาด้วยภาษาอะไรคนหนุ่มสาวยังชูธงสันติภาพพลิ้วไหวอีกไหมวงสนทนาน้ำชายามเช้ายังอยู่ดีหรือเปล่า ชายแดนแห่งนี้มีเรื่องเล่าของตัวเอง – แต่ไม่ได้เล่าความฝันงอกงาม – แต่ถูกซ่อนไว้ในถ้ำเด็ก ๆ พูดจาด้วยภาษาไทยคนหนุ่มสาวยังชูธง...

เราไม่ได้เป็นเจ้าของแสงสว่างร่วมกันหรอกเหรอ

เข้าใจว่า “อากาศ แม่น้ำ แสงแดด และไฟสว่าง” ในดินแดนแห่งนี้ เป็นของเราร่วมกัน หากฉัน เพื่อน หรือใครสักคน โดยไม่จำกัดฐานะชนชั้น เปล่งวาจาขึ้นกลางลานสาธารณะ ว่าวันนี้อากาศที่สูดดมช่างเลวร้าย เพราะป่าที่นั่นมอดไหม้ สวนข้าวโพดที่โน่นถูกเผา หรือเพราะไอเสียจากรถยนต์ และโรงงานนั่นโรงงานนี่ จะมีใครตวาดให้เราหยุดพล่าม และมัดมือมัดเท้าเราด้วยโซ่ตรวนแห่งเงินตรา เช่นที่กระทำกับเพื่อนหลายคนก่อนหน้าไหม หากประกาศกล้าต่อหน้าธารกำนัล ว่าค่าไฟฟ้าเดือนนี้แพงจนจ่ายไม่ไหว หรือแม่น้ำที่เคยอาบ เคยใช้ กำลังแห้งเหือดเพราะเขื่อนสักแห่ง จะมีใครเอาคุกตารางมาขู่ให้เราเงียบนิ่ง เช่นที่เพื่อนหลายคนก่อนหน้าเคยถูกกำราบไหม ฉันเคยถูกสอนว่าทรัพยากรในดินแดนนี้เป็นของเราร่วมกัน แต่เมื่อไม่อาจเปล่งถ้อยคำถึงของของตนได้ จึงเริ่มไม่แน่ใจว่าบางสิ่ง บางอย่าง  ถูกจัดสรรให้เป็นของพิเศษเฉพาะใครบางคนหรือเปล่า  จึงถามอีกครั้งต่อสิ่งซึ่งคั่งค้างในความคิดความเชื่อ “เราไม่ได้เป็นเจ้าของอากาศและแสงสว่างร่วมกันหรอกเหรอ”  ผู้ประพันธ์: อติรุจ ดือเระพิสูจน์อักษร: ฮาฟีซีน นะดารานิง...

การต่อสู้ของฝูงนกแห่งน้ำอูน

เสียงรถไถเสียงเครื่องเลื่อยเสียงต้นไม้ล้มราบดินร่ำไห้ปลุกนกแห่งน้ำอูนให้ตื่นรวมฝูงและโผบินสู่สถานตัดสินความเป็นธรรมเพื่อท้วงถามถึงอนาคตแห่งผืนป่าเพื่อยุติการทลายปอดแห่งหมู่บ้าน แต่อำนาจอันเถื่อนถ้ำสอยนกแห่งน้ำอูนตกลงทีละตัวแล้ววิ่งมาเย็บปากด้วยเครื่องจักรทันสมัยซึ่งพวกเขาอ้างว่าจะนำพาความเจริญงอกงามสู่หมู่บ้านแต่ไม่มีนกตัวใดเห็นด้วยไม่มีนกตัวใดยิ้มรื่น แม้บั้นปลายเครื่องพันธนาการจะถูกปลดออกแต่นกแห่งน้ำอูนก็เจ็บปวดเกินกว่าจะกล้ำกลืนลืมเลือนไป ผู้ประพันธ์: อติรุจ ดือเระพิสูจน์อักษร: ฮาฟีซีน นะดารานิง และกูอิลยัส สุดทองคง ชุดบทกวีเพื่อตีแผ่และต่อต้านการฟ้องปิดปาก/การจำกัดเสรีภาพการแสดงออก ซีรีส์-บทกวีถ่ายทอดประสบการณ์-การถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกจํานวน 1 ชุด...

Top Secret – ลับสุดยอดอย่า(หาญ)บอกใคร

“ความลับของบ้านเมือง”ซุกซ่อนไว้ในหลุมลึกผนึกด้วยอิฐปูนเจ็ดชั้นไม่ให้ใครรู้ ไม่ให้ใครเห็นแต่ลืมไปว่าทุกความลับนั้นมีกลิ่นไม่ไวก็ช้าสักวันจะโชยคลุ้ง คนที่นิยมความโปร่งใสซึ่งมีต่อมสำนึกที่ไวต่อกลิ่นเดินตามหาจนเจอลงเรี่ยวแรงกะเทาะอิฐปูนขุดคุ้ยและพบสิ่งอันผิดปกติที่คนอื่น ๆ ในบ้านเมืองเดียวกันต้องรู้ที่เกี่ยวกับอิสรภาพและเสรีภาพจึงเก็บกวาดออกมาวางกองกลางลานสาธารณะให้คนทุกคนซึ่งมีสิทธิ์รับรู้แต่ต้นมายืนมุงดู ไม่นานนักผู้อ้างว่าพิทักษ์รักษาความสงบก็โผล่มาขับไล่มวลชนจนกระเจิงหนีตบปากนักนิยมความโปร่งใสด้วยกุญแจมือหนึ่งทีแล้วขึ้นเสียงขู่เข็ญให้เขานิ่งเงียบ นักนิยมฯ ขัดขืนถามขึ้นว่า “ฉันผิดอย่างไร”ผู้พิทักษ์ฯ ตอบพลัน“แกทำลายความปลอดภัยของประเทศ”นักนิยมฯ ยังไม่หยุด“ความปลอดภัยแบบใด”ผู้พิทักษ์ฯ เงียบนิ่งเอามือปิดปากนักนิยมฯให้เงียบตาม ผู้ประพันธ์:...

คำร้องขอของฉลาม

เขาแค่บอกให้เรารักษ์ฉลาม แค่ห่วงถึงการสูญพันธุ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งอีกสิบปี ยี่สิบปี ทะเลกว้างใหญ่อาจไร้สัตว์อัศจรรย์ชนิดนี้ เขาแค่บอกให้คุณหยุดจับฉลาม แค่ห่วงว่าเงินที่คุณได้ไม่คุ้มกับความเดือดร้อนของโลก ซึ่งอีกสิบปี ยี่สิบปี คนรุ่นถัดจากเราอาจไม่ได้เห็นสัตว์อัศจรรย์ชนิดนี้อีก เขาแค่พูดความจริงเกี่ยวกับฉลาม แต่คุณกลับยืนกรานว่านั่นเป็นการดูหมิ่นถิ่นแคลน จึงร้องให้เจ้าหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์ จับเขามาไว้ในกรงขัง นั่นไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเท่าไหร่ ถ้าฉลามพูดได้ มันคงตะโกนก้องมาจากมหาสมุทรคลื่นคราม ว่า “ได้โปรดปล่อยเขาเป็นอิสระ เพราะเขากำลังปกป้องฉัน ปกป้องโลกที่คุณกำลังทำลายล้าง” ผู้ประพันธ์: อติรุจ ดือเระ  พิสูจน์อักษร: ฮาฟีซีน นะดารานิง และกูอิลยัส...

45 กิโลเมตรแห่งความเหนื่อยหน่าย

กี่เช้าแล้วที่ควรจะเป็นเช้าชื่นกลับกลายเป็นเช้าเศร้าที่ต้องฝืนหัวใจเสียงร้องจากศาลปลุกเธอให้ตื่นความครื้นเครงแห่งวันก็เงียบงันลง 45 กิโลเมตร ทางจากบ้านไปศาลไม่มีท้องฟ้าวันใดแจ่มใสหม่นมืด อุดอู้ และหนักอึ้งกับภาระประหลาดที่เธอไม่ควรต้องแบกรับ 45 กิโลเมตร แห่งความเหนื่อยหน่ายสูญเสียทรัพย์ เวลา และความรู้สึกจิตใจภายในแทบแตกพังหัวเสียกับการกล่าวหาซ้ำ...

ความไม่สมบูรณ์แห่งอาชีพ

ฉันเป็นนักข่าว เสรีภาพคือจิตวิญญาณ ซึ่งหล่อเลี้ยงและอำนวย ให้ฉันเป็นนักข่าวได้อย่างสมบูรณ์ โดยพื้นฐาน คุณก็รู้ ว่าฉันต้องมีปีก เพื่อโผบินไปที่ที่ความดีงอกงาม หรือที่ที่ความระยำต่ำช้าปกคลุม คุณก็รู้ ว่าฉันต้องมีปาก เพื่อกล่าวถึงโลกดี-ชั่ว ที่พบเห็น ให้สิ่งมีชีวิตอื่นรับทราบ คุณก็รู้ ว่าฉันต้องการต้นไม้ไว้สำหรับสลักข้อความ เพื่อเตือนคนที่ผ่านมา ให้ปลีกห่างจากเส้นทางอันตราย คุณรู้ถึงความจำเป็นในชีวิตฉันอย่างดี แต่ก็ตัดปีกและปิดปากฉัน ราวกับว่าไม่ได้แยแสอาชีพที่ฉันรักเลยสักนิด ซ้ำร้ายยังโค่นต้นไม้ล้มพับ จนแทบไม่มีพื้นที่ให้สลักความจริง ความคิด และความฝันที่ฉันมีต่อโลกของเรา นี่คือภาวะไร้เสรีภาพ ที่กีดกันฉัน ไม่ให้เป็นนักข่าวได้อย่างสมบูรณ์ ผู้ประพันธ์: อติรุจ ดือเระ  พิสูจน์อักษร: ฮาฟีซีน นะดารานิง และกูอิลยัส...

สิ้นปีแห่งการไม่ปิดบังใดๆ

บทกวีโดย รอนฝัน  ตะวันเศร้า ฉันอาจล้มเหลวกับความคาดหวังรัฐบาลหยิบชิ้นปลามันแล้วมันก็เห็นชัดว่าทุกอย่างกำลังเดินไปสู่การเสียของแต่ฉันก็พบว่าตัวเองละเอียดอ่อนขึ้นมากพอที่จะไม่ต้องคิดว่าพรรคพวกนั้นมีบุญคุณกับชีวิตหนักหนา ฉันตกหลุมรักเธอในกลางปีก่อนที่ทุกอย่างจะมาสุดทาง , ไม่ก็เหมือนว่าสุดทางความหวังแห่งการได้รักอย่างที่ฝันเมื่อไพ่ Uno ในมือที่ทบทวีมากขึ้นทุกทีรัฐบาลก็ทำตัวเวรๆ ในวันที่ฉันยังรู้สึกซวยไม่น้อยกว่าการหวยแดกรอบที่ร้อยกว่าเขื่อนกั้นทะเลสาบที่เต็มไปด้วยยาพิษฉันหนีขึ้นสู่ภูสูงอันโดดเดี่ยวก่อนที่เบื้องล่างจะพังทลายและท่วมนองไปด้วยการสรรเสริญอดีตที่เคยเกลียดแบบเดียวกับ คำ ผกา...

หลังเลิกงาน

Lanner เปิดพื้นที่ให้ทุกคนที่อยากสื่อสาร โดยความคิดเห็นไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ สามารถส่งมาได้ที่ lanner.editor@gmail.com หลังเลิกงานฉันนึกถึงหมอนที่บ้านหมอนลายก้อนเมฆเมฆก้อนนั้นคล้ายมีฝนตลอดเวลาเพราะสีปื้นดำจากน้ำลายบูด แมวหูพับชอบนอนทับและฝันหวานถึงอาหารเม็ดแมวจะฝันถึงฉันบ้างมั้ยนะ ?ขณะฉันยืนทำงานสิบชั่วโมงกว่าโดยไม่มีค่าแรงพิเศษนอกเวลามีแค่มื้อเที่ยงจากปิ่นโตสแตนเลสของนายจ้าง ฉันทำงานซ้ำซากเดินวนในเขาวงกตลังคลังสินค้าคลังสินค้าคงใหญ่ไปเรียกว่าห้องเก็บของใต้บันไดดีกว่า ฉันชอบแค่ช่วงพักเที่ยง…ออกไปสูดอากาศที่สวนป่าหลังอาคารฟังนายจ้างพล่ามเรื่องสงครามที่ไกลออกไปฉันนึกถึงร้านอาหารไทยใหญ่ในซอยห้องเช่าเมื่อเช้าซื้อข้าวฟืนถั่วทอดเดินกินมาถึงโกดังคล้ายว่าฉันได้ยินเรื่องสงครามจากทีวีที่นั่นเช่นกัน ฉันไม่สูบบุหรี่หรอกแค่ปลอดโปร่งเมื่อยืนในที่โล่งมองสนามหญ้ารกและน้ำท่วมขังดอกนางแย้มบานอยู่ตรงมุมนั้นฉันมองไม่เห็นลำต้นของมัน ฉันทำงานซ้ำซากไร้บทสนทนากับลังกระดาษเหงื่อบางหยดซึมหายตรงช่องผู้รับพัสดุชิ้นนี้ถูกตีกลับ - ไม่มีใครอยากรับ ค่าแรงเท่าเดิมโบนัสรายปีร่อยหรอลดลงมีเพียงกับข้าวในปิ่นโตของนายจ้างปริมาณลดลงทุกวันเมื่อวานมีไก่ต้มฟักวันนี้เหลือแค่ฟักพรุ่งนี้คงเหลือแค่ข้าวเปล่า หลังเลิกงานฉันคิดถึงหมอนใบนั้นใบที่มีรอยยุบและมีขนแมวประปรายคล้ายว่าฉันจะจมหลงไปในหลุมหล่มนั้นและไม่อยากโผล่หัวขึ้นมา หากว่าแมวหูพับตัวนั้นไม่ย่ำเดินบนพุงใหญ่กลมของฉันเมื่อเสียงนาฬิกาปลุกแผดไปทั่วห้องและร้องเสียงแหลมเรียกหาอาหารเม็ดฉันไม่นึกอยากโผล่หัวขึ้นมาเลย… ฉันไม่นึกอยากไปทำงานเลยแต่ฉันก็ต้องไปเพื่อตัวฉันครอบครัวที่พรากจากและแมวหูพับตัวนั้น ฉันจึงต้องไปทำงานทุกวัน บทกวีโดย : ปรัชวิชญ์...

|ก้าวหน้าไปข้างหลัง|

Lanner เปิดพื้นที่ให้ทุกคนที่อยากสื่อสาร โดยความคิดเห็นไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ สามารถส่งมาได้ที่ lanner.editor@gmail.com ตั้งตนเป็นศาสดา บูชาบูชายัญอุดมการณ์ สาวกประกอบพิธีกรรม ป่าวประกาศว่าข้าก้าวหน้า ขณะแข่งกันเคลื่อนที่ถอยหลัง ย่ำเท้าพาเหรด สวนทางพวกล้าหลัง ขณะทะยานพุ่งไปข้างหน้า ชี้นิ้วด่ากราด ถากถาง ตรงจุดตัดพล่าเลือนมายาคติ ฉกฉวยแย่งชิง เศษเสี้ยวชิ้นเนื้อเปื่อยเน่า ไม่สนใจวิธีการ ศีลธรรม โลกตะวันออก-ตะวันตก ประชาธิปไตย-คอมมิวนิสต์-ฟาสซิสต์-เผด็จการถึงเอไอ ยิ้มเหยียดเย้ย...

~ หลงลืม ~

Lanner เปิดพื้นที่ให้ทุกคนที่อยากสื่อสาร โดยความคิดเห็นไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ สามารถส่งมาได้ที่ lanner.editor@gmail.com หลงลืมความเป็นมนุษย์ หลงลืมความเป็นคน นับเป็นชนิดหนึ่งของการหลงลืมหรือเปล่านะ? ฉันถามตัวเอง คนเราอาจหลงลืมอะไรได้หลายอย่าง นับตั้งแต่ลืมการกระทำเช่นการรูดซิป หลงลืมสิ่งของเอาไว้ที่โรงเรียน ลืมความสัมพันธ์อันหวานชื่นที่เคยมีอยู่เก่าก่อน ค่อย ๆ หลงลืมอดีตอันแสนโหดร้าย ลืมบางสิ่งอย่างที่เคยลืมว่าลืมไปแล้ว แต่หลงลืมความเป็นมนุษย์ … ฉันเริ่มการทดลองในการพยายามหลงลืม ฉันเริ่มจับปืน ออกสู่โลกกว้างไพศาล กราดยิงทุกคนตรงหน้าที่ฉันเห็นเป็นศัตรูอย่างบ้าคลั่ง ลูกเด็กเล็กแดงฉันยิ่งล็อคเป้าหมาย สตรีคนชราฉันยิ่งไม่ละเว้น ฉันพยายามหลงลืม ฉันพยายามหลงลืม ฉันพยายามหลงลืม วันหนึ่ง การทดลองประสบผลสำเร็จ ฉันหลงลืมทุกสิ่งอย่างหมดสิ้นแม้กระทั่งความเป็นมนุษย์ ลืมเลือนความโศกเศร้าเสียใจที่ปะทุในอกอย่างบ้าคลั่งวันนั้นไปจนหมดราวกับไม่เคยเกิดขึ้น แล้วฉันก็ร้องไห้. บทกวีโดย รัฐพล เพชรบดี — ​อดีตอาจารย์สาขาปรัชญาและศาสนา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์...

“หมดแล้วหรือหนี้”

หมดแล้วหรือหนี้กี่ชีวีที่เรียงราย กี่ชีพที่มลาย ในสารธารที่ผ่านมา หมดแล้วหรือหนี้ ที่ยอมพลีในทุกครา กี่หยดกี่น้ำตา ที่บ่าท่วมท้นดวงใจ หมดแล้วหรือหนี้ ที่กดขี่ที่กดใจ...

“ลืม”

ลืมสิ้นแล้วหนี้เลือดเคยแดงเดือดกลางนาครลืมสิ้นกี่ศพมรณ์เคยทอดนอนในหนทาง ลืมเลือนทั้งเดือนปี ความหลังมีก็เลือนราง ลืมเลือนในลายพราง เพราะรวมร่างจนกลืนกลาย ลืมคำลืมน้ำมิตร ไร้ความคิดหมดความหมาย ลืมคำกลืนน้ำลาย เอาตัวขายอมาตยา...

สโตอิค

การเมืองฉันหลับตาใบไม้ปลิวร่วง อำนาจใดฉันกากบาทว่างเปล่า หวังเปลี่ยนแปลงทำได้แค่ในฉันข้างนอกมิสามารถรู้จัก ทุกสิ่งโรยตัวลงกองเป็นซากปรักหักพังมีแต่ฉัน.. ที่ยังมั่นคง บทกวีโดย รัฐพล เพชรบดี — ​อดีตอาจารย์สาขาปรัชญาและศาสนา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ปัจจุบันดำรงสถานะนักเขียนและนักวิชาการอิสระภาพ: สุทธิกานต์...

วิถีเมือง วิถีดอย

เรื่อง: ภักดิ์ รตนผล เด็กสาว ปกาเกอะญอ ชื่อว่าสุพาแปลว่าหวานละมุน เป็นดั่งหยาดน้ำค้างกลางดอยเชียงดาว ในอ้อมแขนภูเขาสีครามใต้ท้องฟ้าสีฟ้า ผ่านการบ่มด้วยแสงแดด ริ้วหมอกไหมสายฝน ที่ฤดูกาลนำพามาสม่ำเสมอ กินเวลาไป สิบเก้าวงรอบ วัยสาวกำดัดส่องแสงพราวในดวงตา อกอวบหนั่นแน่นราวผลมะตูม ริมฝีปากดังกลีบพบูเริงน้ำค้าง เรียวขาแข็งแรงราวเสือดาว ซ่อนเร้นมิดเม้นในชุดสีขาวกรอมเท้า กุหลาบในเรือนกายเต่งตูมทุกช่อ ที่มิเคยเผยให้ใครได้เห็น แม้ในอ้อมกอดแม่น้ำในห่มคลุมของราตรี ยังเลือนรางรำไรในแสงเงา เธอเฝ้ารอมอบการเปิดเผยครั้งแรก กับหนุ่มน้อยบ้านใกล้เรือนเคียง ชื่อ กอราซู แปลว่า สีดำ ด้วยวัยสาวอาบแสงเสน่หา เธอเฝ้าชม้ายชายตาส่งสัญญาณดอกไม้ให้ โอหนอโลกของสาวน้อยดอยเชียงดาว ช่างไพศาลเพียงไม่กี่วา หนุ่มกอราซู มาสู่ขอด้วยสินสอดวัวหนึ่งคู่ ม้าแกลบสีทองแดง มันปลาบหนึ่งตัว ผืนนาขั้นบันไดบนไหล่ดอยสามไร่ กับหัวใจหนึ่งดวงแช่อิ่มด้วยน้ำหวาน และดอกเอื้องสีเหลืองที่เบ่งบาน แล้วก็ถึงเวลาสุพาเปลี่ยนชุดสีขาวเป็นสีแดง ออกเรือนครองรักกันอย่างเปี่ยมสุข ปลูกข้าวสาลี ข้าวไร่ ข้าวโพด ผักหวาน เพียงขวบปีผันผ่านราวลมหนาววูบเดียว ป่าและท้องฟ้าได้ประทานของขวัญมา เป็นเด็กหญิงแสนสวย ชื่อทีลอซู แปลว่าน้ำตก เธอกลายเป็นศูนย์กลางของครอบครัวปกาเกอะญอน้อย ครั้นแล้ววัยและวันอันเบิกบานของหนุ่มสาวก็สิ้นลง ความห่วงกังวลต่ออนาคต ทีลอซู ทับถมทวีขึ้น ไหนจะต้องไปฉีดยา ปลูกฝีที่โรงมดโรงหมอ ไหนจะต้องตระเตรียมเงินทองไว้รองรับการศึกษา ในโรงเรียนที่ต้องข้ามไปอีกฟากหนึ่งของภูเขา ครั้นแล้วดวงความคิดเปล่งประกาย ไฉนเลยจะต้องดำเนินตามรอยวิถีเมือง เราจะเดินตามวิถีดอยที่คุ้นเคยกันมาเจ็ดชั่วโคตร เราจะสอนให้เธอ เรียนรู้วิธีและวิถีอยู่รอดบนภูเขา สอนให้เธอช่ำชองการไถหว่านและเก็บเกี่ยว ทั้งนาดำ นาดอย นาขั้นบันได ให้รู้เคล็ดการฟูมฟักข้าวโพด ข้าวฟ่าง ฟักแฟง กาแฟ ขมังธนูยามออกล่าหมูป่าแถวโป่งดิน ขำนัญจับปลาด้วยมือเปล่าในลำธาร รู้ตำหรับถนอมเนื้อ ปลาด้วยน้ำค้างและแสงแดด รู้คุณสมุนไพร หยูกยารักษาโรค ทอหูก ทอผ้าประจำเผ่าสีขาวแดง ดีดซึงเสียงไพเราะเสนาะใสในยามค่ำ และเน้นย้ำความเอื้อเฟื้อแบ่งปันกันในชุมชน แล้วเธอจะอยู่รอดได้ เติบใหญ่ และเสรี ในชุมชนที่ไม่มีความสลับซับซ้อนทั้งโครงสร้าง และจิตใจ โดยมิพักต้องพึ่งพารัฐและสังคมคนกินคน ในนาคร ๒๘/๕/๕๙ ดอยหลวงเชียงดาว Lanner เปิดพื้นที่ให้ทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการขยายพื้นที่การสื่อสารสังคมอย่างมีส่วนร่วม เพื่อร่วมกันส่งเสียงของพวกเราให้ดังขึ้น! เปิดรับต้นฉบับงานสื่อสารทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น บทความ ความคิดเห็น บทความวิชาการ...

โอ้ ลูกสาว ลูกชาย ของแม่เอย

เดินทางผ่านสายลมฤดูร้อนคือดวงตาร้าวรอนและอ่อนไหวบนใบหน้าผุดเหงื่อชาติเชื้อไทยฉันจำได้ยิ้มพรายเมื่อบ่ายนั้น ยิ้มของเธอของเขา,เยาวมิตรผลิดอกไม้ชีวิตลิขิตฝันฉันไถ่ถาม “ปณิธานแห่งวารวัน ? ”หนุ่มสาวตอบ “ขอมุ่งมั่นไม่ผันแปร” “สังคมใดไร้ความยุติธรรมย่อมผลิตเหลื่อมล้ำใช่ไหมแม่เรามิได้เกิดมาเพื่อพ่ายแพ้โอบกอดโลกเก่าแก่จนปราชัย” “สังคมใดชื่นชมนิยมอำนาจวันหนึ่งย่อมวิปลาสใช่หรือไม่พี่น้องเราจะฝากผี ณ  ที่ใดโลกของความเป็นไทย่อมไม่มี” ฟังหนุ่มสาวสนทนาประสาซื่อแว่วสายลมพัดหวือกระพือถี่พลันสายตาเห็นสายดำจำได้ดีกายเจ้านี้มีพันธนาการ ล้วนกำไลอีเอ็มเต็มข้อเท้าสะท้อนความโศกเศร้าทุกหย่อมย่านหยาดน้ำตาร่วงรายดั่งสายธารพร้อมหยดเลือดลูกหลานยามหล่นลง “ไม่เป็นไรหรอกแม่เพียงแค่นี้แลกกับสิทธิ์เสรีที่สูงส่ง”หนุ่มสาวยังยืนยันอย่างมั่นคงก่อนมองตรงเบื้องหน้าอย่างท้าทาย เดินทางผ่านสายลมฤดูร้อนกลางใบไม้ไหวว่อนตอนแดดบ่ายคือใบหน้าสามัญชนบนผืนทรายโอ้ ลูกสาว ลูกชาย...